สารบัญ | ตอนที่แล้ว | ตอนถัดไป
จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค 1 - ตอนที่ 32
10 กันยายน 2550 / ปรับปรุงแก้ไข :
32-1
“พวกเจ้าคิดจะตั้งตนเป็นกบฎหรืออย่างไร ถึงได้พูดจาเหลวไหลออกมาได้เต็มปากเต็มคำเยี่ยงนั้น เรื่องราวในอดีตของหวงโห้วหลี่ว์(吕)ในรัชสมัยของหวงตี้เกาจู่ก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่าง คนสกุลหลี่ว์(吕)กุมอำนาจ ไก่สุนัขพากันขึ้นสวรรค์(鸡犬升天 1) แล้วผลเป็นยังไง เหลือคนสกุลหลี่ว์(吕)มีชีวิตรอดอยู่กี่คน หลังจากที่หวงโห้วหลี่ว์(吕)สิ้นพระชนม์ คนสกุลหลี่ว์คิดจะล้มล้างคนสกุลหลิว โจวปั๋ว(周勃)หนึ่งในสิบขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ยังคงภักดีให้การสนับสนุนคนสกุลหลิว(十老安刘 2) ได้นำกำลังทหารเข้าปราบปรามยึดอำนาจจากคนสกุลหลี่ว์(吕) ใครที่ดำรงตำแหน่งอ๋องแต่ไม่ใช่คนสกุลหลิว(非刘氏而王者) ทุกคนล้วนถูกฆ่าตาย เรื่องราวแค่ไม่กี่สิบปี พวกเจ้าต่างลืมกันหมดแล้วหรืออย่างไร” หมายเหตุ เมื่อเห็นบรรดาขุนนางสกุลโต้วนิ่งเงียบ ไท่โห้วโต้วจึงตรัสต่อไปว่า “ใกล้จะเปลี่ยนรัชกาล(改朝换代)แล้ว เราก็แค่ต้องการจะรักษา(保住)ลาภยศและเกียรติ(荣华富贵)ของพวกเจ้าเอาไว้ ไม่ใช่ปล่อยให้พวกเจ้าไปเอาบันไดที่พาดไว้ออกจากพระจันทร์ เกิดวันใดที่เราไม่อยู่ แล้วพวกเจ้าเกิดมีชีวิตอยู่อย่างลำบากขึ้น เราก็ไม่อาจจะเห็นได้อีกแล้ว” ได้ยิ้นที่ไท่โห้วโต้วตรัส ขุนนางสกุลโต้วต่างพร้อมใจกันกล่าวออกมาว่า “พวกข้าพระองค์ มิบังอาจ” “เวลานี้ มีทางเลือกอยู่สองทาง ทางแรกก็คือหลิวเช่อโอรสของหวงตี้ ทางเลือกที่สองก็คืออ๋องเหลียงลูกชายคนเล็กของเรา คนไหนที่พวกเจ้าคิดว่าเหมาะสมที่สุด” ตรัสจบไท่โห้วโต้วก็ทรงหันไปถามหลานชาย “โต้วอิง เจ้าเป็นคนที่ชอบแสดงความคิดเห็นนี่ ไหนเจ้าลองพูดออกมาทีสิ” “แผ่นดินควรจะต้องถูกปกครองโดยหวงตี้ผู้มากด้วยวัยวุฒิ(国赖长君) ข้าพระองค์เห็นว่าอ๋องเหลียงเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด” โต้วอิงทูลบอกความคิดเห็นของตนเอง “อ๋องเหลียงเหมาะสมแล้ว” บรรดาขุนนางสกุลโต้วต่างกล่าวสนับสนุนคำพูดของโต้วอิง เมื่อไท่โห้วโต้วทรงเห็นขุนนางสกุลโต้วกล่าวสนับสนุนเป็นเสียงเดียวกันเช่นนี้ ก็ทรงดีพระทัยแต่ก็เก็บพระอาการไว้ไม่แสดงออกมาให้เห็น “นี่เป็นสิ่งที่พวกเจ้าพูดออกมาเองนะ” “เป็นมติของพวกข้าพระองค์” บรรดาขุนนางสกุลโต้วเอ่ยกราบทูล “เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งหมดออกไปได้ เรื่องนี้ห้ามแพร่งพราย(透露)ให้คนนอกรู้โดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น เราจะไม่สนว่าพวกเจ้าจะแซ่โต้วหรือไม่” ไท่โห้วโต้วตรัสกำชับ “พวกข้าพระองค์ทราบแล้ว” ไท่โห้วโต้วตรัสเรียกหลานชาย “โต้วอิง เจ้าอยู่ก่อน เจ้าจงไปร่างพระพินัยกรรมมอบราชสมบัติมาตามนี้” “น้อมรับพระบัญชา พะย่ะค่ะ”
32-2
หมอหลวงเดินนำเฉินอาเจียวเข้าไปยังห้องบรรทมของหวงตี้จิ่งตี้ หมอหลวงทำการคุกเข่าถวายความเคารพต่อหวงตี้จิ่งตี้ที่ทรงบรรทมอยู่บนแท่นบรรทม แล้วกราบทูล “ข้าพระองค์มาตรวจวัดชีพจร พะย่ะค่ะ” ทูลเสร็จหมอหลวงก็เข้าไปทำการตรวจชีพจร
32-3
โต้วอิงนำพระพินัยกรรมที่เพิ่งร่างเสร็จมาทูลเสนอต่อไท่โห้วโต้วให้ทรงพิจารณา หลังจากที่ทรงอ่านเสร็จก็ตรัสขึ้นว่า “นี่คือพระพินัยกรรมมอบราชสมบัติ(遗诏) เจ้าจะต้องเขียนด้วยความระมัดระวัง(仔细)เป็นพิเศษ จะให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น(漏出破绽)ไม่ได้เป็นอันขาด”
“งั้น หลานจะนำกลับไปเขียนแก้ให้ใหม่” “ต้องเร็วๆด้วยล่ะ ต้องให้ทันตอนที่หวงตี้ยังทรงมีลมหายใจอยู่” ไท่โห้วโต้วทรงสั่งกำชับ “หลานทราบแล้ว” โต้วอิงรับคำพร้อมกับนำพระพินัยกรรมกลับไปแก้ไข
32-4
หมอหลวงวัดชีพจรเสร็จก็มีสีหน้าไม่สู้ดีแล้วเดินถอยออกมาจากแท่นบรรทม เฉินอาเจียวเดินเข้าไปเรียกหวงตี้จิ่งตี้ “เสด็จลุง เสด็จลุง ท่านลืมตามองดูหลานสิ หลานคือเฉินอาเจียวไง” “ใครส่งเสียงเรียกลุง” หวงตี้จิ่งตี้ตรัสถามด้วยเสียงแผ่วเบา “หลานเอง อาเจียวไง เสด็จลุง” “แล้วเค้าล่ะ” “ท่านหมายถึงใคร ไท่จื่อหรือเปล่า” หวงตี้จิ่งตี้ทรงพยักพระพักตร์ เฉินอาเจียวจึงรีบทูลบอก “ไท่จื่อทรงเดินทางไปซานตง(山东) ใกล้จะกลับมาแล้ว เพคะ” “ไม่ทันแล้ว..ไม่ทันแล้ว” หวงตี้จิ่งตี้ตรัสพร้อมกับหลั่งน้ำพระเนตร “ทางเราได้ส่งคนไปตามเค้าแล้ว เพคะ หากเค้ายังกลับมาไม่ถึง เสด็จลุงห้ามเป็นอะไรไปนะ เพคะ” แต่หวงตี้จิ่งตี้ก็ได้แต่ตรัสว่า “ไม่ทันแล้ว..ไม่ทันแล้ว”
