Group Blog
 
 
กันยายน 2562
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
16 กันยายน 2562
 
All Blogs
 
คืนหนาวไร้ดาวเดือน (บทที่ 2) โดย มานัส


บทที่ 2
รถยุโรปป้ายแดงสีขาวแบบสองประตูแซงไปมาบนท้องถนนใหญ่แล้วชะลอ หักเลี้ยวเข้าจอดหน้าร้านอาหารชื่อดัง ร่างเปรียวระหงกดปุ่มอัตโนมัติล็อครถ หากแล้วก็ต้องชะงักมองอย่างไม่แน่ใจเมื่อเห็นคนที่กำลังเดินสวนออกมา

“พี่หมอ…” การเรียกลังเล จนต้องถาม “คุณหมอชนินทร์ใช่ไหมคะ”

“ครับ”

คำตอบสั้นๆ จากบุรุษผิวคล้ำกร้านเพราะแสงแดด หากด้วยเคล้าหน้าอ่อนโยนและเป็นมิตรทำให้คนที่ทักยิ้มกว้าง ย้ำอีกทีเพื่อความมั่นใจ

“พี่หมอ!”

“คุณมนต์?” ถึงแม้จะประหลาดใจแต่น้ำเสียงก็ยังคงเรียบ

“ไม่ได้เจอตั้งหลายปี ตั้งแต่คราวที่ยกโขยงไปเป็นอาสาสมัครกับหน่วยแพทย์ของพี่หมอ” มณิกานต์เท้าความแล้วแอบนึก…เจ็ดแปดปีได้หรือยังนะ

“ได้ข่าวว่าคุณมนต์ไปต่อโทที่ต่างประเทศ นี่จบแล้วหรือครับ”

“ค่ะ มนต์กลับมาได้สองเดือนกว่าแล้ว” หญิงสาวบอก ก่อนจะถาม “แล้วนี่พี่หมอเข้ามาเป็นคุณหมอเมืองกรุงแล้วเหรอคะ ”

“เปล่าครับ ผมยังอยู่ต่างจังหวัด”

เมื่อก่อนโน้น คุณหมอชนินทร์เป็นแพทย์สาธารณสุขในจังหวัดทางภาคใต้ซึ่งหญิงสาวได้รู้จักเมื่อเธอกับเพื่อนๆ ไปร่วมกิจกรรมอาสากับทางมหาวิทยาลัย

คุณหมอหนุ่มที่ใจเย็น พูดน้อยต้อนรับกลุ่มนักศึกษาเป็นอย่างดี  ทำให้เหล่าอาสาฯ ล้วนสนุกกับการออกค่าย จนหลายคนในกลุ่มรวมทั้งมณิกานต์พร้อมใจกันกลับมาเป็นอาสาสมัครให้กับกลุ่มแพทย์อาสาอีกครั้ง โดยจัดกันเองในหมู่เพื่อน 

“มนต์รบกวนขอเบอร์ติดต่อได้ไหมคะ เผื่อจะได้นัดพี่หมอกินข้าว นี่เพื่อนๆ ของมนต์เพิ่งบ่นคิดถึงพี่หมออยู่เลย แป้งเอย ผึ้งเอย ”

นายแพทย์หนุ่มบอกหมายเลขโทรศัพท์มือถือ โดยหญิงสาวโทรฯ เข้าไปทันที

“คราวหน้าถ้าพี่หมอมากรุงเทพฯ ก็บอกนะคะ จะได้นัดเพื่อนๆ รวมตัวกัน”

และเมื่อร่ำลาจากคุณหมอชนินทร์แล้ว มณิกานต์จึงเหลือบมองดูนาฬิกาข้อมือพลางถอนหายใจอย่างแรง สาวเท้าอย่างเร็วเข้าไปในร้านอาหาร แล้วโปรยยิ้มหวานประจบเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนชายคนสนิท

“เขตต์จ๋ามนต์ขอโทษ มนต์ไม่คิดว่ารถจะติดขนาดนี้”

ทว่าน้ำเสียงและรอยยิ้มออดอ้อนไม่สามารถลบรอยบึ้งตึงบนใบหน้าเขาได้เลย “เขตต์ต้องรีบกลับไปทำงาน บ่ายนี้ต้องไปพบลูกค้าด้วย”

