|
กลยุทธ์อ่านคนข้อที่ 1 อ่านแรงจูงใจของคน

การจะอ่านคนให้ได้ดีนั้น โดยทั่วไปเรามักจะนึกถึงการนิสัยใจคอ หรืออ่านความคิดของคนในขณะนั้นเป็นหลัก แต่แท้จริงแล้วก่อนที่เราจะไปรู้ถึงรายละเอียดซึ่งมีมากมายนั้น การเข้าใจพื้นฐานหลักความคิดความต้องการของคนๆ หนึ่งนั้น จะทำให้เราได้เข้าใจหรือทำนายถึงพฤติกรรมอื่นๆ ที่จะตามมาได้อีกมาก
แรงจูงใจคือบ่อเกิดของพฤติกรรมทั้งปวง และทุกคนส่วนใหญ่มีแรงจูงใจ แต่จะมีระดับมากน้อยไม่เหมือนกันอันเกิดจากการเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อมมาแต่เด็กๆ ทิศทางการกระทำทั้งหมดแทบจะทั้งหมดในชีวิตของเราก็เพียงเพื่อตอบสนองแรงจูงใจหรือความต้องการเฉพาะตนของเรานี้ ซึ่งก็มีพื้นฐานมาจากสิ่งเดียวกันก็คือมันทำให้เราแต่ละคนมีความสุข
แนวคิดเรื่องแรงจูงใจนี้ ผมได้ยินได้ฟังมาโดยบังเอิญจากผู้รู้อีกท่านหนึ่ง จึงกลับมาศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม แต่ก็หาไม่ได้ละเอียดนัก จึงนำความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาของมนุษย์ที่ผมมีมาขยายความต่อ โดยวิเคราะห์จากกรณีจริงเท่าที่จะนึกได้ ว่าคนเหล่านั้นมีอะไรเป็นแรงจูงใจสำคัญในชีวิต ซึ่งก็ได้คำตอบมาดังที่ผมจะกล่าวต่อไป
แรงจูงใจหลักของคนเรานี้ มันคือสิ่งที่คนเราสนใจหรือให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องมีสิ่งเดียว แต่โดยทั่วไปจะมีสิ่งหลักๆ ที่เราให้ความสำคัญมากไม่เกิน 3 ข้อ แรงจูงใจเหล่านี้จะเรียกว่าเป็นศูนย์กลางของชีวิต(Center) ของคนๆ หนึ่ง และสิ่งนี้เรามักนำมาชั่งน้ำหนักเวลาที่ความต้องการของเราขัดแย้งกัน เหมือนกับถ้าได้หนึ่งอย่างต้องเสียอีกหนึ่งอย่างไป ถ้าสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญน้อยมากสำหรับเรา เมื่อเทียบกับอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก เราก็จะตัดสินใจง่าย แต่หากสองสิ่งนั้นสำคัญมากเท่าๆ กัน เราจะตัดสินใจยาก (แสดงว่ามันอยู่ในระดับต้นๆ ทั้งคู่) แต่หากไม่สำคัญทั้งคู่ เราก็อาจจะเลือกอะไรก็ได้ เพราะเราไม่ให้ความสำคัญกับมัน เป็นต้น
Success Centered
1.Work Centered หน้าที่และงานมาก่อนอื่นใด คิดว่าความบกพร่องในหน้าที่เป็นการทำให้คุณค่าในตัวตนของตนเองเสื่อมเสีย ต้องรักษาคุณภาพงานไว้ดุจชีวิต คุณภาพของงานคือสิ่งที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของเขา ความรู้สึกว่าตัวเองเก่งและมีความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการมากกว่าอื่นใด พวกนี้มักเป็นคนทำงานที่ดี ศักยภาพในตัวเองสูง แต่บางครั้งมนุษย์สัมพันธ์ไม่ดี
