bloggang.com mainmenu search


อันเดอร์วอเตอร์เวิลด์ พระราชวังฤดูร้อน
(96 ชม. ที่ปักกิ่ง ตอนที่ 5)


อ่านตอนที่ 4 : คล๊กที่นี่
อ่านตอนที่ 6 : คล๊กที่นี่




Day 3.... อันเดอร์วอเตอร์เวิลด์ นวดฝ่าเท้า พระราชวังฤดูร้อน


วันที่ 24 มีนาคม 2009 วันนี้อากาศหนาวมาก ตอนขึ้นไปนั่งบนรถเห็นหิมะปลิวลงมาข้างๆรถเหมือนกัน...เอเขาเรียกปลิวหรือตกหว่า จะว่าตกก็ไม่เยอะ เอาเถอะเป็นอันว่าเห็นหน่อยหนึ่งละกัน




ระหว่างทางไป under water world




พอดีไก๊ด์ลีน่าเข้ามาคอนเฟอร์มว่าคืนนี้ที่ปักกิ่ง มีฝนและหิมะลงบ้างนิดหน่อย เลยไม่คิดว่าตัวเองละเมอ.... เธอบอกว่าคงเป็นเพราะพวกเราไปที่หอฟ้าเพื่อขอฝนวานนี้กระมัง??

หนุ่มสาวชาวปักกิ่งใส่ชุดหนาๆเดินบนถนน เราก็เข้าใจตามไปว่า วันนี้ท่าจะหนาวแฮะ ดีว่าพอรถวิ่งออกจากหน้าโรงแรมผ่านไปในเมือง แดดเริ่มออกมาบ้าง รถพาเราผ่านย่านศูนย์กลางธนาคารของประเทศจีน ซึ่งมีแต่ตึกสูงๆระฟ้าทั้งนั้น ก่อนที่เราจะมองเห็นหอคอยอยู่ลิบๆ แล้วคนขับรถบัสก็พาเราวนเข้าไปที่นั่นเพื่อชมสัตว์น้ำเค็มที่อันเดอร์วอเตอร์เวิลด์



อันเดอร์วอเตอร์เวิลด์ (Under Water World)



under water world อยู่ใต้หอคอยนี้




โปรแกรมเช้านี้จไปดูสัตว์น้ำที่ under water world ที่นักธุระกิจชาวสิงค์โปร์มาลงทุนไว้ ที่ปักกิ่งนี่เขาคงฮิตกัน เพราะเมืองปักกิ่งอยู่ห่างทะเลเหลืองเข้าไปในแผ่นดินใหญ่พอสมควร เมืองใกล้ๆที่ติดทะเลคือ เทียนสินซึ่งลีน่าบอกว่ามีการลงทุนด้านอุตสาหกรรมมาก และเมืองก็เติบโตอย่างรวดเร็ว..... ฉะนั้นวันนี้เราจึงเห็นคนปักกิ่งมาเที่ยวกันที่ under water world นี้มาก.







แต่ จขบ. ก็ว่าไม่เท่าไหร่นา สูสีกับที่พัทยา และบางแสนเรานี่แหละ เพียงแต่มีพื้นเลื่อนในอุโมงเท่านั้น ด้านบนเป็นหอคอยสำหรับส่งสัญญาณทีวี และเปิดเป็นภัตราคารด้วย แต่วันที่ไปเขาปิดปรับปรุง (ถ้าไม่ปิด ก็คงไม่ได้ขึ้นอยู่ดีล่ะน่า..)








ขาออกมาที่ลานจอดรถ คณะเราหลายคนไปมุงซื้อมันเผาของจีนที่กำลังส่งไอร้อนออกมาน่ารับประทาน เป็นมันที่เนื้อในเหลือง ทานแล้วหวานดี พ่อค้าชาวจีนนำมาเผาขายให้นักท่องเที่ยวแบบสดๆ ไม่รู้ปกติเขาขายกันเท่าไหร่ แต่วันนั้นพวกเราซื้อ 2 ขีดหกหยวนแน่ะ





