bloggang.com mainmenu search


พระราชวังต้องห้าม
(96 ชม. ที่ปักกิ่ง ตอนที่ 3)


อ่านตอนที่ 2 : คล๊กที่นี่
อ่านตอนที่ 4 : คล๊กที่นี่




Day 2..(ต่อ) พระราชวังต้องห้าม

วันที่ 23 มีนาคม 2009 หลังจากที่เราถ่ายภาพที่หน้าประตูเทียนอันเหมินพอประมาณแล้ว ก็เข้าสู่พระราชวังต้องห้าม หรือกู้กง เพื่อเข้าชมสิ่งก่อสร้างที่เป็นมรดกโลกที่ยิ่งใหญ่มากๆ

ถ้าเราจะเข้าไปชมเขาจะมีโปรแกรมชม (เส้นทางเดินชม) ตั้ง 2 ชั่วโมง ครึ่งวัน 1 วัน 2 วันให้เลือกเดินครับ กรุ๊ปเราก็เลือกเอาแบบระยะสั้นๆ เพราะมีที่อื่นต้องไปอีกมาก เวลาเข้าจะเข้าจากด้าน จัตุรัสเทียนอันเหมิน แล้วทะลุออกไปทางเหนือเลย ไม่ต้องย้อนกลับ
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ : //www.dpm.org.cn/English/C/C1/c3a.html)



เข้าไปด้านใน




พระราชวังต้องห้าม

พระราชวังต้องห้าม (จีน: 紫禁城; พินอิน: Zǐjìn Chéng จื่อจิ้นเฉิง; อังกฤษ: Forbidden City) จากชื่อภาษาจีน แปลตามตัวอักษรได้ว่า "เมืองต้องห้ามสีม่วง" พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ใจกลางของกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีน ( 39°54′56″N, 116°23′27″E) เป็นพระราชวังหลวงมาตั้งแต่สมัยกลางราชวงศ์หมิงจนถึงราชวงศ์ชิง พระราชวังต้องห้ามยังรู้จักกันในนาม พิพิธภัณฑ์พระราชวัง (ภาษาจีน: 故宫博物院; พินอิน: Gùgōng Bówùyùan) ครอบคลุมพื้นที่ 720,000 ตารางเมตร อาคาร 800 หลัง มีห้องทั้งหมด 9,999 ห้อง และมีพระที่นั่ง 75 องค์ ใช้ระยะก่อสร้างประมาณ 14 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 1949 จนถึง พ.ศ. 1963




ผ่านประตูชั้นใน








พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจตุรัสเทียนอันเหมิน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าสู่พระราชวังต้องห้ามได้ทางจตุรัสนี้ ผ่านประตูเทียนอันเหมิน บริเวณรอบจตุรัสเทียนอันเหมิน เรียกว่า อาณาเขตหลวง โดยมีสิ่งก่อสร้างสำคัญอยู่โดยรอบ เช่น มหาศาลาประชาคม หอพระสมุด ห้องหับต่างๆอีกมาก รวมทั้งยังมีสวน ลานกว้าง ทางเดินเชื่อมกันโดยตลอด ในอดีตภายในเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ โดยมีสนมกำนัล ขันที และข้าหลวงรับใช้ ซึ่งคนเหล่านี้ต้องอาศัยอยู่ในนครต้องห้ามตลอดชีวิต เพื่อความสำราญของจักรพรรดิ ในวังจะมีวิเสท 6,000 คน ประกอบพระกระยาหาร มีสนมกำนัล 9,000 นาง ซึ่งมีขันที 70,000 คน คอยดูแลให้ มีคำเล่าลือกันว่า พระนางซูสีไทเฮา เวลาเสวยก็จะมีพระกระยาหารถึง 148 ชุด และทรงส่งขันทีไปเสาะหาชายหนุ่มซึ่งเข้าวังแล้วจะไม่มีผู้ใดพบเห็นอีกเลย







พระราชวังต้องห้ามเป็นที่รู้จักในหลากหลายชื่อ ในภาษาจีนนั้น ชาวจีนจะเรียกพระราชวังต้องห้ามว่า กู้กง (จีน: 故宫; พินอิน: Gùgōng) ซึ่งแปลว่า พระราชวังเก่า นอกจากนี้ คำนี้ยังใช้เรียกพระราชวังเก่าตามเมืองต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศจีนด้วย

ส่วนคำที่เรารู้จักกันดีว่า "พระราชวังต้องห้าม" นั้น แปลมาจากภาษาจีน จื่อจิ้น เฉิง (จีน: 紫禁城; พินอิน: Zǐjìn Chéng) ซึ่งแปลตามตัวอักษรได้ว่า "เมืองต้องห้ามสีเลือดหมู" ด้วยเหตุที่ว่า ห้ามสามัญชนเข้าไปในบริเวณวังหลวงโดยเด็ดขาด และสีเลือดหมูนั้นเป็นสีอาคารและหลังคาโดยทั่วไป




