หนึ่งปีที่ผ่านมา #2 หนึ่งปีกับชีวิตนิสิตปริญญาโท
แล้วฤดูกาลเปิดเทอมก็เวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่ง รัฐบาลเขาว่าให้เรียนฟรี แต่ทำไมโรงรับจำนำยังขายดีเหมือนเดิม เผลอไปแผล่บเดียว ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าใกล้จะหมดซัมเมอร์แล้วหรือนี่ ช่วงเวลานี้เมื่อปีที่แล้ว ผมเพิ่งได้เปลี่ยนสถานะไปใช้คำนำหน้าว่านิสิตเป็นครั้งแรก ดูดีมีชาติตระกูลไหมครับ ใช้กันอยู่ไม่กี่สถาบัน เคยได้ยินคำถามว่า ทำไมเขาไม่เปลี่ยนมาเรียกให้เหมือนกัน นิสิต นักศึกษา มันก็ไม่ได้แตกต่างกันสักหน่อย ผมได้ให้ความเห็นไปว่า "แล้วจะให้ฝ่ายไหนเปลี่ยนเล่าครับ" คงจะยอมกันหรอก นี่ผมนอกเรื่องไปไหนแล้วเนี่ย แค่จะบอกว่าขณะนี้ก็ผ่านการเป็นนิสิตปริญญาโทมาครบหนึ่งปีแล้วเท่านั้นเอง ระยะเวลาเท่ากับความล่าช้าของบล็อกนี้ ซึ่งที่จริงคิดว่าจะเขียนตั้งแต่ตอนเข้าเรียนใหม่ๆ สุดท้ายมารวบยอดเอาตอนครบปีนี่ซะเลย ซัมเมอร์ที่กำลังจะหมดลงนี้ ผมไม่มีเรียนครับ เพราะสาขาที่ผมเรียนไม่เปิดให้ลงทะเบียน และถึงเปิดผมก็ไม่ลงอยู่ดี เพราะความตั้งใจแต่แรกของผมคือหยุดซัมเมอร์นี้จะหาที่เที่ยวให้สะใจ พร้อมๆ กับหาหัวข้อวิทยานิพนธ์ไปด้วย แต่แล้วกลับผิดแผนครับ ช่วงตลอดซัมเมอร์ผมต้องไปสอนร้องเพลงที่โรงเรียนดนตรีแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นของรุ่นน้องผมเอง กลายเป็นไม่ว่างหนักกว่าเก่า เพราะเปิดเทอมผมยังเรียนแค่วันศุกร์กันเสาร์ แต่ตอนนี้แม้แต่วัน อาทิตย์ซึ่งเป็นวันเที่ยววันถ่ายรูปของผมก็ไม่ว่างไปด้วย คิดอยู่หนักเลยว่าจะเอาอย่างไรดี อยากเที่ยวก็อยากเที่ยว ไปออกทริปถ่ายรูปก็อยาก แต่พอได้เจอลูกศิษย์แล้วมันก็อยากสอน บ่นมาตั้งนานผมยังไม่ได้เล่าเลยว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ผมไปเรียนอะไรที่ไหน ผมไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ ภาควิชาศิลปนิเทศ สาขาดนตรีชาติพันธุ์วิทยา ภาคพิเศษ
ทุกครั้งที่มีคนถามว่าผมเรียนโทที่ไหน ผมจะเตรียมตัวรับมือกับการอธิบายไว้เสมอ เพราะบอกไปแล้วมักจะตามมาด้วยอาการงงๆ ของผู้ถามเสมอ ถ้ามีเวลาฟังผมก็จะอธิบายให้ฟังครับ ถ้าไม่พร้อมจะฟังผมก็จะบอกสั้นๆ เอาเป็นว่า ดนตรีชาติพันธุ์วิทยา หรือ Ethomusicology ที่ผมเรียนเนี่ย เป็นการศึกษาวิจัย สายมนุษยวิทยา+ดนตรีวิทยา พูดกว้างๆ คงจะพอนึกภาพออก วันสมัคร ขับรถไปครับ ใครเป็นเด็กเกษตรหรือเคยไปคงรู้ว่า ม.