32-5
ไท่โห้วโต้วทรงตรวจดูความเรียบร้อยของพระพินัยกรรมฉบับปลอมอีกครั้ง เมื่อทรงเห็นว่าใช้ได้แล้วก็ม้วนเก็บใส่ชายแขนเสื้อ จากนั้นก็ตรัสกับโต้วอิงว่า “งั้นก็ไปเข้าเฝ้าหวงตี้กันได้แล้ว” โต้วอิงจึงตะโกนร้องออกไปว่า “ไท่โห้วเสด็จแล้ว”
32-6
“หลานก็คืออาเจียว คู่หมั้นของไท่จื่อไง เสด็จลุงทรงลืมแล้วหรือเพคะ อาเจียวคนที่เสด็จลุงทรงอนุญาตให้หมั้นกับไท่จื่อด้วยพระองค์เอง หากจะทรงมีรับสั่งกับไท่จื่อ รับสั่งกับหม่อมฉันก็ได้เหมือนกัน” “ได้อย่างนั้นหรือ” “ได้สิ เพคะ” “อาเจียว หมอน” หวงตี้จิ่งตี้ทรงตรัสพร้อมกับชำเลืองพระเนตรไปยังพระเขนย “หมอน? หมอนมีอะไรเหรอ เพคะ” หมอหลวงที่หลบไปดูต้นทางอยู่เกรงว่าจะมีคนมาจึงรีบเดินเข้ามาบอกเฉินอาเจียว “ท่านก็ลองดูที่ใต้หมอนสิว่า มีอะไรอยู่หรือเปล่า” เฉินอาเจียวทำการค้นหาดูที่ใต้หมอนจนทั่วแล้วก็ไม่พบเห็นว่าจะมีอะไร จึงตะโกนบอกหมอหลวงที่เดินกลับไปดูต้นทางให้ว่า “ไม่มีนี่” “หาเจอหรือยัง หาให้มันเร็วๆหน่อย” หมอหลวงหันมาเร่ง เฉินอาเจียวจึงค้นหาดูอีกครั้งแต่ก็ไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ใต้พระเขนย “หวงไท่โห้วเสด็จแล้ว” เสียงของขันทีร้องบอกอยู่ที่หน้าห้องบรรทม เมื่อได้ยินว่าไท่โห้วเสด็จมา เฉินอาเจียวจึงรีบหาที่ซ่อนโดยมุดหลบเข้าไปอยู่ข้างใต้แท่นบรรทมของหวงตี้จิ่งตี้ ส่วนหมอหลวงก็หันไปกล่าวคำรับเสด็จ “ข้าพระองค์ น้อมรับเสด็จหวงไท่โห้ว พะย่ะค่ะ” ไท่โห้วโต้วเสด็จพระดำเนินเข้ามาในห้องแล้วตรัสถามหมอหลวงว่า “วันนี้พระอาการของหวงตี้เป็นอย่างไรบ้าง” “ไม่สู้ดี พะย่ะค่ะ” “ไม่สู้ดียังไง” “ทรงหมดสติ(昏迷)ไปแล้วพะย่ะค่ะ” “หมดสติก็ทำให้ฟื้นคืนสติสิ คนจะตายก่อนตายยังไงก็ต้องฟื้นคืนสติอยู่ช่วงหนึ่ง(回光返照)ไม่ใช่หรืออย่างไร” “หม่อมฉัน จะพยายามอย่างสุดความสามารถ พะย่ะค่ะ” หมอหลวงรีบเข้าไปจัดการทำให้หวงตี้จิ่งตี้ฟื้นคืนสติเป็นการด่วน ส่วนเฉินอาเจียวที่หลบอยู่ใต้แท่นบรรทมก็พบเห็นกล่องไม้กล่องหนึ่ง จึงเปิดออกดูเห็นมีพระพินัยกรรมมอบราชสมบัติให้แก่ไท่จื่อหลิวเช่ออยู่ข้างใน
32-7
