bloggang.com mainmenu search

โรงงานหยก กำแพงเมืองจีน พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง
(96 ชม. ที่ปักกิ่ง ตอนที่ 6)


อ่านตอนที่ 5 : คล๊กที่นี่
อ่านตอนที่ 7 : คล๊กที่นี่




Day 4.... โรงงานหยก กำแพงเมืองจีน พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง

วันที่ 25 มีนาคม 2009 เช้านี้อากาศยังคงหนาวเช่นเคย มีลมนิดๆ ทำให้หนาวหนักขึ้นไปอีก ส่วนโปรแกรมการท่องเที่ยวเราในวันนี้ ก็มีไฮไลท์อยู่ 2 ที่ คือ กำแพงเมืองจีน และพิพิธภัณ์หุ่นขี้ผึ้ง นอกนั้นก็เป็นการพาไปชมสินค้าอีกแล้วครับท่าน



ยามเช้าที่เร่งรีบในปักกิ่ง




เห็นตึกแปลกๆ เลยถ่ายมาฝากครับ




เราออกเดินทางจากที่พักขึ้นไปทางเหนือของกรุงปักกิ่งเพื่อไปแวะชมโรงงานทำหยกระหว่างทาง เมืองที่เราผ่านไปจำชื่อไม่ได้ครับแต่เป็นเมืองไม่ใหญ่นักมีมหาวิทยาลัย และสนามแข่งขันกีฬาโอลิมปิกด้วย

มีอนุสาวรีย์ของกษัตริย์จีนพระองค์หนึ่งซึ่งเป็นลูกชาวนา ตั้งเด่นเป็นสง่าตรงทางแยกของเมือง แต่เราไม่ได้จอดเพื่อชม เพียงแต่เขาขับผ่านไปเพื่อไปชมโรงงานหยก



อนุสาวรีย์กษัตริย์ลูกชาวนา




เป็นโรงงานที่ขายผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหยก ไม่ว่าจะเป็นสัตว์รูปร่างปลกๆ หรือแม้แต่ตัวผีเซี๊ยะที่ชาวจีนนับถือ คุณภาพของหยกน่าจะไม่ถึงหยกในพม่า คือเท่าที่ดูทั่วไปแล้วยังเป็นแบบสีขุ่นขาว เขียวจางๆ แต่ที่เคยเห็นที่โรงงานที่แม่สาย หยกจักรพรรดิพม่าสีเขียวมรกตสวยงามมาก...อันนี้ก็แค่เล่าสู่ฟังครับ












ออกจากโรงงานทำหยกเราก็ผ่านอนุสาวรีย์กษัตริย์ลูกชาวนาอีกครั้งก่อนขึ้นเหนือไปที่ด่าน จิว หยง กวน ข้างทางต้นไม้ก็ยังเหลือแต่กิ่ง ยังไม่ออกใบ พื้นดินทั่วไปดูแห้งแล้งมาก ลีน่าบอกว่าที่แถวนี้ทำการเกษตรไม่ค่อยได้ เพราะอากศหนาวมาก ถ้าจะทำก็ต้องมีพลาสติกมาคลุม







เส้นทางที่ผ่านไปที่ค่อนข้างแห้งแล้งด้านขวามมือเป็นทางรถไฟสายทรานไซบีเรียคู่ขนานกันไป.... อาจจะเป็นเพราะว่าฤดูหนาวเพิ่งจะผ่านไป ใบไม้กำลังจะผลิออกในฤดูใบไม้ผลิ ภูเขาตามสองข้างทางจึงมีแต่สีน้ำตาล ท้องฟ้าก็ไม่สดใสมากนัก ลีน่าบอกว่ามีพายุทรายผ่านเข้ามา ไม่นานนักเราก็มาถึงด่านจิว ยง กวน กัน..




ระว่างทางไปกำแพงเมืองจีน




ด่านที่นักท่องเที่ยวชอบไปที่สุดคือด่านปาต้าหลิ่ง ซึ่งมีกระเช้าขึ้น ส่วนด่านที่เราไปคือด่านจิว ยงกวน ซึ่งเปิดใหม่เราสามารถเดินขึ้นไปได้ สองด่านนี้อยู่ห่างกัน 10 กม.