เกษตรช่างกว้างใหญ่และซับซ้อนเสียนี่กระไร เปิดกระจกถามทางกันให้งง ว่าคณะมนุษยศาสตร์ไปทางไหน นี่ขนาดโทรสอบถามก่อนแล้วนะ แต่พอไปถึงห้อง บุคลากรน่ารักมากครับ อำนวยความสะดวกให้อย่างดี รายละเอียดมีการเปลี่ยนแปลงกระทันหันก็โทรสอบถามให้จนกระจ่าง ทำให้ประทับใจและอยากเรียนเพิ่มขึ้นเป็นกอง วันสอบ วันเดียวกันสอบทั้งข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์บ่ายนั้นเลย เตรียมตัวไปบ้างแต่ไม่มากเท่าไหร่ เพราะเคยได้เตรียมตัวมาก่อนหน้านี้แล้วเรื่องทบทวนความรู้ต่างๆ ห้องสอบเล็กๆ เพราะคนสอบมีจำนวนไม่มาก พอสอบข้อเขียนเสร็จก็มานั่งรอสอบสัมภาษณ์ ได้เจอกันรุ่นน้องสมัย ป.ตรี คนนึง ผมจำเขาไม่ค่อยได้หรอกครับ แต่เขาเข้ามาทัก ก็เลยได้นั่งคุยกันฆ่าเวลา นั่งสูบบุหรี่ไป ก็พูดกันว่าเดี๋ยวถ้าสอบติดจะหาที่เขี่ยบุหรี่ถังขยะแบบตามห้างมาตั้งที่นี่ ไม่รู้ถือเป็นการบนหรือเปล่า แต่ถึงวันนี้ยังไม่ได้หามาตั้งเลย ฟ้าดินจะลงโทษไหมเนี่ย ก็ไอ้ถังขยะเขี่ยบุหรี่แบบที่เห็นตามห้างน่ะ พอไปสอบถามราคามามันแพงจังเลย
แล้วเวลาเข้าห้องเชือด เอ๊ย...ห้องสอบสัมภาษณ์ก็มาถึง ถ้าจำไม่ผิดผมจะเป็นคนสุดท้ายหรือรองสุดท้ายนี่แหละ ตอนสัมภาษณ์ อาจารย์ถามอะไรผมก็ตอบตามความจริงและความคิดผมทุกอย่าง แอบตะหงิดๆ กับวิธีการถามของอาจารย์บางอย่าง ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าอาจารย์ไม่อยากให้ผมเรียนเอาเสียเลย ไม่กล้าเล่าตรงนี้ครับ เดี๋ยวหาว่านินทาอาจารย์ เปิดเทอมนี้ต้องเรียนกับอาจารย์ท่านนั้นเสียด้วย ประกาศผล รายงานตัว ปฐมนิเทศ และแล้วผลก็ออกมาเรียบร้อย ได้ที่เรียนแล้วเรา วันรายงานตัวก็ไม่มีอะไรมากครับ เซ็นต์ชื่อ รับใบแจ้งหนี้หรือใบจ่ายค่าลงทะเบียนนั่นเอง และรับกำหนดการปฐมนิเทศและเปิดเทอม ซึ่งค่อยยังชั่วที่ไม่ตรงกับช่วงที่ต้องไปฝรั่งเศส พอกลับมาปฐมนิเทศพอดี ได้เจออาจารย์และรุ่นพี่ที่ต้อนรับขับสู้น้องๆเป็นอย่างดี ทั้งภาคปกติและภาคพิเศษ เปิดเทอม วันเปิดเทอมที่รอคอยก็มาถึง ผมไปก่อนเวลาพอสมควร เจอเพื่อนและก็นั่งคุยกัน พร้อมกับชมบรรยากาศมหาวิทยาลัย เพราะเป็นวันศุกร์เลยได้เห็นนิสิตปริญญาตรีด้วย แล้วก็พูดออกมาว่า "โอ้...หลายคนชอบบอกว่าเด็กเกษตรไม่ค่อยมีสาวน่ารัก โกหกชัดๆ" ต่อไปถ้าได้ยินใครพูดแบบนี้ ผมเถียงขาดใจเลย เทอมแรกนี้ผมต้องลงเรียนพื้นฐานดนตรีชาติพันธุ์วิทยาหนึ่งตัว ส่วนอีกสองตัวเป็นวิชาทางสายสังคมศาสตร์ ซึ่งอาจารย์ผู้สอนก็มาจากคณะสังคมศาสตร์ด้วย แต่เริ่มต้นก็โดนจับของยากมาให้เสียแล้วเรา