ตุ๊กตาที่ขายที่อันเดอร์วอร์เตอร์เวิลด์





ออกจากอันเดอร์วอเตอร์เวิลด์เราก็ไปนวดฝ่าเท้าต่อที่สถาบันวิจัยแพทย์แผนโบราณ (อันนี้ไม่แน่ใจว่าเรียกชื่อถูกไหมนะ) ... หลักๆแล้วเขาก็มาโฆษณาขายยาสมุนไพรจีน โดยมีแพทย์แผนโบราณจีนมาจับชีพจร และบอกอาการของสิ่งผิดปกติให้เราฟังผ่านล่าม สุดท้ายก็ขายยาสมุนไพร

จบรายการนี้เราก็ไปทานมื้อเที่ยงกัน โดยมื้อนี้เป็นรายการเป็นอาหารเสฉวน
เสร็จจากมื้อเที่ยงเราก้ไปต่อที่รายการใหญ่ประจำวัน คือชมพระราชวังฤดูร้อนอี้เหอหยวนกัน




มื้อเที่ยงที่ร้านอาหารเสฉวน





พนักงานต้อนรับ





ร้านอยู่ตรงนี้






พระราชวังฤดูร้อน อี้เหอหยวน (Summer Palace)

พระราชวังฤดูร้อนอี๋เหอหยวนแห่งนี้ มีประวัติศาสตร์มาเกือบพันปีแล้ว ย้อนหลังไปราวคริสต์ศักราชที่ 11 สมัยราชวงศ์จิน (ค.ศ. 1115-1234) อี๋เหอหยวนเป็นเพียงที่อาศัยพักผ่อนของเหล่านางสนม และข้าราชบริพารของพระจักรพรรดิที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในเวลานั้น จวบจนสมัยจักรพรรดิหย่งเจิ้งแห่งราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644-1911) พระราชวังแห่งนี้เริ่มทวีความสำคัญขึ้น




ทางเข้า








ทั้งนี้ จักรพรรดิหยงเจิ้งและจักรพรรดิองค์ต่อๆมา ในสมัยราชวงศ์ชิงรวมทั้งพระนางซูสีไทเฮาทรงโปรดเสด็จมาประทับทรงงาน ตลอดจนว่าราชการแผ่นดินที่นี่ พระราชวังฤดูร้อนอี๋เหอหยวนจึงมีบทบาททั้งด้านการเมือง การปกครอง และเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจนับแต่นั้นเป็นต้นมา




กิเลน




"สวนในพระราชวัง" แห่งนี้ เป็นสวนพักผ่อนของเจ้านายผู้ปกครองในระบบศักดินามาหลายยุคหลายสมัย จึงมีการสร้างอุทยานประเภทต่างๆไว้หลายแห่ง โดยเดิมทีคือ 'อุทยานชิงอีหยวน' (清漪园) อยู่ในอาณาเขตพระราชวังหยวนหมิงหยวน (圆明园) ริมเชิงเขาวั่นโซ่วซัน ด้านตะวันตกมีทะเลสาบชื่อ ทะเลสาบซีหู (西湖) ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อมาเป็นทะเลสาบคุนหมิง



ริมทะเลสาบ





ที่เห็นไกลๆคือหอคอย ฝอเซียงเก๋อ





ข้ามสพานไปที่เกาะ





ไกลลิบๆคือสะพาน 17 โค้งในทะเลสาบคุนหมิง




สวนชิงอีหยวน สร้างขึ้นในปีค.ศ.1750 (รัชสมัยเฉียนหลง ปีที่ 15) เพื่อเฉลิมฉลองวาระคล้ายวันพระราชสมภพของพระราชมารดาในจักรพรรดิเฉียนหลง ใช้เวลาก่อสร้าง 14 ปี(เสร็จในปีค.ศ.1764)




ตำหนักเล่อโซ่ (Hall of Benevolence and Longivity)






ต้นและดอกอี้ว์หลันหน้าตำหนัก ที่พระนางซูสีไทเฮาโปรดมาก




ปีค.ศ.1860 สวนชิงอีหยวนถูกเผาทำลายโดยกองทหารอังกฤษและฝรั่งเศส ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในปีค.ศ.1866 และเปลี่ยนชื่อมาเป็น 'อี๋เหอหยวน' ต่อมาได้ถูกกองทหารพันธมิตรของมหาอำนาจจักรวรรดินิยม 8 ประเทศ เผาทำลายอีกครั้งในปีค.ศ.1900 หลังจากนั้นราว 3 ปี จึงมีการบูรณะขึ้นอีกครั้ง