2.Money Centered ต้องการมีเงินมากๆ การมีเงินมากๆ ทำให้พวกเขารู้สึกมั่นคง รู้สึกประสบความสำเร็จ จึงเพ่งมองที่เงินหรือผลตอบแทนเป็นหลัก และก็มักมีแนวโน้มวัดความสำเร็จของคนด้วยเงินที่มี(เพราะเงินคือความสำเร็จ) ชื่นชมคนรวย พ่อค้าหรือนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จสูงๆ มักมีข้อนี้อยู่ในอันดับต้นๆ ด้วยเสมอ อาจเป็นคนโอ้อวดรวยออกมาทางวัตถุหรือไม่ก็ได้ (บางคนไม่ชอบอวดรวย ประหยัด มัธยัสถ์ จนถึงซ่อมซ่อ แต่ภูมิใจในความรวยของตน
3.Power Centered รักการมีอำนาจ ชอบความรู้สึกที่ว่าตนเป็นบุคคลพิเศษเหนือกว่าคนทั่วไป ชอบการเป็นผู้นำ(เพราะผู้นำคือการมีอำนาจ) และเมื่อมีอำนาจ มักชอบใช้อำนาจอย่างเด็ดขาด เมื่อยังไม่มีอำนาจก็มักชอบคลุกคลีอยู่กับผู้มีอำนาจ ส่วนใหญ่จะเป็นทหาร หรือนักการเมือง(ที่ชอบอำนาจมากกว่าการแสวงหาผลประโยชน์)
4.Reputation Centered ต้องการคำชื่นชมนิยม มีมุมมองต่อความสำเร็จด้วยมิติของการยอมรับนับถือจากบุคคลอื่นจำนวนมาก คนดังที่สุดคือคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในสายตาของพวกเขา ชอบหาโอกาสแสดงตนหรือความคิดเห็นต่อสาธารณะ ชอบประดับประดาตนเองด้วยเครดิตต่างๆ ไม่ชอบทำงานปิดทองหลังพระ แต่ชอบปิดทองหน้าพระ หรือบางคนก็ถึงกับทำงานเอาหน้าก็มี
5.Ability Centered ต้องการพิสูจน์ความสามารถ คนกลุ่มนี้จะคล้ายๆ Reputation Centered อยู่บางส่วน คือต้องการการยอมรับหรือชื่อเสียง แต่พวกเขาไม่ต้องการชื่อเสียงในสายตาของคนทั่วไปเท่าไรนัก(ถ้าได้ก็ไม่เป็นไร) แต่คนกลุ่มนี้จะเน้นที่การเป็นที่ยอมรับของคนในวงการเดียวกัน หรือคนที่เก่งๆ ด้วยกัน ต้องการเป็นสุดยอดของสุดยอด มีแรงผลักดันด้านการแข่งขันสูงมาก ทำอะไรก็ต้องการจะเป็นที่ 1 เสมอ
Self Centered
6.6. Wisdoms & Discover Centered ต้องการเข้าใจในสิ่งต่างๆ หรือค้นพบสิ่งใหม่ๆ เป็นพวกสนใจ ใคร่รู้ อยากรู้ อยากเข้าใจถึงความเป็นไปของสิ่งต่างๆ ชอบใช้ความคิด ซึ่งถ้าเป็นพวก Wisdom Centered ที่แท้จริงนั้น จะไม่ค่อยมีแรงจูงใจของความสำเร็จจากสิ่งอื่นภายนอกมากนัก นอกจากการได้รู้ถึงสิ่งที่เขาสงสัย หรือสิ่งที่พวกเขาต้องการค้นคว้าและใคร่รู้เท่านั้น ที่ทำให้พวกเขารู้สึกอิ่มเอมใจ ความรู้สึกได้รู้ในสิ่งใหม่ๆ ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนเป็นผู้ชนะ มักไม่ค่อยสนใจชื่อเสียงหรือเกียรติยศมากนัก มักเป็นพวกนักวิทยาศาสตร์ นักค้นคว้าวิจัย นักประดิษฐ์ นักทฤษฎี และนักคิดต่างๆ
7.Self Centered เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ คนที่อยู่ในกลุ่ม Self Centered มักเป็นคนที่ต้องการความสำเร็จเหมือนเช่นเดียวกับคนหลายๆ กลุ่มที่ผ่านมา แต่เป็นคนยึดมั่นกับความคิด ของตัวเองมากกว่าอย่างอื่น การยอมรับว่าตัวเองผิดเป็นสิ่งที่ยากเกินจะยอมรับ พวกเขาจึงพร้อมที่จะสละเงิน ตำแหน่ง หรืออื่นๆ ดีกว่าการยอมแพ้ หรือยอมรับว่าตัวเองผิด บางครั้งจึงเข้ากับคนอื่นได้ยาก และไม่ค่อยก้าวหน้านัก ชอบการถกเถียงทางความคิด(แต่มักทะเลาะกับคนอื่นเสมอ)