“ยังทันนะ?” มณิกานต์รู้สึกผิดยิ่งนัก

“ก็พอมีเวลา โชคดีที่เมื่อกี้พบกับคนที่มีโอกาสมาเป็นลูกค้า”

คนฟังพอจะจับถึงความภาคภูมิใจของเขาที่แสดงออกมาในประโยคสุดท้าย  เขตต์จะดีใจเสมอเวลาที่ได้พูดถึงการพบเจอคนสำคัญในแวดวงสังคม

“พูดถึงโอกาส…ก็ดูเหมือนมีมากกว่าที่เขตต์จะได้คุณพ่อของมนต์มาเป็นลูกค้า” ประโยคนี้ไม่ซ่อนความไม่พอใจ

ดิลกเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทก่อสร้างชื่อดัง ซึ่งเพิ่งจะประกาศโครงการเพิ่มทุนของบริษัท และตอนนี้อยู่ระหว่างการเลือกที่ปรึกษาทางกฎหมาย และบริษัทที่เขตต์ทำงานอยู่ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้น

“งานที่คุณพ่อจ้างบริษัทของเขตต์ตอนนี้ก็เยอะอยู่แล้ว” หญิงสาวพอรู้บ้าง “อีกอย่างเขตต์ก็รู้นี่ว่ามนต์ไม่ชอบยุ่งเรื่องธุรกิจของคุณพ่อ ไม่คิดอยากจะเข้าไปทำงานเลยด้วยซ้ำ” คนพูดหยิบขนมปังที่อยู่ในตระกร้าหวายขนาดเล็กมาบิออกเป็นคำพอดี

“มนต์ต้องเริ่มคิดได้แล้ว กลับมาเป็นเดือนๆ เขตต์ยังไม่เห็นมนต์ทำอะไร”

“ก็มากินข้าวกับเขตต์ไงจ๊ะ” เธอยิ้มหวานอ้อนประจบ  “ให้เขตต์ยุ่งกับงานคนเดียวก็พอ ถ้ามนต์ต้องไปทำงานอีกคน เราก็อาจไม่มีเวลาเจอกัน”

“แล้วมนต์ไม่คิดจะเข้าไปเรียนรู้งาน เผื่อว่าวันหนึ่งจะได้เข้าไปคุมแทนคุณพ่อเหรอ  เพียงมนต์บอกท่านก็หาตำแหน่งให้ได้ จะบริษัทไหนๆ ก็ตามที”

“มนต์อยากหางานด้วยตัวเองมากกว่า ไม่ชอบเลยไอ้ประเภทใช้เส้นสาย เหมือนเป็นคนไร้ความสามารถยังไงก็ไม่รู้” คำตอบมีแววเบื่อหน่าย “มนต์ยังไม่อยากทำงาน กลัวเป็นเหมือนเขตต์ ทำงานดึกทุกวัน ดีนะที่รู้ว่าเขตต์งานยุ่ง แบกโลกทั้งโลกไว้ทุ๊กวัน ไม่งั้นมนต์คงคิดว่าเขตต์แอบมีกิ๊กแน่ๆ”
ดวงตาหวานหยีลงน่ามอง หากชายหนุ่มหันมองออกไปด้านนอกของร้าน

“อาหารมาแล้ว มีพาร์ม่าแฮมเมลอนที่มนต์ชอบมาเป็นอย่างแรกเลย ส่วนจานหลักเขตต์สั่งสปาเก็ตตี้กุ้งราดครีมซอสให้ด้วยนะ” เขาเปลี่ยนประเด็นด้วยท่าทีอ่อนลงกว่าเดิม

“เขตต์น่ารักจัง” เสียงละมุนฟังเสนาะหูนัก โดยเฉพาะเมื่อปรากฏคู่กับแววตาออดอ้อน จนชายหนุ่มต้องมองอย่างประทับใจ

ไอ้ที่โมโหเพราะเจ้าหล่อนมาสายนั้น มลายหายไปหมดสิ้น ความอ่อนหวานละมุนของมณิกานต์สามารถละลายความโกรธของเขาได้อย่างสวยงาม