รู้ไหมครับ แค่เรียนวันแรกผมก็ขออนุญาติอาจารย์ลาในสัปดาห์หน้าแล้ว เพราะต้องไปตุรกี (ปีที่แล้วนี่ไปต่างประเทศบ่อยมากครับ เป็นปีทองการท่องเที่ยวของผม) พอเรียนเสร็จสัปดาห์นั้น ผมต้องรีบแจ้นไปยืมเครื่องอัดเสียงจากเพื่อน เพื่อนำมาฝากให้อัดแลคเชอร์ครั้งที่ผมขาดให้หน่อย เพราะเรียนครั้งแรกก็รู้ตัวครับว่าถ้าขาดไปครั้งนึงนี่ก็แย่แล้ว บรรยากาศในการเรียนน่าทึ่งมากครับ ต่างกับสมัยปริญญาตรีฟ้ากับดิน อาจารย์ให้เกียรตินิสิตมากๆ มีอยู่อาจารย์คนหนึ่งเรียกพวกเราว่า "ท่านอาจารย์" โห...โคตรให้เกียรติเลย ทั้งๆ ที่ท่านเหล่านั้นน่ะ ดร. กันทุกคนนะครับ เพื่อนร่วมชั้น น่ารักกันทุกคนครับ อบอุ่นครับเพราะมีกันตั้ง..... 7 คนแน่ะ บางคนอาจจะงงว่าเรียนกันแค่นี่เองเรอะ ? จริงครับ สายวิชาพวกนี้ก็เรียนกันเท่านี้ทั้งนั้นครับ มีแต่สาย MBA เท่านั้นแหละครับที่จะเรียนกันหลายสิบคน นี่ว่าเยอะแล้วนะ ภาคปกติรุ่นนี้เขามีกันแค่ 3 คนเอง ผู้หญิงล้วนด้วย ส่วนวันเสาร์ที่เรียนวิชาทางสังคมศาสตร์นี่เยอะขึ้นมาหน่อย เพราะมีรุ่นพี่มาเรียนรวมกันด้วย เป็น 13 คน ไม่ได้เจอเพื่อนเลยตลอดช่วงซัมเมอร์นี้ เดี๋ยวอีกไม่นานก็คงได้เจอกันอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็น
ปอนด์ - รุ่นน้องผมตั้งแต่สมัยปริญญาตรี น่าเสียดายที่ปอนด์เรียนได้เทอมเดียวก็โบกมือลาไม่เรียนแล้ว คนยิ่งน้อยๆอยู่ พี่เม้ง - พี่ใหญ่ที่สุดของห้องเรา สาบสิบกว่าเลยวัยกลางคนไปแล้ว แต่ทำไมพี่หน้าใสโคตรเลย หรือเพราะว่าพี่สอนวงโยฯอยู่โรงเรียนหญิงล้วนหว่า เลยสดชื่น เต้ - ทรอมโบนมือดีจากกองดุริยางค์ทหารอากาศ เป็นคนเดียวในชั้นที่คุยเรื่อง เฮๆ เที่ยวๆ กับผมได้ จิ๊บ - ครูครูหนุ่มจากสาธิตราชภัฎวลัยอลงกรณ์ บี้ - น้องเล็กแต่ตัวโต เพิ่งจบหมาดๆ จากมหาสารคราม ดาว - สุภาพสตรีเพียงคนเดียวในห้อง บ้านอยู่ใต้ แต่ไปสอนหนังสือถึงปากช่อง ทุกสัปดาห์ต้องถ่อมาเรียนในกรุงเทพฯ ขยันจริงๆ