กำแพงเมืองจีน



ภาพจากลานจอดรถ แต่เราต้องปีนขึ้นไปที่ป้อมที่ 3 เห็นลิบๆ





กำแพงเมืองจีนถือกันว่า เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก มีระยะทางยาวกว่า 7,000 กิโลเมตร เป็นสิ่งก่อสร้างในกิจการป้องกันทางการทหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลกสมัยโบราณ เมื่อปี 1987 กำแพงเมืองจีนได้รับคัดเลือกให้เป็นมรดกโลก





ป้ายนี้อ่านไม่ออก






จากป้อมที่ 1





งาน สร้างสรรค์กำแพงเมืองจีนเริ่มขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ก่อนคริสต์ศักราช ผู้ปกครองของจีนในสมัยโน้นได้สร้างกำแพงเมืองเชื่อมป้อมและป้อมไฟสัญญาณแจ้งเหตุในเขตชายแดนเข้าด้วยกันเพื่อป้องกันการรุกรานจากชนชาติส่วนน้อยในภาคเหนือ ถึงสมัยชุนชิวจ้านกั๋ว เจ้าผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ของจีนพากัน แย่งชิงความเป็นใหญ่ เกิดสงครามระหว่างกันไม่ขาดสาย จึงได้สร้างกำแพงเมืองตามเทือกเขาในเขตชายแดนเพื่อป้องกันฝ่ายตรงข้าม





หนุ่มคนนี้คงเหนื่อย






ปีนต่อไป....





ถึงปี 221 ก่อนคริสต์ศักราชจักรพรรดิจิ๋นซีได้รวมจีนเข้าเป็นเอกภาพและได้เชื่อมกำแพงเมืองในแคว้นต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนชาติ ส่วนน้อยแถบทุ่งหญ้าอันกว้างไพศาลในมองโกเลีย กำแพงเมืองจีนในสมัยนั้นมีระยะทางยาวกว่า 5,000 กิโลเมตร หลังจากนั้น ผู้ปกครองของจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่นได้สร้างกำแพงเมืองจีนต่อจนมี ระยะทางยาวกว่า 10,000 กิโลเมตร ในช่วงระยะเวลากว่า 2000 ปี ผู้ปกครองของจีนในสมัยต่าง ๆ ต่างก็เคยสร้างกำแพงเมืองมากบ้างน้อยบ้าง รวม ๆ แล้วมีระยะทางยาวกว่า 50000 กิโลเมตร ซึ่งสามารถล้อมโลกได้เกิน 1 รอบ





วิวรอบๆ





โดยทั่วไปแล้ว กำแพงเมืองจีนในปัจจุบันหมายถึงกำแพงเมืองจีนสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368 -ค.ศ.1644)ระหว่างด่านเจียอี้กวนในมณฑลกันซู่ทางภาคตะวันตกถึงริมฝั่งแม่น้ำยาลู่ในมณฑลเหลียวหนิงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ผ่าน 9 มณฑล นครและเขตปกครองตนเอง ของจีนโดยมีระยะทางยาวรวม 7300 กิโลเมตร เท่ากับ 14000 กว่าลี้ จึงได้ชื่อว่า กำแพงหมื่นลี้





แล้วก็มาถึงป้อมสามขอสลักชื่อใน certificate บนแผ่นทองแดง ราคา 40 หยวน





โดยทั่วไปแล้ว ด้านนอกของกำแพงเมืองจีนก่อด้วยอิฐก้อนใหญ่และแกนหินข้างในถมด้วยดินเหลืองและเศษหิน ความสูงประมาณ 10 เมตร สันกำแพงเมืองจีนกว้าง 4 ถึง 5 เมตร ให้ม้า 4 ตัวไปพร้อมกันได้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายทหาร ขนส่งอาหารและอาวุธยามศึก





มองภาพด้านล่างบ้าง





ด้านในของกำแพงเมืองมีประตูที่ทำบันไดหินไว้ การขึ้นลงสะดวกมาก ทั้งได้สร้างป้อมและป้อม จุดไฟสัญญาณแจ้งเหตุเป็นช่วง ๆ ป้อมเป็นที่เก็บอาวุธ อาหารและที่พักของทหาร ยามศึก ก็จะใช้เป็นที่กำบังได้ ถ้ามีศัตรูรุกเข้ามา ก็จะจุดไฟสัญญาณให้มีควันขึ้นบนป้อมแจ้งเหตุเพื่อส่งข่าว ไปยังทั่วประเทศทันที