กำแพงริมทะเลสาบ





ระเบียงยาวกว่า 700 เมตรมีภาพวาดมากว่า 15000 ภาพ





ปีค.ศ.1908 ภายหลังที่พระนางซูสีไทเฮาและจักรพรรดิกวงสูเสด็จสวรรคต พระราชวังฤดูร้อนที่ผ่านมรสุมมายาวนานก็ได้ยุติการรับใช้ราชสำนักชิง และเมื่อปีค.ศ.1911 ปีที่การปฏิวัติซินไฮ่ ล้มล้างราชสำนักแมนจูอุบัติขึ้น ‘สวนแห่งราชสำนักอี๋เหอหยวน’ ก็ได้ปิดฉากลง ตามการล่มสลายของราชวงศ์ชิง ก่อนที่จีนจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ และได้รับการประกาศเป็นสวนสาธารณะในปี ค.ศ. 1924 โดยอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาเที่ยวชมได้




ข้างระเบียงด้านภูเขาจะเป็นคลองน้ำ





เราเดินชมเป็นวงกลมโดยเข้าที่ประตูทางด้านเหนือ และเข้าชมตำหนักต่างๆ เรื่อยมาตามระเบีบงทางเดิน หรือใครใคร่จะเดินริมทะเลสาบคุนหมิงก็ไม่ว่า เพราะนำสีมรกตวันนั้นน่าชมมากๆ ซึ่งปกติเขาจะมีจักรยานน้ำจอดให้นักท่องเที่ยวเช่า แต่วันนั้นลมแรง หนาวอีกต่างหาก ก็เลยไม่เห็นมีใครเอาออกไปในทะเลสาบ...




เรือมังกร และเรือหินอ่อน




ลีน่าเรียกว่า เรือหินอ่อนแห่งความโง่ (Shi Fang) ที่เรียกว่าเรือหินอ่อนแห่งความโง่เพราะว่า สมัยพระนางซูสีไทเฮาได้เอางบประมาณของกองทัพเรือมาสร้างเรือหินอ่อนซึ่งแล่นไปไม่ได้ แค่เอาไว้เป็นที่นั่งจิบชาของพระนางเท่านั้น แทนที่จะนำเงินไปปรับปรุงกองทัพเรือ หรือสร้างปืนใหญ่เพื่อป้องกันประเทศ พอมีสงครามกับญี่ปุ่นจีนจึงสู้กองทัพเรือญี่ปุ่นไม่ได้.... ที่นางเอามาสร้างเรือหินอ่อนไว้นั่งจิบชา เขาเล่าว่า พระนางชอบเมาเรือเลยสร้างเรือมานั่งเล่น.... แต่เรือนั่นก็ถูกทำลายโดยกองทัพตะวันตกในปี คศ. 1860 แล้วครับ ปัจจุบันที่เห็นเขาบูรณะขึ้นมาใหม่




เรือหินอ่อนที่บูรณะขึ้นมาใหม่






สะพานกระจก หรือสะพานจิ้งเฉียง






เขาเรียกกันว่าดอกซากุระปักกิ่ง




พอเลยสะพานกระจกเราก็วนขึ้นเขา ซึ่งเขาว่ามนุษย์เรานี่แหละเป็นคนสร้าง โดยขุดเอาดินจากทะเลสาบคุนหมิงมาถม... ตามทางเดินที่วนกลับขึ้นทางเหนือ จะเป็นสวนดอกไม้หลากหลายพันธุ์ แต่เพราะเป็นหน้าที่ใบไม้ยังไม่ผลิใบเต็มที่จึงเห็นดอกไม้เพียงไม่กี่ชนิด




วัดแบบธิเบตจำลอง (ไม่มีพระอยู่)




ก่อนจะถึงแม่น้ำหรือถนนซูโจวจำลอง เราก็ได้แวะถ่ายภาพกับวัดธิเตจำลองที่สร้างบนภูเขาหมื่นปีวานโซ่ซาน คือเป็นวัดจริงแต่ไม่มีพระอยู่




ตลาดซูโจว (Suzhou) จำลอง หรือถนนค้าขาย




ตลาดซูโจ หรือ ถนนซูโจจำลองนี้จักรพรรดิ์เฉียนหลงได้สร้างขึ้นเพื่อให้ตัวเอง และพระมเหสีได้เดินซื้อของเหมือนบุคคลธรรมดาสามัญ แต่ได้ถูกทำลายตอนอังกฤษและฝรั่งเศสบุกเข้ามาในปี คศ.1960 ก่อนที่รัฐบาลจะสร้างขึ้นมาใหม่ในปี คศ.1986 และเปิดให้ชมในปี คศ.1990..

