สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ๑๕ : ถูกลอบสังหาร-วาระสุดท้ายของออกหลวงมงคล
ทหารม้าสมัยอยุทธยา ภาพลายรดน้ำจากหอเขียน วังสวนผักกาด
ในอดีตก่อนที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองจะเป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์(ฟาน ฟลีตเรียกออกญากลาโหมตลอด) พระองค์เคยวางแผนลอบปลงพระชนม์พระศรีสิงห์สองครั้ง(อาจจะมากกว่าแต่ไม่มีบันทึก) แต่มาครั้งนี้กลับมีคนวางแผนจะลอบสังหารพระองค์บ้าง คนนั้นก็คือออกหลวงมงคล(Oloangh Mancongh) ขุนทหารคนสนิทของพระศรีสิงห์นั่นเอง ในตอนนี้อาจเป็นเรื่องของคนผู้นี้มากกว่าเรื่องของพระเจ้าปราสาททอง
ประวัติออกหลวงมงคล เกริ่นถึงประวัติคนผู้นี้กันเล็กน้อย ไม่มีบันทึกอะไรถึงคนผู้นี้มากนักนอกจากในเอกสารของ เยเรเมียส ฟาน ฟลีต(Jeremias Van Vliet) หัวหน้าสถานีการค้าของบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา (VOC) ที่กรุงศรีอยุทธยาในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
ไม่ทราบชื่อจริง คนผู้นี้เป็นพระญาติใกล้ชิดของพระศรีสิงห์พระอนุชาของพระเจ้าทรงธรรม จึงจัดเป็นเชื้อพระวงศ์ รับราชการมีบรรดาศักดิ์เป็นออกหลวงมงคล ซึ่งมีทินนามเต็มตามพระอัยการนาพลเรือนว่าออกหลวงมงคลรัตราชมนตรี ศรีสมุหะษาระภากอรใน เป็นเจ้ากรมษาระภากอร(สรรพากร)ใน มีศักดินา ๒๔๐๐ ไร่ แต่มีความสามารถไม่ค่อยตรงกับตำแหน่งที่ได้รับ คือเป็นผู้มีพละกำลังที่แข่งแกร่ง มีความสามารถทางการรบการต่อสู้ กล้าหาญ และเป็นผู้มีวิชาอาคมฟันแทงไม่เข้า ทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและเป็นที่เคารพนับถืออย่างกว้างขวาง และมีส่วนช่วยพระศรีสิงห์ทำการใหญ่ได้อย่างมาก
ลอบสังหารออกญากลาโหม ต่อมาพระศรีสิงห์แพ้สงครามและถูกสำเร็จโทษ ออกหลวงมงคลซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายพระศรีสิงห์จึงถูกตามล่าไปทุกแห่งหนต้องหลบหนีไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมาย ออกหลวงมงคลเศร้าเสียใจกับเรื่องพระศรีสิงห์มากและคนที่ออกหลวงมงคลแค้นที่สุดในเรื่องนี้ก็คือเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ เพราะเป็นตัวขัดขวางพระศรีสิงห์มาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมยังไม่สวรรคตแล้ว และก็เป็นสาเหตุทำให้พระศรีสิงห์ต้องพบจุดจบ
ในที่สุดออกหลวงมงคลก็ลอบกลับเข้ามาในกรุงศรีอยุทธยา โดยตั้งใจจะลอบเข้าไปในเรือนของออกญากลาโหมสุริยวงศ์ตอนกลางคืนและซ้อมออกญากลาโหมจนตาย(beating him to death-แสดงว่าแค้นมาก ไม่อยากให้ตายง่าย) แต่แผนเป็นอันเป็นอันผิดพลาดไปเพราะบังเอิญคืนนั้นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เกิดมีราชการในวังหลวงจึงรอดไปได้ (ถ้าเรื่องนี้มีในพระราชพงศาวดารคงบันทึกว่าคงเป็นเพราะ ด้ัวยเดชะบารมีบุญญาภินิหารอันเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์จะได้เสวยราชเป็นกษัตริย์ผ่านพิภพ)
เมื่อแผนล้มเหลวออกหลวงมงคลจึงกลับไปที่บ้านเดิมของตนพาภรรยาหลวงกับภรรยาน้อยหลบหนีไป (น่าแปลกที่โทษเป็นถึงกบฏแต่ครอบครัวบ้านเรือนยังอยู่ให้ไปเอามาได้ง่ายๆ ทั้งๆที่น่าจะโดนริบเข้าหลวงหมด)
การหลบหนี
เรือนแพในแม่น้ำสะแกกรัง
ออกหลวงมงคลกับภรรยาทั้งสองหลบหนีไปอยู่ที่ประสบสะแกกรัง(Pra Sopsacce-Cram)บริเวณชายแดนเมืองพะโค(หงสาวดี อาจหมายรวมถึงเมืองมอญก็ได้) สัณนิษฐานว่าคงเป็นบริเวณแม่น้ำสะแกกรังที่มารวมกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดอุทัยธานี โดยต้นน้ำมาจากจังหวัดใกล้ชายแดนพม่า ที่นั่นออกหลวงมงคลใช้ชีวิตตกปลา ล่าสัตว์ หาของป่าไปวันๆ