ชันแบบนี้แหละที่เราขึ้นมา





ปัจจุบัน กำแพงเมืองจีนไม่มีสมรรถนะในการใช้เป็นป้อมรับศึกอีกแล้ว แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่น่าทึ่งในฐานะสถาปัตยกรรมอันสง่างามอย่างหนึ่งที่มีลักษณะพิเศษ





กำแพง ดูชัดๆ





กำแพงเมืองจีนมีความหมายทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและคุณค่าทางการท่องเที่ยวอย่างสูง ผู้คนในจีนซึ่งรวมทั้งนักท่องเที่ยวทั้งจีนและต่างประเทศแม้กระทั่งผู้นำต่างประเทศด้วยมักจะกล่าวกันว่า ถ้า ไม่ได้ขึ้นกำแพงเมืองจีนก็ไม่ใช่ผู้กล้า กำแพงเมืองจีนหลายช่วงที่ได้รับการอนุรักษ์ค่อนข้างดี เช่น ป๋าต้าหลิ่ง ซือหม่าไถ มู่เถียนอี้ ด่านซานไห่กวน และด่านเจียอี้กวน เป็นต้นต่างก็เป็นแหล่งท่อง เที่ยวที่มีชื่อเสียงมาก มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเที่ยวกันสม่ำเสมอตลอดทั้งปี









เมื่อปี 1987 กำแพงเมืองจีนได้รับคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกในฐานะที่เป็น สัญลักษณ์ของประชาชาติจีน

(ที่มา : CRI online )





เรื่องเล่ากำแพงเมืองจีน

"ท่ามกลางความเหน็บหนาว เมิ้งเจียงหนี่ว์หญิงชาวบ้านสู้อุตส่าห์ฝ่าลมหนาวมุ่งขึ้นเหนือตามหาสามีรัก ที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานก่อสร้างกำแพงเมือง หลังจากที่สามีจากบ้านมาเป็นเวลาหลายปี การเดินทางครั้งนี้นางหวังเพียงเพื่อจะได้มอบเสื้อกันหนาว ที่ตนเองบรรจงเย็บขึ้นกับมือให้กับเขา





ป้อมที่ตรงทางขึ้น





ด้วยหัวใจรักที่มุ่งมั่น ในที่สุดนางก็บุกบั่นจนมาถึง...ที่ค่ายพักแรงงานก่อสร้างนางเที่ยวถามหาสามีไปทั่ว แต่ทว่ากลับต้องพบกับข่าวร้าย...สามีอันเป็นที่รักของนางนั้นได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้นานแล้ว เนื่องจากทนทรมานกับความยากลำบาก และผจญกับสภาพอากาศที่โหดร้ายไม่ไหว และศพของเขาก็ถูกฝังอยู่ภายใต้กำแพงเมืองนั่นเอง...





รูปปั้นทหารที่ด้านล่าง





นางร่ำไห้คร่ำครวญน้ำตาแทบเป็นสายเลือดอยู่สามวันสามคืน จนในที่สุดทำให้กำแพงเมืองยาวหลายร้อยลี้พังทลายลงมาทั้งแถบ เผยให้เห็นซากอันไร้วิญญาณของสามี เมื่อนั้นเอง นางจึงตัดสินใจกระโดดเอาศีรษะพุ่งชนกำแพงตายอยู่เคียงสามี ณ ที่แห่งนั้น...

‘เมิ้งเจียงหนี่ว์’ 1 ใน 4 ตำนานรักพื้นบ้านอันยิ่งใหญ่ของชาวจีน (ม่านประเพณี ตำนานรักนางพญางูขาว ชายเลี้ยงวัวกับหญิงทอผ้า) ที่หลายคนเชื่อว่า ปัจจุบันสถานที่ฝังศพเมิ้งเจียงหนี่ว์และสามีนั้น คือ กำแพงเมืองจีนบริเวณด่านซันไห่กวน ในมณฑลเหอเป่ย เรื่องราวในตำนานสะท้อนถึงสภาพความทารุณโหดร้าย แห่งยุคสมัยการซ่อมแซม และต่อเติมกำแพงเมืองจีนขององค์จักรพรรดิฉินซี ซึ่งได้เกณฑ์เอาไพร่พล ชาวเมือง และนักโทษหลายแสนคนมาเพื่อดำเนินการก่อสร้าง