ทหารเข้าเวรดูแลความปลอดภัย




ประวัติ

สถานที่ที่ตั้งของพระราชวังโบราณนี้แต่เดิมนั้นก็คือพระราชวังหลวงของราชวงศ์หยวนแห่งมองโกล ซึ่งต่อมาเมื่อราชวงศ์หยวนล่มสลายลงแล้วมีราชวงศ์หมิงขึ้นมาแทน จักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์หมิง จักรพรรดิหงอู่ได้ย้ายเมืองหลวงจากปักกิ่งไปนานกิงและดำริให้รื้อถอนพระราชวังออก ซึ่งต่อมาเมื่อพระราชโอรสของพระองค์ จักรพรรดิหย่งเล่อได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็ได้ย้ายเมืองหลวงกลับปักกิ่งดั่งเดิม และทรงสั่งให้ก่อสร้างพระราชวังใหม่ขึ้นในปี พ.ศ. 1949 ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้

ต่อมาในปี พ.ศ. 2187 ได้เกิดจลาจลขึ้นทำให้พระราชวังสมัยราชวงศหมิงเสียหายไป และเมื่อราชวงศ์ชิงขึ้นครองอำนาจต่อจากราชวงศ์หมิง ทางราชวงศ์ชิงก็ได้ก่อสร้างสร้างขึ้นมาใหม่บนฐานสิ่งก่อสร้างเดิม ทำให้พระราชวังกลายมาเป็นจุดศูนย์กลางอำนาจของจีนอีกครั้งหนึ่งเรื่อยมาจนถึงการล่มสลายของราชวงศ์ชิง และการเปลี่ยนมาเป็นระบอบสาธารณรัฐ
(ที่มา : วิกิพีเดีย)





ประตู Wu Men






Gate of Supreme Harmony หรือ ประตูไทเหอเหมิน















จะมีสิงห์โตคู่เฝ้าทุกตำหนัก




ความสำคัญของสิงห์โต สิงห์โตตัวผู้ที่เหยียบลูกบอล เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ ส่วนสิงห์โตตัวเมียที่มีลูกตัวน้อยอยู่ใต้อุ้งเท้า เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความรุ่งเรืองในตระกูลของจักรพรรดิ เราจึงเห็นสิงห์โตคู่อยู่ทุกตำหนัก













ตำหนักไท่เหอ ที่ออกว่าราชการ




ตรงลานด้านหน้าตำหนักเป็นที่ข้าราชการเข้าเฝ้า จะมารวมกันอยู่บริเวณนี้ ซึ่งลานนี้กว้างใหญ่มาก เข้าใจว่าก้อนอิฐที่ปูไว้น่าจะเป็นของดั้งเดิม

ส่วนหลังคาของตำหนักต่างๆที่ท่านเห็นเป็น 2 ชั้นนั้นจะเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกความมีอำนาจเหนือผู้อื่นของจักรพรรดิ ซึ่งบุคคล ชนสามัญไม่อนุญาตให้สร้างแบบนี้ได้ หลังคาที่นี่จะเป็นสีเหลือง เสาจะเป็นสีเลือดหมู (ออกไปทางแดง) ใต้หลังคาจะเป็นลวดลายหนักไปทางสีฟ้า และเขียนรูปไว้ด้วย.




ก้อนอิฐดั้งเดิมที่พื้นสนามหน้าที่ประทับ





ตำหนักจงเหอ สำหรับทรงงาน







ที่ประทับว่าราชการ



เลยตรงนี้ถ้าตรงเข้าไปจะเป็นตำหนักที่เปลี่ยนเครื่องทรงก่อนออกว่าราชการ ถ้าเข้าไปด้านในอีกเมื่อผ่าน gate of Heaven Purity (Qianqing men) ก้จะเป็นพระราชวังชั้นใน และมีตำหนักสำหรับจัดงานวันพระราชสมภพและงานเลี้ยงสำคัญ

มีเรื่องเล่าว่าใต้พื้นดินต่ำลงไป 10 เมตร จะถูกวางไว้ด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ไปทั้งบริเวณของพระราชวังกู้กง ที่ทำเช่นนี้เพราะป้องกันการที่คนร้ายขุดอุโมงเข้ามาลอบทำร้ายจักรพรรดินั่นเอง




ตำหนักใน (ไม่ได้เข้าไปชม)




คุณไก๊ด์เราได้เล่าให้เราฟังอีกว่า การที่สนมจะเข้าเฝ้าจักรพรรดิ จะต้องไม่สวมใส่อะไรห่อหุ้มร่างกายเลย โดยจะมีขันฑีเป็นคนแบกเข้าเฝ้า ทั้งนี้เพราะกลัวสนมทั้งหลายจะซ่อนอาวุธเพื่อทำร้ายองค์จักรพรรดินั่นเอง




มังกรที่แกะสลักบนหินอ่อนตรงกลางบันได




มังกรที่แกะสลักบนหินอ่อนระหว่างบันได ทั้งเก้าตัว ล้วนแล้วแต่มีความหมายทั้งสิ้น ซึ่งมีหนังสือหลายเล่มได้เขียนบรรยายเอาไว้ จขบ. จำไม่ได้แล้ว ลองไปหาอ่านเพิ่มเติมนะครับ สำหรับท่านที่สนใจ




สนคู่




ถัดจากวังส่วนในเข้าไปจะเป็นสวนจักรพรรดิ หรือ Imperial Garden ที่มีสนอายุเป็นร้อยๆปีปลูกอยู่มากมาย รวมทั้งสวนหินด้วย.....