มีเรื่องเล่าว่าเมื่อพระนางซูสีไทเฮามาเดินซื้อของที่ตลาดจำลองแห่งนี้ พวกพ่อค้า แม่ขายทั้งหลายพยามจะเอาอกเอาใจ โดยขายของให้พระนางในราคาถุกจนตัวเอวยอมขาดทุน...



อีกภาพ





ผ่านสวนหินสวยๆก่อนถึงทางออก




เลยสวนหินอ่น ประดับด้วยต้นสน เมื่อเราข้ามสะพานไปก็จะเป็นที่รถมารับนักท่องเที่ยว แต่ ณ จุดนี้มีห้องน้ำบริการด้วย... เราผ่านการชมพระราชวังฤดูร้อนที่เดินหนักหนาสาหัสเหมือนกัน จนลีน่าเธอบอกว่า ถ้าไปกับกรุ๊ปไทย เธอจะเข้าใจเลยว่า คนไทยไม่ชอบเดินมาก แต่ จขบ. ว่าอากาศเย็นสบาย แถมหนาวแบบนั้นน่าเดินมากทีเดียว




โฉมหน้ารถเรา ถ่ายที่หน้าร้านไข่มุก




ออกจากพระราชวังฤดูร้อนเขาก็พาเราก็ไปร้านทำไข่มุกน้ำจืด มีการเปิดหอยกาบน้ำจืดให้เราชมมุกด้านใน และอธิบายวิธีการเลี้ยง สุดท้ายก็ขายผลิตภัณฑ์เหมือนเดิม จนบางครั้งเราเองคิดว่าเรื่องแบบนี้คงเป็นส่วนหนึ่งของบริษัททัวร์ไปแล้ว นี่จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ฝรั่งและไทยบางส่วนชอบแบกเป้เที่ยวกัน




ผ่านหน้า รร. นายร้อยตำรวจปักกิ่ง




พอผ่านถนนในปักกิ่งลีน่าก็จะชี้ให้เราดูโน่น ดูนี่... อย่างภาพด้านบนคือโรงเรียนนายร้อยตำรวจปักกิ่ง... พอเลยไปอีกหน่อยก็เจอร้านอาหารสัญลักษณ์เขาแกะ ที่เธอบอกว่าข้างในขายเนื้อหอม (เนื้อสุนัข) หลังจากนั้นเราก็ไปทานมื้อเย็นซึ่งเป็นหมูหันกันที่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ตรงข้ามกับสวนสาธรณะ




ร้านอาหารสัญลักษณ์เขาแกะ






ปักกิ่งยามค่ำคืน



ออกจากร้านอาหารเราก็กลับที่พัก ผ่านย่านที่เจริญมากๆของปักกิ่ง หน้าจะแถวมหาวิทยาลัยปักกิ่งนั่นแหละ เป็นแหล่งขายเครื่องไฟฟ้า อีเลคทรอนิค และคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในจีน




อีกภาพ




วันนั้นพอถึงโรงแรมเราก็ยังอุตส่าห์ฝ่าลมหนาวไปซื้อของกันต่อที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆกับที่พัก ซึ่งเขาจะสร้างกันไว้ที่ชั้นใต้ดิน แต่เราก็ต้องรีบทำเวลาเพราะร้านเขาปิดแค่สามทุ่มเอง

พรุ่งนี้เราจะไปชมไฮไลท์ของทริบนี้ คือกำแพงเมืองจีนกัน สำหรับวันนี้ขอพักเอาแรงก่อนละกันครับ.


อ่านตอนที่ 4 ll อ่านตอนที่ 6

_________________






Create Date :06 เมษายน 2552 Last Update :24 กรกฎาคม 2556 22:25:06 น. Counter : Pageviews. Comments :7