ยุ้ย อ้อม น้อยหน่า สามสาวภาคปกติ แม้จะไม่ได้เรียนด้วยกัน แต่ก็เจอกันบ่อยๆ เพราะเวลาไปออกภาคสนามพวกเราก็ไปด้วยกัน แล้วก็พี่นิด พี่อ้อม พี่ตั้ม พี่ตอย ที่ได้เรียนด้วยกันมาตลอดเทอมแรก พี่กุ้ง พี่กอลฟ์ ที่เทอมสองก็ยังได้เรียนวิชาเดียวกันอยู่ตัวนึง เทอมสอง คิดว่าเทอมแรกลำบากแล้ว เทอมสองหินกว่าครับท่านผู้ชม วิชาดนตรีโลก ทำเอาพวกเรามึนกันได้ทุกชั่วโมง แม้ว่าจะได้ทึ่งกับความมหัศจรรย์ของดนตรีเปอร์เซีย ตะวันออกกลาง และอินเดียก็เถอะนะ ถือว่าเป็นวิชาที่เนื้อหายากที่สุดตั้งแต่เคยเรียนมา วิชาเสริมอีกตัวหนึ่งคือเทคโนโลยีการใช้สื่อ ตัวนี้สำหรับผมสบายหน่อย เพราะอยู่กับพวกนี้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหา และวิชาระเบียบวิธีวิจัย ซึ่งส่วนหนึ่งวิชานี้พวกเราจึงได้ไปออกภาคสนามกัน ออกภาคสนาม ช่วงหลังปีใหม่ 11 ชีวิต นั่นคือพวกผม 6 คน กับภาคปกติ 3 คน อาจารย์ 1 และคนขับรถอีก 1 ได้เดินทางไปเก็บข้อมูลภาคสนามกันตามเขาต่างๆ ในอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ คนกรุงอย่างผมไม่รู้หรอกครับ อำเภออะไรใหญ่เป็นบ้า ตื่นออกจากที่พัก(บนพื้นดิน) นั่งรถตู้สามชั่วโมง ยังอยู่ในอำเภอเดิมอยู่เลย เพื่อไปต่อรถกระบะขึ้นเขาอีกชั่วโมงกว่า ทางขึ้นเขาก็สุดๆไปเลย นั่งกระบะท้ายกระแทกกระเด้งสุด ใครเคยเห็นคงนึกภาพถนนหินขรุขระและคดเคี้ยวออกนะครับ ทั้งขึ้นทั้งลงระดมกันสุดๆ เป็นอย่างนี้เหมือนกันสองวันเต็มๆ เราไปเก็บข้อมูลดนตรีชาวเขากันครับ กระเหรี่ยงและม้ง ต้องทึ่งกับความเป็นอยู่ของพวกเขา เพราะทุกอย่างสามารถผลิตได้เองในหมู่บ้าน ข้าว ผัก หมู ไก่ ไม่ต้องไปหาซื้อที่ไหน ปลูกเองเลี้ยงเองกินเอง อย่างเดียวที่ต้องขนมาจากพื้นราบคือ เกลือ แต่อย่าคิดว่าจะไม่ทันสมัยนะครับ ขอโทษเถอะ มีจานดาวเทียมกับโซลาร์เซลด้วย อยู่อมก๋อยกัน 5 วันก็กลับกรุงเทพฯ ส่วนผมไม่ได้กลับด้วยครับ หารถต่อไปอำเภอเมืองอยู่เที่ยวอีกอาทิตย์นึงได้ ทำเอาติดใจเชียงใหม่ไม่ยอมกลับเลย
วันพรุ่งนี้ (6 มิ.ย. 52) จะมีปฐมนิเทศนิสิตใหม่แล้ว รุ่นพี่อย่างพวกเราก็ต้องไปให้การต้อนรับน้องๆ อยู่แล้ว
งั้นผมควรรีบไปเตรียมตัวดีกว่านะครับ ตอนนี้ก็ยังไม่เรียบร้อยดีเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้วุ่นแย่ มีกันอยู่ไม่กี่คนเองพวกเรา
ไปล่ะครับ สวัสดี
Create Date : 15 พฤษภาคม 2552 |
|
17 comments |
Last Update : 5 มิถุนายน 2552 22:09:34 น. |
Counter : 6303 Pageviews. |
|
|
|