  
สีหน้าของชายหนุ่มในสูทสีเข้ม แววตาขึงขัง ริมฝีปากเม้มสนิท ทำให้บรรดาคนที่รออยู่นอกห้องประชุมไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามอง เว้นแต่ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่ก้มศีรษะลงเพียงนิดก่อนจะประสานตากับผู้เป็นนาย แล้วจึงก้าวตามไปยังห้องทำงานใหญ่ที่ฉาบผนังสีนวลประดับมุมขอบด้วยไม้โอ๊คเข้มด้านล่างและด้านบน

โต๊ะทำงานรูปตัวแอลทำจากไม้มะฮอกกานีไม่ได้เพียงแค่ใช้วางเอกสาร หากยังแบ่งเป็นที่ตั้งจอมอนิเตอร์สี่ตัว ทว่าเอกสารและสิ่งของที่วางบนโต๊ะถูกจัดให้เป็นระเบียบไม่รกตา ไม่ต่างจากความเรียบร้อยของทั้งห้องทำงาน

คนที่เดินตามหยุดแค่ประตูห้อง มองการสั่งงานของคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานใหญ่ด้วยสายตานิ่งเฉย

 “ข้อมูลทั้งหมดผมขอวันนี้”

เสียงเรียบคล้ายว่าไม่ได้เป็นงานเร่งด่วน หากผู้เป็นเลขาฯ ที่จดทุกคำสั่งอย่างคล่องแคล่วรู้ว่า…ด่วน เพราะการก้าวออกไปของเธอจากห้องนั้นกระชับ…เร็ว

เมื่อประตูห้องถูกปิดลงแล้ว ร่างสูงในสูทสีเข้มจึงเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ทำงาน

“ไอ้ญี่ปุ่นพวกนี้ ได้เงินไปจากเราเยอะทุกปี แต่พอเราจะซื้อเครื่องจักรใหม่เพื่อมาแทนของเดิม มันก็คิดราคาซะบ้าเลือด” ดวงตาไร้รอยยิ้มฉายแววดุดันเอาจริง

ถ้าเป็นเรื่องงาน เรื่องธุรกิจ ชิษณุมักจริงจัง เอาจริงเสมอ และกิจการโรงงานผลิตผลไม้กระป๋องและน้ำผลไม้ ก็เป็นหนึ่งในธุรกิจที่เขาซื้อหุ้นมาส่วนหนึ่งเมื่อตอนสภาพของบริษัทภายใต้เจ้าของเดิมนั้นย่ำแย่

แต่ชิษณุก็สร้างมันขึ้นมาใหม่ หากยังคงใช้เครื่องจักรที่มีอายุใช้งานหลายปี ใช้ให้คุ้ม และเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตและมีประสิทธิภาพดีกว่า เครื่องจักรเก่าจึงจำเป็นต้องถูกเปลี่ยน

ปัญหาที่มีก็เพราะผู้ถือหุ้นเดิมคอยปัดแข้งปัดขาบนผลกำไรที่งอกเงยทุกปี ทำให้การทำงานเหนื่อยหนักเป็นเท่าตัว

“โชคดีที่เรายังมีเวลา อย่างน้อยก็ไม่เป็นรองในการเจรจา แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็อาจจะต้องโล๊ะไลน์เก่า ทำระบบใหม่กับเจ้าใหม่”

แม้คิ้วเข้มไม่ได้ขมวดดั่งคนที่ใช้ความคิดอย่างหนักเช่นที่หลายคนมักเห็นอยู่เป็นนิจ แต่คนที่ยืนนิ่งหน้าโต๊ะทำงานย่อมรู้ว่า ผู้เป็นนายกำลังคิด…และคิดหลายเรื่อง

“มีอะไรจะบอกเหรอ พี่นที” น้ำเสียงของ…นาย เป็นปรกติ ไม่มีการเงยหน้าหรือขยับตัวจากท่าเดิม

“คุณสินีเลื่อนกำหนดการเดินทางกลับครับ ยังไม่ทราบกำหนดใหม่ และหลานชายคุณเฉลิมได้ลาออกจากงานที่โน่น อาจรอกลับมาพร้อมกัน” นทีรายงานตามข้อมูลที่ได้รับมา นึกหวั่นๆ กับริมฝีปากของผู้ที่นายที่คลี่ออกอย่างเหยียดหยัน เป็นจังหวะกับดวงตาดุดัน

“ก็ดี งั้นยกเลิกการเดินทางไปเชียงใหม่ของผมไปก่อน”