แต่แม้จะหลบหนีมาห่างไกลก็มีคนหาตัวพบจนได้ ระหว่างที่ออกหลวงมงคลออกไปล่าสัตว์ ข้าราชการท้องถื่นได้เข้าไปจับกุมภรรยาของเขาไป พอออกหลวงมงคลทราบข่าวก็หมดอาลัยทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต จึงเดินทางไปเมืองที่ใกล้ที่สุดเพื่อมอบตัว จากนั้นจึงถูกส่งตัวกลับไปกรุงศรีอยุทธยา ระหว่างเดินทางเจ้าหน้าที่ได้พันธนาการเขาถึง ๗ ที่ของร่างกาย(ปกติโทษหนักจำ ๕ ประการก็มากแล้ว)เพราะรู้ว่าออกหลวงมงคลมีพละกำลังมหาศาลและมีวิชาอาคม แต่ออกหลวงมงคลซึ่งหมดอาลัยกับชีวิตแล้วไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด
ข้อเสนอของเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ สมเด็จพระเชษฐาธิราชทางทราบว่าออกหลวงมงคลเป็นผู้มีความสามารถจึงทรงอยากจะชุบเลี้ยงเขาไว้ จึงทรงส่งออกหลวงมงคลไปให้เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์เกลี้ยกล่อม เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์จึงยื่นข้อเสนอให้ว่าหากยอมสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเชษฐาธิราชก็จะยอมไว้ชีวิต
คำตอบที่เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ได้รับคือคำด่าทออย่างรุนแรงว่าออกญากลาโหมเป็น 'ฆาตกร' 'กระหายเลือด' 'ทำให้บ้านเมืองเกิดเป็นทุรยศ' และจะไม่ยอมสบถสาบานใดๆทั้งสิ้น
ออกญากลาโหมจึงนำความไปกราบทูลพระเชษฐาธิราช จึงมีพระโองการให้ประหารชีวิตออกหลวงมงคล
วาระสุดท้าย เมื่ออกหลวงมงคลถูกมัดกับหลักประหาร จึงร้องประกาศกับคนที่มามุงดูอยู่ถึงภยันตรายที่กำลังคุกคามแผ่นดิน และความเลวร้ายที่กำลังจะมาสู่บ้านเมือง และนอกจากนี้(เหมือนจะเป็นการไว้ลายก่อนตาย)ออกหลวงมงคลจะพิสูจน์ถึงวิชาอาคมที่ตนมีให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั่วไป
เมื่อเพชฌฆาตลงดาบ ปรากฏว่าไม่ระคายผิวออกหลวงมงคลแม้แต่น้อย และทุกครั้งที่โดนร่างกายก็ส่งเสียงเหมือนกับดาบฟันโดนเหล็ก ฟันไปหลายๆหนจนในที่สุดดาบก็ทื่อไป
ออกหลวงมงคลจึงลุกขึ้นสลัดเชือกที่มัดไว้ออกแล้วบีบคอเพชฌฆาตจนตาย จากนั้นเพื่อคลายอาคมเขาก็ขอน้ำมาบริกรรมคาถาแล้วดื่มน้ำนั้น เอาบางส่วนมาลูบไล้ร่างกาย แล้วเอานิ้วกลางขวาจุ่มน้ำมาทำเครื่องหมายเหนือซี่โครงซ้ายซึ่งเป็นจุดที่เพชฌฆาตจะลงดาบ(เป็นจุดที่คนไทยใช้ในการประหาร ถ้าฟันตรงนี้ลำไส้จะทะลักออกมา) จากนั้นออกหลวงมงคลก็นอนลง สั่งให้เพชฌฆาตมือสองให้ฟันตรงตำแหน่งที่ทำเครื่องหมายไว้ ถ้าพลาดก็จะถูกบีบคอเหมือนเพชฌฆาตคนแรก
แต่ด้วยความกลัวทำให้เพชฌฆาตมือสองฟันไม่โดนจุดตาย ออกหลวงมงคลจึงสั่งให้เอากริชแทงหัวใจเขาให้ตายไป ไม่งั้นจะฆ่าเพชฌฆาตมือสองอีกคน ฟาน ฟลีตไม่ได้กล่าวต่อจากนี้แต่เห็นว่าเพชฌฆาตก็คงตามที่ออกหลวงมงคลร้องขอ นี่จึงกลายเป็นวาระสุดท้ายของออกหลวงมงคลผู้เป็นที่น่าหวั่นเกรงต่อราชสำนัก ภัยสุดท้ายที่มาจากพระศรีสิงห์จึงหมดลงอย่างสิ้นเชิง
ฟาน ฟลีตกล่าวว่าหลังจากนั้นสมเด็จพระเชษฐาธิราชกับเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์พูดคุยกันอย่างเปิดเผยว่า พรรคพวกของพระศรีสิงห์ได้สูญสิ้นไปจนหมดเพราะความตายของออกหลวงมงคล การล้างแค้นเพื่อพระศรีสิงห์ก็เป็นอันดับสูญไปด้วยเช่นกัน
จิตรกรรมสมัยอยุทธยาวัดเกาะแก้วสุทธาราม จังหวัดเพชรบุรี
Create Date : 14 ตุลาคม 2555 |
Last Update : 25 พฤษภาคม 2556 10:18:39 น. |
|
5 comments
|
Counter : 10098 Pageviews. |
|
|
|
เคยได้ยินแต่ว่าพระเชษฐาฐิราชอ่อนแอ เป็นหุ่นเชิด ครองราชย์แค่ปีกว่า ก็โดนจับไปสำเร็จโทษ แต่บลอคนี้ทำให้เปิดความคิดใหม่ บางที่พระองค์อาจจะเป็นกษัตริย์นักรบที่ครองราชย์ยาวนานกว่าที่คิด แต่เผอิญโชคร้ายที่เจอขุนนางที่เก่งกาจกว่าก็เท่านั้นเอง