ถ่ายภาพร่วมกันหน่อย





มิเคยขึ้นกำแพงเมืองจีน หาใช่ลูกผู้ชายไม่ คำกล่าวจากกลอนบทหนึ่งของ เหมาเจ๋อตง หรือท่านประธานเหมาของชาวจีน ที่ได้เอ่ยถึง ฉางเฉิง หรือกำแพงเมืองสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของชาวจีนทั้งชาติ





ทานมื้อเที่ยงที่ร้านสุกี้มองโกล





เราแวะไปทานมื้อเที่งกัน มื้อนี้เป็นสุกี้มองโกล ก็ยังจืดๆเช่นเคย แต่สุกี้ที่ร้านนี้ จะเสริฟเป้นหม้อต้มน้ำร้อนของแต่ละคน ส่วนเนื้อ จะมีทั้งไก่ หมู และแพะ (เห็นสีขาวแดง) ผักคล้ายๆใบถั่ว.... คนปักกิ่งทานข้าวจะเสียงค่อนข้างดัง ลีน่าบอกเราว่าถ้ายิ่งโต๊ะไหนเสียงดังมาก แสดงว่าเขารวยมาก..... เราคนไทยจึงหนีขึ้นไปทานที่ชั้นสอง โดยมีน้ำแข็งเสริฟด้วย (ปกติเขาไม่ทานน้ำแข็งกัน ยกเว้นทัวร์จากไทย)





ชาวบ้านมาขายสตอเบอรี่ให้นักท่องเที่ยว





เราก้ไม่รู้นี่นาว่าสตอเบอรี่ที่นี่เห็นลูกสวยๆแล้วเละง่าย หัวหน้าทัวร์คุณนพเพิ่งบอกเราว่า ซื้อแล้วทานให้หมด เอากลับเมืองไทยเละทันที่....









พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง

พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง เรื่องราวประวัติศาตร์ของราชวงศ์หมิง ซึ่งแสดงฉากประวัติศาสตร์ในระยะ 276 ปีของราชวงศ์หมิง มีทั้งหมด 26 ฉาก ใช้ขี้ผึ้งปั้นหุ่นเท่าคนจริง 374 ตัว ส่วนรายละเอียด มันเยอะมากไก๊ด์เราเล่าตั้งแต่ฉากเจอ ปกครอง การลงโทษ และไรหลายอย่างจำไม่ไหว ดูภาพเองละกันครับ



ฉากแรกๆ






ภาพนี้เป็นน้องไบท์ในคณะ ถ่ายรูปเป็นฮ่องเต้





ตรงจุดนี้เขาจะมีชุดให้นักท่องเที่ยวใส่ถ่ายเป็นห้องเต้ ซูสีไทยเฮา และจะมีเจ้าหน้าที่คอยถ่ายภาพให้ เขาจะพิมพ์ออกมาขายให้เราเป็นอัลบั้ม แต่เราก็สามารถบอกได้ว่าจะเอากี่ภาพ


































ออกจากพิพิธภัณฑ์หุ้นขี้ผึ้ง รถก็นำเราไปที่ร้านขายยาบัวหิมะหล่ะ จะมีเจ้าหน้าที่มาแสดงการลรูดมือไปกับโซ่ที่เผาไปร้อนๆ แล้วก็ทาด้วยยาบัวหิมะ.... อันนี้ก็แล้วแต่ท่านนะครับ





มาที่โรงงานขายยาบัวหิมะ










ออกจากโรงงานก็บ่ายแก่ๆแล้ว ตามเส้นทางที่กลับไปปักกิ่ง ทางซ้ายมือจะเห็นสิ่งก่อสร้างค้ล้ายๆสวนสนุก ซึ่งยังสร้างไม่เสร็จ ลีน่าบอกเราว่าเป็นของนักธุรกิจชาวไทย แต่ยอมยกธงขาวไปแล้ว....

คณะเรามีโปรแกรมที่จะไปแวะถ่ายภาพที่สนามกีฬารังนก ชิมชา และไปเดินซื้อของกันที่ถนนคนเดิน หวังฟู่จิง... แต่เพราะเว็ปอืดมาก จึงขอยกยอดไปตอนต่อไปละกันครับ.





อ่านตอนที่ 5 ll อ่านตอนที่ 7


_____________




Create Date :09 เมษายน 2552 Last Update :24 กรกฎาคม 2556 22:24:29 น. Counter : Pageviews. Comments :7