และไม่ทันสิ้งเสียง ผู้เป็นเลขาฯ หน้าห้องก็เรียกสายเข้ามาอย่างรีบเร่ง

“คุณเยาวเรศขอพบค่ะ” คนที่อยู่ข้างในสามารถได้ยินเสียงเอะอะตามสาย

นทีสบตาผู้เป็นนาย แล้วขยับตัวไปที่ประตูอย่างรู้หน้าที่ พร้อมกับที่บานประตูห้องถูกเปิดโดยหญิงสาวในกระโปงสั้นที่ถลาเข้ามา

“ณุขา…” เสียงลากด้วยจริต ก่อนจะหันไปตวาดคนตัวใหญ่ที่กำลังกันเธอไม่ให้เข้าไปใกล้โต๊ะทำงาน “ปล่อยฉันนะไอ้นที!”

“ไม่เป็นไรหรอกพี่นที” ชิษณุทำน้ำเสียงให้เป็นปรกติ “ออกไปก่อน ไม่มีอะไรแล้ว ขอบคุณมาก”

“เชอะ… ไปซะ!”

เสียงไล่หลังแผดดัง ก่อนนทีจะปิดประตูห้องลง

ความคิดของผู้เป็นมือซ้ายนึกตำหนิเจ้าหน้าที่ข้างล่างที่ปล่อยให้ผู้หญิงที่นายไม่ต้องการอีกแล้ว ขึ้นมา

คนที่ไม่มีประโยชน์สำหรับนายคือคนที่ไม่มีราคา ไร้ค่า

นทีกดโทรศัพท์มือถือ กรอกคำสั่งสั้นๆ และไม่ถึงอึดใจ ชายในชุดซาฟารีสีกรมท่าสี่คนก็มาถึง พร้อมรับคำสั่ง

“ไหวมั๊ยคะ” คนที่เป็นเลขาฯ ถาม แววตาเป็นกังวลไม่ต่างกัน มองอีกฝ่ายที่พยักหน้า  

“คุณโชติกาช่วยยกเลิกแผนการเดินทางไปเชียงใหม่ของนายด้วยครับ”

“ค่ะ ยังไม่มีกำหนดการใหม่ใช่ไหมคะ” ผู้เป็นเลขาฯ ย่อมรู้ว่าคนที่สามารถสั่งเปลี่ยนแผนแทน นาย ก็มีแต่นทีกับสารินที่เปรียบเป็นมือซ๊ายและมือขวา

นทีไม่ใช่แค่เพียงคนที่ดูแลความปลอดภัยของนาย และสารินผู้ที่อายุหกสิบกว่าปีก็ไม่ใช่เป็นแค่ผู้บริหารระดับสูงที่มากด้วยประสบการณ์ หากสองคนนี้เป็นคนเก่าแก่ของบิดาชิษณุ ยืนเคียงข้างชิษณุมาตั้งแต่ ‘ตอนนั้น’

“ครับ” คำตอบสั้นด้วยนิสัยของคนพูดน้อย

และยังไม่ทันที่เขาจะเดินไปถึงโซฟาชุดเพื่อหย่อนตัวนั่ง รอคำสั่งจากนาย  ประตูบานใหญ่ของห้องทำงานก็ถูกกระชากเปิด

“พาคุณเยาวเรศไปส่งที่รถ” คำสั่งทำให้ผู้ชายในชุดซาฟารีสี่คนปรี่เข้ามาประกบตัวหญิงสาวผู้นั้น

“ณุ…” เยาวเรศกรีดร้อง ใช้กำลังสุดแรง หันไปคว้าแขนของคนในสูทสีเข้ม

“ยิ่งทำแบบนี้ก็ยิ่งลดคุณค่าในตัวเอง” น้ำเสียงกระด้างเย็นชา ก่อนหันไปสั่งลูกน้องด้วยเสียงเฉียบเย็นเยือก “ดูด้วยว่าคุณเยาวเรศออกไปจากที่นี่”

ถึงผู้หญิงคนนี้จะเคยเอื้อประโยชน์ในเชิงธุรกิจ แต่เมื่อหมดประโยชน์ ไม่เป็นที่ต้องการ เขาจึงหมดเหตุผลที่ต้อง…ทน