สนคู่ที่เห็นอยู่ด้านบนนี้ นักท่องเที่ยวชอบมาแย่งกันถ่ายภาพ โดยเชื่อว่าเป็นสนคู่แห่งความโชคดี คือถ้าใครไม่มีคู่ถ้าได้มายืนที่สนคู่นี้แล้ว จะได้พบเนื้อคู่ เขาว่ายังงั้นครับ




ดอกเหมย





นี่ก็ดอกเหมยสีขาว





ในสวนวี่เหอหยวน (Yu Huayuan) หรือ Imperial Garden






ศาลา 8 เหลี่ยม




เดินมาถึงศาลานี้ ถ้าท่านอยากจะทำธุระในห้องน้ำ ก็จะมีอยู่ด้านหลังครับ
ในสวนนี้มีดอกไม้หลายชนิด วันที่ไปเห็นดอกขาว และแดง ถามไก๊ด์ลีน่า เธอบอกว่าดอกเหมยน่ะ

ที่ จขบ. สนใจเป็นพิเศษคือต้นสนอายุเป็น 100 ปี ที่แสนจะสวยงามดูแล้วสวยงามเพลินตาดี เพราะรูปร่างแปลกๆของสนพวกนั้น นี่ถ้าเรามาฤดูเกือบใบไม้ร่วง คงสวยกันคนละแบบครับ




ดอกสีเหลืองนี่ไม่ทราบชื่อ




พอชมสวนเสร็จ เราก็ออกจากพระราชวังทางประตูด้านทิศเหนือ คือประตูเสินวู่เหมิน (Shenwu men) หรือ Gate of Devine Prowess แล้วไปขึ้นรถที่เขาขับมาจากที่ส่งเราไปดูโรงละครแห่งชาติในตอนเช้า

ลีน่าบอกเราว่าเราเดินจากตอนเช้าจนถึงตรงนี้ ระยะทางกว่า 5 กม.เลยทีเดียวครับ การเดินระยะทาง 5 กม. ในสภาพอากาศเย็นๆแบบนั้น ไม่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยเลย ตรงข้ามกลับเพลินเสียอีก เพราะผู้คนที่มากมายหลายพันคน ที่เดินกันขวักไขว่




คูน้ำด้านนอกวัง





อีกภาพ




สภาพของพระราชวังต้องห้ามที่เป็นอาคาร ดูจะได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดี เสียแต่ว่าพวกอุปกรณ์ เครื่องใช้ในราชสำนัก ได้ขนไปไว้ที่ใต้หวันเกือบหมดในช่วงเปลี่ยนแปลงใหญ่ในจีน

บางอย่างที่เป็นผลพวงแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน ก็หายไป เขาบอกเราว่าอย่างนั้น.... ณ วันนี้ ผลแห่งความยิ่งใหญ่ของจีนในอดีต ได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาที่นี่มากมายมหาศาล และกลายเป็นการสร้างงานให้ผู้คนในจีน เช่นไก๊ด์ลีน่า ที่เรียนภาษาไทยแค่ 2 ปี แต่สามารถใช้ภาษาได้คล่องแคล่วมาก..

เสียดายที่ web โหลดช้าไปหน่อย ไม่งั้นจะลงภาพให้ชมมากกว่านี้ครับ.




ถนนในปักกิ่งช่วงเที่ยงวัน





อ่านไม่ออกครับ (น่าจะเป็นชื่อภัตราคาร)





พิเศษมื้อนี้คือเป็ดปักกิ่ง



เราจบรายการทัวร์ครึ่งวันแรกของวันนี้ด้วยการมาทานเป็ดปักกิ่ง ซึ่งก็อีกนั่นแหละโต๊ะข้างเคียงเราส่งภาษาคุ้นๆ จะเป็นใครได้นอกจากนักท่องเที่ยวจากประเทศไทย

ตอนต่อไปจะพาท่านไปชมหอฟ้าเทียถาน และวัดลามะครับ.


อ่านตอนที่ 2 ll อ่านตอนที่ 4


______________





Create Date :02 เมษายน 2552 Last Update :24 กรกฎาคม 2556 22:26:26 น. Counter : Pageviews. Comments :8