เมื่อทอดพระเนตรเห็นหวงตี้จิ่งตี้ลืมพระเนตรขึ้น ไท่โห้วโต้วจึงตรัสถามหวงตี้จิ่งตี้ว่า “ฟื้นแล้วเหรอ” จากนั้นก็ทรงมีรับสั่งกับพวกขันทีนางกำนัลและหมอหลวง “พวกเจ้าทั้งหมดออกไปได้ เรามีเรื่องจะคุยกับหวงตี้” ไท่โห้วโต้วทรงดำเนินไปประทับบนแท่นบรรทมข้างๆหวงตี้จิ่งตี้แล้วตรัสถาม “หวงตี้ เจ้าได้ยินที่แม่พูดไหม” จากนั้นก็ทรงถอนพระทัย “ลูกเอ๋ย เจ้าใกล้จะไปพบกับเสด็จพ่อแล้ว ไม่คิดเลยว่าผมหงอกอย่างแม่จะต้องมาส่งคนผมดำอย่างลูก แต่แม่ก็ได้เตรียมพระพินัยกรรมมอบราชสมบัติไว้แทนลูกแล้ว ด้วยเกรงว่าเมื่อถึงเวลาแล้วจะไม่ทันกาล เหลือแค่เจ้าประทับพระราชลัญจกรประจำรัชกาล(玉玺)เท่านั้น” ตรัสเสร็จก็ทรงหยิบพระพินัยกรรมฉบับปลอมที่เก็บไว้ที่ชายแขนเสื้อออกมา “ส่งพระพินัยกรรมมาให้ลูกดูที” หวงตี้จิ่งตี้ตรัสบอกไท่โห้วโต้วให้ส่งพระพินัยกรรมมาให้ตนดูในรายละเอียดด้วยเสียงแผ่วเบา “สิ่งที่แม่ทำให้ เจ้าไม่วางใจอย่างนั้นหรือ” หวงตี้จิ่งตี้ทรงพยายามที่จะเอื้อมพระหัตถ์ไปหยิบพระพินัยกรรม แต่กลับถูกไท่โห้วโต้วดึงพระพินัยกรรมหนี “เจ้าเสียแรงเปล่า(白耗力气)น่า ทุกอย่างล้วนถูกกำหนดไว้เรียบร้อยตั้งแต่แรกแล้ว” ไท่โห้วโต้วตรัสจบก็ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปหยิบตราหยกที่วางอยู่เหนือแท่นบรรทมออกมา เพื่อจะทำการประทับตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาลหวงตี้จิ่งตี้ “ไม่นะ..ไม่” หวงตี้จิ่งตี้ทรงพยายามส่งพระสุรเสียงร้องห้าม
32-8
ผิงหยางกงจู่พร้อมหวงโห้วหวังบุกมายังตำหนักที่ประทับของหวงตี้จิ่งตี้ แต่กลับถูกบรรดาขันทีที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องขวางเอาไว้ “พระอาการของหวงตี้เป็นอย่างไรบ้าง ทำไมไม่หลีกทางให้เราเข้าไป” หวงโห้วหวังตรัสถามเหล่าขันที
32-9
หวงตี้จิ่งตี้ทรงรวบรวมพละกำลังชันพระวรกายขึ้นมาเพื่อที่จะดูรายละเอียดในพระพินัยกรรม แต่เมื่อทอดพระเนตรเห็นชื่อของอ๋องเหลียงถูกระบุว่าเป็นผู้ที่ได้สืบทอดราชบังลังก์ต่อจากพระองค์ จึงทรงพยายามเอื้อมพระหัตถ์ไปยื้อดึงตราหยกที่ไท่โห้วโต้วได้ประทับลงไปบนพระพินัยกรรมฉบับปลอมออกมา แต่ก็ทรงสู้แรงยื้อของไท่โห้วโต้วไม่ไหว หวงตี้จิ่งตี้จึงทรงอ่อนล้าพระวรกายจนสิ้นพระชนม์ในทันที ไท่โห้วโต้วต่อว่าลูกชาย “จะตายแล้วยังไม่รู้จักทำตัวดีๆอีก” จากนั้นทรงรีบเก็บพระพินัยกรรมฉบับปลอม ทำองค์ให้เป็นปกติแล้วร้องตะโกน “แย่แล้ว รีบไปตามหมอหลวงมาโดยเร็ว” ทั้งหมอหลวง หวงโห้วหวัง และผิงหยางกงจู่ต่างกรูกันเข้ามาในห้องบรรทม หมอหลวงเข้าไปดูพระอาการแล้วหันมาบอก “ฝ่าพระบาทสิ้นพระชนม์(归天)แล้ว”