ร่างสูงก้าวฉับกลับเข้าไปในห้องทำงาน โดยเลขาฯ รีบปิดประตูตามอย่างรู้หน้าที่

เสียงโหวกเหวกดังลั่นของเยาวเรศนั้นไม่มีทีท่าจะสงบง่ายๆ “ไอ้นายก็ใจดำฟันแล้วทิ้ง นี่มาเจอไอ้อีพวกลูกน้องต่ำๆ”

คำสบถของหนึ่งในบรรดาผู้หญิงที่ถูกชิษณุทิ้งอย่างเลือดเย็นดังก้องก่อนจะค่อยๆ เลือนหาย

หากโชติกาย่อมรู้ ถึง นาย จะใจดำกับใครหลายคน แต่นายก็ดีกับลูกน้องเสมอ โดยเฉพาะคนที่ร่วมหัวจมท้ายด้วยกันมาตั้งแต่ต้น เช่นเธอและอีกหลายๆ คน
 


ไฟสลัวกระพริบแวววับจับไปตามจังหวะเพลงในผับชื่อดัง ผสมไปกับแสง สี และเสียงที่แสนเร้าใจ ทำให้ลูกค้าบางคนดิ้น แทบขาดใจ แต่บางคนก็แค่ส่ายตัวไปตามจังหวะอย่างสนุกกับอารมณ์ของช่วงเวลา

เพราะยังไม่ดึก ทำให้บรรดาขาเที่ยวยังน้อยอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีโต๊ะนั่งแล้ว ใครไปช้าก็ได้โต๊ะยืน หรือถ้าช้ามากๆ ก็ต้องเกาะกลุ่มยืนเบียดกันตามยถากรรม
โต๊ะกลมเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากทางเข้านั้นประกอบด้วยหญิงสาวสามคนที่ยืนคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่ละคนต่างมีเครื่องดื่มของตัวเองวางอยู่ใกล้มือ โดยมีหนึ่งหนุ่มรวมกลุ่มอยู่ด้วย             
จนกระทั่งเมื่อเห็นชายหญิงคู่หนึ่งคล้องแขนกันเข้ามา ปิยะรัตน์จึงกรี๊ดกร๊าดรีบสะกิดเพื่อนที่ยืนข้างๆ

“กรี๊ด…ดูดิ” เสียงตะโกนแข่งกับเพลงที่เปิดดังลั่น สายตาจับยังคนคู่นั้น

ท่าทางของเธอทำให้อีกสองสาวในกลุ่มต้องมองไปอย่างสงสัย

“นั่นอีตาคนที่เป็นเจ้าของโรงแรมที่คุณพ่อไปจัดงานเมื่อเดือนก่อนโน้นใช่มั๊ย” มณิกานต์ถามหลังจากแน่ใจแล้ว…หนุ่มหล่อที่ยัยแป้งปลื้มนัก

“ใช่…พ่อเทพบุตรของแป้งมันล่ะ” ผสุดีหัวเราะคิก

“เขาไม่ได้เป็นแฟนกับนางเอกอะไรนั่นเหรอ เห็นควงกันอี๋อ๋อยังกะกลัวหลงทางในป่าคอนกรีต” มือเรียวของมณิกานต์หยิบเหล้าผสมขึ้นมาจิบ

“เมื่อวันก่อนเขตต์ไปงานที่โรงแรมเขา ยังเห็นนางเอกนั่นนั่งจิบไวน์อยู่ที่ล็อบบี้” ผู้เป็นชายหนุ่มคนเดียวในกลุ่มเสริม “แต่ผู้หญิงที่มาด้วยกันนี่คุ้นๆ”

“กิ๊กเหรอจ๊ะ” มณิกานต์แกล้งหลิ่วตามเป็นเชิงล้อ มือของเธอยังคงกุมมือของเขาด้วยความมั่นใจ รู้ว่าเขตต์รักเธอมากแค่ไหน

“ไม่…” แม้จะตอบเช่นนั้น หากความสนใจของชายหนุ่มยังคงอยู่กับนักธุรกิจคนดังและคู่ควง เขาคิด…คิดอยู่นาน “อ๋อ เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายเหมือนกัน รู้สึกว่าจะเป็นลูกสาวนักการเมืองชื่อดัง ครอบครัวมีอิทธิพลมาก”