Relationship Centered
8.Family & Child Centered ครอบครัวมาก่อน เป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวมากเป็นพิเศษ มักชอบเทคแคร์คนในครอบครัวให้มีความสุข ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ คู่สมรส หรือลูก ส่วนใหญ่ผู้หญิงมักมีระดับของ Family Centered มากกว่าผู้ชาย กลุ่มนี้จะสละได้ทุกอย่าง ขอให้มีเวลาอยู่กับครอบครัว หรือทำให้ครอบครัวมีความสุข
9.Friend Centered รักเพื่อนยิ่งกว่าอื่นใด กลุ่มนี้มักเป็นคนมีเพื่อนมาก และเมื่อต้องมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ของตนกับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน จะเลือกเพื่อนก่อนเสมอ และแม้บางครั้งเพื่อนจะทำผิดต่อตนเอง ก็พร้อมจะให้อภัยได้เสมอ แม้ว่าเพื่อนกับครอบครัวจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์เหมือนกัน แต่บางคนก็มีเพียงข้อเดียวเท่านั้น ในกลุ่มที่สุดโต่งจะเป็นคนรักสนุกเฮฮาเกินไป บางทีการงานไม่ก้าวหน้า
Ideal Centered
10.Social Centered ประโยชน์ของกลุ่มหรือสังคมมาก่อน มักเป็นคนไม่มีความทะเยอะทะยานในทางส่วนตัวมากนัก และยอมสละผลประโยชน์ส่วนตัว เพื่อประโยชน์ของสังคม ถ้าจะมีแรงผลักดัน ก็มักเป็นแผนการที่เกิดจากการต้องการแก้ไขปัญหาสังคมเกิดจากการคิดว่า สังคมหรือกลุ่มมีปัญหาใหญ่ต้องแก้ไข ไม่ยึดติดกับหลักการมาก แต่มองผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับสังคมเป็นหลัก พวกนี้มักเป็นกลุ่ม NGO
11.Ethic or Principle Centered จริยธรรม หลักการ และความถูกต้องมาก่อน เน้นแก้ปัญหาโดยยึดหลักการที่มีอยู่ หรือหลักการที่ตนเองยึดถือเป็นแนวทาง และมีแนวคิดว่า จริยธรรม และความถูกต้อง จะนำมาซึ่งผลประโยชน์และสันติสุขของสังคมอย่างแท้จริง ค่อนข้างมีความคิดไปทางอุดมคติ และอาจมีความรู้สึกเกี่ยวกับความภูมิใจในความเป็นผู้ประพฤติตนบริสุทธิ์ของตัวเองด้วย จึงเน้นเรื่องความถูกต้องเป็นหลัก ไม่ชอบที่ตนเองจะต้องแปดเปื้อนด้วยสิ่งไม่ดีไม่งาม เช่น การทุจริต ฯลฯ ค่อนข้างตึงกับเรื่องจริยธรรม
Happy Centered
12.Pleasure Centered สุขนิยม ถ้าจะต้องเลือกงาน จะเลือกที่ทำแล้วมีความสุขมาก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ชอบเผชิญกับความเครียดโดยไม่จำเป็น อาจรับภาระการงานที่หนักทางกายได้ แต่หากเป็นงานที่รักที่ชอบ ก็ทนได้ แต่หากเกิดความเครียดถึงระดับ จะทนไม่ได้เลย เพราะไม่มีความสุข