32-10
ก่วนเถากงจู่รีบเดินทางเข้าวัง ระหว่างทางพบกับไท่โห้วโต้วที่กำลังจะเสด็จกลับตำหนัก ก็ส่งเสียงร่ำไห้ร้องเรียก “เสด็จแม่ ฝ่าพระบาทสิ้นพระชนม์แล้วล่ะ เสด็จแม่” “ทำใจดีๆไว้ อย่าเอาแต่ร้องไห้” ไท่โห้วโต้วปลอบ “เจ้ารีบเข้าไปช่วยหวงโห้วดูแลจัดการ(料理)พิธีศพ(后事)เถอะไป๊” ก่วนเถากงจู่ได้ทูลถามขึ้นก่อนจะเดินจากไปตามรับสั่งว่า “เสด็จแม่ ทรงเห็นอาเจียวบ้างหรือเปล่า ได้ยินว่านางเข้าวังมาแล้ว” “พูดเหลวไหล(瞎说) นางจะรู้ข่าวรวดเร็วขนาดนั้นเชียวหรือ ไป รีบไปได้แล้ว”
32-11
ภายในห้องบรรทมหวงตี้จิ่งตี้ ก่วนเถากงจู่ หวงโห้วหวัง ผิงหยางกงจู่ เหล่าขันที และเหล่านางกำนัลต่างคุกเข่าส่งเสียงร่ำไห้เสียใจต่อการจากไปของหวงตี้จิ่งตี้อยู่ที่หน้าแท่นบรรทม เฉินอาเจียวที่หลบซ่อนอยู่ใต้แท่นบรรทมอยากจะออกมาจากที่ซ่อนใจจะขาดแต่ก็ออกมาไม่ได้เพราะกลัวคนจะเห็น จึงต้องรออาศัยจังหวะที่เจ้าหน้าที่พิธีการเข้ามาจัดการเรื่องพิธีศพ เมื่อเจ้าหน้าที่พิธีการนำเอาผ้าขาวมาคลุมพระศพ และนำชุดขาวไว้ทุกข์มาแจกอยู่ที่หน้าประตู นางกำนัลได้เข้ามารั้งดึงตัว ก่วนเถากงจู่ หวงโห้วหวัง ผิงหยางกงจู่ ให้ออกไปจากแท่นบรรทม เฉินอาเจียวอาศัยจังหวะที่ทุกคนหันหน้ากลับไปทางประตู รีบมุดออกมาจากใต้แท่นบรรทม แต่พอเงยหน้าขึ้นก็จ๊ะเอ๋พอดีกับพระพักตร์ของก่วนเถากงจู่ที่เผอิญทรงหันกลับมาทางแท่นบรรทมพอดี ก่วนเถากงจู่เมื่อเห็นเฉินอาเจียวมาอยู่ที่นี่ก็รู้สึกสงสัยใคร่อยากจะถามว่านางเข้ามาอยู่ในนี้ได้อย่างไร ผิงหยางกงจู่หันมาเห็นเข้าอีกคนก็เกรงว่าจะเป็นที่สงสัยของคนอื่นๆก็เลยแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้รีบเข้ามาดึงตัวและกอดก่วนเถากงจู่เอาไว้พร้อมกับปลอบ “เสด็จอา อย่าทรงเสียพระทัยจนเกินไปเลยนะ เพคะ” เฉินอาเจียวเห็นเป็นโอกาสเลยรีบนำกล่องใส่พระพินัยกรรมฉบับจริงแทรกตัวปะปนไปกับเหล่าขันทีเดินออกไปหยิบชุดขาวไว้ทุกข์ที่เค้านำมาแจกแล้วเดินหลบออกจากห้องไป
|