“ใช่…ใช่จริงๆ ด้วยว่ะ” ปิยะรัตน์ตบโต๊ะ มองหนุ่มสาวคู่นั้น ที่บัดนี้ขึ้นไปด้านบนซึ่งจัดไว้สำหรับลูกค้าพิเศษกระเป๋าหนัก “ชื่อ…อะไรหว่า…พริก…พริก”

“พริกขี้หนู” การขัดคอนั้นเรียกเสียงหัวเราะได้ “หรือว่าพริกชี้ฟ้า พริกไทย…”

“นังมนต์!” คนที่พยายามนึก ค้อนเพื่อน “อ๋อ…ชื่อพริมา และเท่าที่เคยได้ยินนะ ยัยพริกกับคุณชิษณุสุดเลิฟของฉัน เขาควงกัน ออน แอนด์ อ็อฟน่ะ คือต่างคนต่างไปมีใคร แต่ไม่วายกลับมาตายรังเดิม” ปิยะรัตน์สรุปเองเสร็จสรรพ

“อย่างคุณชิษณุน่ะ ดูไม่ออกนะว่าเป็นเสือผู้หญิง” ผุสดีบอกเพื่อนๆ ที่ตั้งใจฟังกันเหลือเกิน “จำได้ว่าฉันเคยคุยกับเขาในงานไฮโซของเพื่อนแม่ฉัน เขาก็ไม่มีอะไร ดูเงียบๆ ขรึม แต่ตอนคุย ก็คุยดีมาก เป็นคนที่มีเสน่ห์และรู้จักบริหารมันเสียด้วย แต่ไม่ใช่ประเภทขี้หลีนะ มีแต่พวกสาวๆ ที่เครซี่เขาข้างเดียวน่ะ พวกไม่เจียมบอดี้ แล้วก็ต้องอกหักดังเป๊าะๆๆ”

“อย่างฉันใช่มั๊ยยะ” ปิยะรัตน์ค้อนอีกรอบ “แหม…ก็แค่อาหารตา ประเภทดูแต่ตา แตะต้องไม่ได้” ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็ชำเลืองมองเป้าหมายการสนทนาแล้วทำท่าเป่าจูบจนเพื่อนๆ ในกลุ่มหัวเราะคิก “คนอะไร้ รูปงาม มีเสน่ห์ แถมเก่งอย่างไม่เกรงใจเล้ย แบบนี้น่ะ แม่ฉันควักมือเรียกลูกเขยแบบไม่ขอสินสอดสักบาท”

“จะเก่งเท่าไรเชี๊ยว” มณิกานต์หยันในที “อาศัยบารมีบรรพบุรุษน่ะซิ กิจการสืบทอดตกมาถึงมือ จะทำอะไรก็มีคนทำให้ จ้างผู้บริหารมืออาชีพมา พอตัวเองจำเป็นต้องทำจริงๆ ขึ้นมาก็คงเหยียบขี้ไก่ไม่ฝื่อ”

“แต่คนๆ นี้สร้างตัวเองขึ้นมาจริงๆ นะ” เขตต์โอบเอวแฟนสาว “กิจการของครอบครัวเขา ทั้งโรงน้ำตาล โรงสี แล้วก็บริษัทก่อสร้าง ล่มแทบไม่เหลือซากตั้งแต่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจแล้ว  เรียกว่าดิ่งลงหลังพ่อของเขาเสียได้ไม่นาน ลือกันว่าญาติที่เป็นผู้ปกครองตอนที่เขายังไม่บรรลุนิติภาวะยักยอกเงิน แล้วยังแอบทำไทยแลนด์แกรด์เซลส์ไปทีละส่วน พ่อของมนต์ยังเข้าไปซื้อมาเลย…ก็กิจการก่อสร้างนั่นแหละ”

“คุณแม่ของฉันก็เคยพูดถึงเรื่องปัญหาภายในครอบครัวเขา เห็นว่าเคยถึงกับขึ้นศาลมาแล้ว จนคุณยายของเขาต้องมาสงบศึก แหม…แต่เขาก็ฟื้นตัวได้เร็วเหมือนกัน” ผสุดีเล่าตามที่ได้รับรู้มาบ้าง
“ก็หลายสิบปีเลยนะ แต่อาศัยบารมียายด้วย รายนั้นรวยทั้งที่ดิน แถมทั้งเงิน ทั้งทุนอื้อซ่า” เขตต์ดื่มน้ำเมาในแก้วจนหมด