13.Comfortable Centered รักสบาย คนกลุ่มนี้จะต่างกับกลุ่มสุขนิยมตรงที่ว่า ความสุขของพวกเขาคือความสบายทางกาย อาจเรียกได้ว่าไม่ขยันก็ว่าได้ ไม่ชอบทั้งทำงานหนัก ทั้งความเครียด หรือเจอปัญหาใดๆ เรียกว่า ถ้ามีเงินให้ดำรงชีพอยู่ได้ ก็เลือกที่จะไม่ทำงานมากกว่า ถ้าต้องทำงาน ก็ทำให้ถึงขั้นเพียงไม่ต้องลำบาก แล้วก็จะหยุด หรือหมดแรงผลักดันไป
ข้อสำคัญของหลักการเหล่านี้คือ อย่ามองอะไรเพียงผิวเผิน เช่น บางคนต้องการเงินเพียงแค่ไปสร้างชื่อเสียงให้เขาต่างหาก ดังเช่น ที่ผมเคยกล่าวแล้วเรื่อง บิล เกตส์ ต้องการเงินไปแสดงความสำเร็จ(แม้ว่าบิลเกตส์จะมีเงินมากและเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก แต่แท้จริงในความเห็นผม บิล มีความเป็น Success Centered สูงมาก ชัยชนะของเขาคือเกม และเขาต้องการการยอมรับจากกลุ่มคนเก่งด้วยกันเป็นหลัก) หรือบางคนสร้างภาพ ว่ารักครอบครัวเพื่อต้องการการยอมรับจากสังคม และบางคนเอาใจใส่ครอบครัวหรือลูกมาก แต่บังคับทุกอย่าง พวกนี้จะเป็น Self Centered แทนที่จะเป็น Family Centered สังเกตได้จาก ถ้าลูกๆ หรือคนในครอบครัวไม่ทำตามที่เขาบอก เขาจะถอดถอนความรักทันที เป็นต้น
การที่เราเข้าใจเรื่องแรงจูงใจที่แท้จริงของคนนี้ จะทำให้เราทำนายและคาดเดาพฤติกรรมในอนาคตของคนได้ถูกต้อง และการเลือกคนในการร่วมงาน ความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่นๆ ได้ถูกต้อง และสิ่งเหล่านี้อาจใช้ได้ถึงเป็นการวางเกมในเชิงต่อสู้ได้ เพราะเรารู้สิ่งที่คู่ต่อสู้ให้ความสำคัญแล้ว ถ้าเราเข้าใจเรื่องแรงจูงใจนี้แล้ว เราจะเห็นว่าทุกพฤติกรรมของคนๆ นั้นจะสอดคล้องกับสิ่งที่เขาให้ความสำคัญเหล่านี้ครับ
*** ผมอัพเดททางความคิดเพิ่มเติมไปบางส่วนนะครับ
Create Date : 05 มีนาคม 2551 |
Last Update : 31 กรกฎาคม 2552 20:33:55 น. |
|
3 comments
|
Counter : 4140 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: นายแจม วันที่: 5 มีนาคม 2551 เวลา:13:50:15 น. |
|
|
|
โดย: Lertpiyayowong, Piya [Piya.Lertpiyayowong@thaimottmac.com] IP: 203.149.16.31 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2551 เวลา:14:12:33 น. |
|
|
|
โดย: le IP: 119.42.93.239 วันที่: 21 มิถุนายน 2553 เวลา:17:57:10 น. |
|
|
|
| |
|
|
Location :
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]

ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]

|
จากทักษะของการเป็นนักคิด นักวิเคราะห์ บวกกับความสนใจใน"กระบวนการ"และ"ปัจจัย"ที่ก่อให้เกิดเป็นความสำเร็จ ที่ทำให้ผมศึกษาและวิเคราะห์กรณีศึกษาเกี่ยวกับความสำเร็จและความล้มเหลวจำนวนมาก จนเชี่ยวชาญในองค์ความรู้พอที่จะขอเรียกตัวเองว่า "ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งความสำเร็จ"
|
|
|
|
|
|
|