“คุณชิษณุเก่ง พลิกวิกฤติเป็นโอกาส เพราะไอ้ที่ดินของเขาอยู่ต่างจังหวัดซะส่วนใหญ่ สมัยก่อนถึงอยากขายแต่ก็ขายไม่ออกเพราะไม่มีใครอยากได้ไร่นาต่างจังหวัด อีกทั้งโรงงานน้ำตาลแล้วก็โรงสีก็ไม่มีใครเอา คนแห่เน้นแต่ภาคอุตสาหกรรมโรงงาน แต่คุณชิษณุหันมาจับทางด้านเกษตรกรรมเป็นหลัก เปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นจุดแข็ง” คนที่เป็น แฟนพันธ์แท้ เช่นปิยะรัตน์ย่อมรู้ข้อมูล

“โรงงานน้ำตาล แล้วก็โรงสี เขาก็จับตั้งแต่ต้นน้ำ” เขตต์เสริม รับรู้ว่าทุกคนในกลุ่มตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ “โดยเฉพาะโรงงานน้ำตาล เขาไม่ใช่เป็นแค่เจ้าของโรงงานและส่งออกเท่านั้นนะ แต่ยังมีไร่อ้อยไร่นาอีกไม่รู้ตั้งกี่ร้อยไร่ ปั้นจนมันมั่นคง แล้วถึงขยายธุรกิจเข้ามาซื้อกิจการผลไม้กระป๋องที่เกือบล่ม  แล้วบริหารจัดการซะจนตอนนี้นับกำไรไม่หวาดไม่ไหว จากนั้นก็ขยายปีกไปงานธุรกิจก่อสร้างที่พ่อเขาเคยทำ”

“จับอะไรเป็นเงินเป็นทองไปหม๊ด” มณิกานต์ค่อน ย่นจมูกไม่มีท่าทีว่าจะสนใจอะไรไปมากกว่านั้น พลางจิบเครื่องดื่มในแก้ว มองผู้คนที่เดินเข้ามาในร้านเรื่อยๆ

“ส่วนโรงแรมสี่ห้าแห่งนั่นเป็นสมบัติเดิมของคุณหญิงกรองแก้ว ยายของเขา เห็นลือกันว่าคุณชิษณุแค่ดูแลให้เฉยๆ ไม่ได้ถือหุ้นเพราะคุณหญิงก็ยังมีลูกอีกสองคน แต่ตอนนี้เขามีอำนาจสั่งการทั้งหมด จ้างแบรด์ดังมาบริหาร เก็บเงินจากกำไรประเภทเสือนอนกิน ก็คุณชิษณุคนนี้แหละ ที่วันนั้นเขตต์เจอตอนนัดกินข้าวกับมนต์”

“คุณชิษณุนี่เก่ง” ผสุดีชื่นชม ก่อนเย้า “เพิ่งรู้ว่ายัยแป้งของเราตาถึง”

“ก็แน่ย่ะ คุณณุของฉันทั้งเก่งทั้งหล่อ”

“ของแกซะเมื่อไหร่ ของคุณพริก…นั่นต่างหาก” เป็นปรกติที่ต้องมีคนขัดคอ และครั้งนี้มณิกานต์ก็ไม่พลาด “ดูดิ…โอบซะขนาดนั้น”

สายตาทุกคู่ปราดไปด้านบน เย้าแหย่กันอย่างสนุกต่อไป จนโทรศัพท์ของปิยะรัตน์ดังขึ้น

“ศลิษาน่ะ” หญิงสาวรับสาย คุยอยู่ครู่ ก่อนวางสายแล้วแจ้งกับเพื่อนๆ “มันบอกว่าไม่ค่อยสบาย ขอถอนตัวทูไนท์”

“โดดประจำ” มณิกานต์ส่ายหัว “ตั้งแต่กลับมานี่ ได้เจอมันแค่สองครั้งเอง นัดยากเหมือนเขตต์เลย”

“ไม่นะ มนต์นัดทีไรเขตต์ก็มา เพียงแต่วันธรรมดาเท่านั้นแหละที่ลำบากหน่อยเพราะติดงาน” ชายหนุ่มยิ้มฝืนๆ แขนกระชับร่างแฟนสาวที่อิงซบไหล่เขา

“หมั่นไส้จริ๊งไอ้คู่นี้ หวานให้น้อยหน่อยได้ไหม เกรงใจคนไม่มีแฟนบ้าง” ปิยะรัตน์แกล้งค่อน
การสนทนาอย่างสนุกสนานเป็นไปอีกครู่ใหญ่ ก่อนมณิกานต์จะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ โดยไม่วายบอกพร้อมเสียงหัวเราะใส

“เชิญอยู่กับเขตต์กันตามสบาย ยกให้ห้านาที…”

“ใจดีนะยะหล่อน…”

“ย่ะ” รอยยิ้มกว้างนั้นสดใสเช่นเคยเมื่อมองคนรักและบรรดาเพื่อนสนิท

และเวลายิ่งดึกเท่าไร คนในสถานที่เที่ยวแห่งนี้ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนแม้แต่ทางเดินก็แน่นไปด้วยผู้คน

มณิกานต์รู้สึกว่าใช้เวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ในการเดินกลับมาที่โต๊ะ ทว่ายังไม่ทันถึงครึ่งทาง ก็มีคนเดินสวนมาชนกับเธอเข้าอย่างจัง จนหญิงสาวถลาไปข้างหลัง

ยังดีที่แขนของใครสักคนรองรับร่างของเธอไว้ ไม่ให้เซล้มลงไป มืออีกข้างของเขาประคองแขนเล็กไว้อย่างสุภาพ ก่อนจะคลายออกเมื่อเห็นว่าเธอสามารถทรงตัวได้แล้ว

“ไม่เป็นไรนะครับ” เสียงทุ้มสุภาพถาม

“ค่ะ ขอบคุณ” หญิงสาวหันไปยิ้มขอบคุณ แต่ก็ต้องชะงัก เพราะใครจะคิด…

ใบหน้าคมคายของชิษณุยิ้มให้ก่อนที่เขาจะเดินจากไป

จนมณิกานต์ต้องคิดอย่างขบขัน…เพิ่งจะเมาท์อย่างเมามันส์ไปหยกๆ คราวนี้เจอตัวจริง เสียงจริง สัมผัสจริง

ถ้าเล่าให้ปิยะรัตน์ฟังรายนั้นคงหูผึ่งด้วยความอิจฉาเป็นแน่แท้
 
 
===========================================================
WARNING ---------- คำเตือน ---------- WARNING
===========================================================
 
= นิยายเรื่องนี้จะลงในเด็กดีและใน literature.bloggang.com และเปิดให้อ่าน แต่ผู้เขียนขอสงวนการปิดการอ่านใน 5 บทสุดท้าย และอาจจะปิดการอ่านของนิยาย...ก่อนหรือเมื่อมีการตีพิมพ์
 
= นิยายเรื่องนี้ได้เขียนไว้เกือบ 15 ปีแล้ว ผู้เขียนจะพยายามปรับเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันนะคะ
 
= และเพราะนิยายเรื่องนี้ถูกแก้ไขมาหลายปีแล้ว การแก้ไขจะยังมีอยู่ตราบใดที่ยังไม่ตีพิมพ์ค่ะ
 
= ผู้เขียนน้อมรับคำท้วงติง คำติ คำเตือน และจะยินดีมากที่ผู้อ่านจะติชมค่ะ
 
ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกความปรารถนาดี ขอบคุณผู้อ่านที่อดทนในความไม่ค่อยเขียนของผู้เขียนนะคะ
 
: มานัส
 
Facebook : www.facebook.com/manasauthor
Blog : literature.bloggang.com
Youtube : https://youtu.be/N3W0UtgPRdM
 

ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นเป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลงหรือนำไปเผยแพร่ต่อไม่ว่าในกรณีใดๆ ไม่ว่าทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของผลงาน

=====สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537=====
 



 


Create Date : 16 กันยายน 2562
Last Update : 16 กันยายน 2562 16:15:49 น. 0 comments
Counter : 660 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sentimentally Smooth
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ชอบคิดชอบเขียนชอบพูด...และชอบเที่ยว

บทประพันธ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ "ฤารัก"

หลงรักเพราะรักฤๅรักหลง
หลงลมรัญจวนไม่รู้หาย
หลงรูปหลงจูบเพียงร่างกาย
หลงง่ายหลงผิดฤๅหลงกล
Friends' blogs
[Add Sentimentally Smooth's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.