bloggang.com mainmenu search

ตลาดหาน ลงเรือฟังเพลง
ตลาดดองบา กลับไทย

(ต้นฝนที่เวียตนามกลาง 4)




อ่านตอนที่ 1 : คลิ๊กที่นี่
อ่านตอนที่ 2 : คลิ๊กที่นี่
อ่านตอนที่ 3 : คลิ๊กที่นี่




...เรามาพักที่โรงแรม Saigon Tourane Hotel ในคราวที่แล้ว....

5 พฤษภาคม 50

หลังอาหารเช้าที่ Saigon Tourane Hotel แล้ว เราก็ออกจากโรงแรมเพื่อไปชมร้านปักผ้าไหมเป็นแผ่นภาพ ซึ่งเป็นงานฝีมือที่สวยงามมาก เขาโชว์ภาพถ่ายที่ สมเด็จฯพระเทพฯ เคยเสด็จที่นี่มาแล้ว พร้อมบุคคลสำคัญหลายคนที่เคยมาที่ร้านนี้ ไว้ในร้าน งานปักภาพด้วยไหมของที่ร้านมีมากมายให้เลือกชม และเลือกซื้อ มีทั้งภาพที่ปักด้วยไหมที่สามารถเห็นภาพได้ทั้งสองด้านของแผ่นผ้า ซึ่งหน้าทึ่งในฝีมือเขามาก สำหรับสนนราคาก็มีตั้งแต่ 550 USD ไปจนถึง หลายพันดอลลาร์ ถ้าเป็นภาพที่สามารถดูได้ทั้งสองด้าน ราคาจะแพงกว่า





ผ้าไหมปัก






เราออกจากร้านปักผ้าไหม เพื่อจะเดินเที่ยวและช้อปปิ้งในตลาดหาน ซึ่งก็มีสินค้าหลากหลายชนิด เช่นผ้า เหล้า บุหรี่ และของกินต่างๆ ซึ่งคล้ายๆกับตลาดขายสินค้าที่ท่าเด็จ หนองคาย ผิดกันตรงที่ตลาดแห่งนี้ เขาสร้างเป็นสองชั้น โดยที่ชั้นบนจะขายพวกผ้าต่างๆ ด้านหน้าตลาดเป็นพวกของแห้ง หลังตลาด ก็จะเป็นตลาดสด หลังจากที่เราถ่ายเงินด่องออกจากกระเป๋าเราสู่แม่ค้าชาวเวียดนามแล้ว เราก็เดินทางไปรวมกันที่ฝั่งแม่น้ำหาน โดยที่ทางเมืองดานังเขาสร้างลานคอนกรีตพร้อมรั้วกั้นริมแม่น้ำว้า ให้คนใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะออกกำลังกาย หรือไว้ชมทิวทัศน์ของแม่น้ำหาน พอรวมกันครบแล้วเราก็ออกเดินทางจากดานังกลับเมืองเว้ที่อยู่ทางด้านเหนืออีกร้อยกว่า กม.ทันที.... ลาก่อนดานังจนกว่าจะพบกันอีก






ถนนในเมืองดานังยามเช้า









ถนนในเมืองดานังยามเช้า





ริมน้ำหาน









ตลาดหาน






หลังจากผ่านอุปโมงค์ไฮวานแล้ว เราก็แวะเพื่อให้สมาชิกทัวร์ได้เข้าห้องน้ำห้องท่า ที่ร้านอาหารร้านเดิมที่เราเคยจอดทานกลางวัน ในวันมี่เราเดินทางไปดานัง เช่นเคยชาวสมาชิกที่ยังซื้ออะไรได้ไม่ครบจากร้านนี้ ก็ถ่ายเทเงินด่องออก เพื่อให้กระเป๋าเบาขึ้นที่ร้านนี้ ไม่ว่าจะเป็น มุก กุ้งหมัก (คล้ายๆปลาจ่อมแถวๆอีสาน) เมื่อกระเป๋าตังค์พร่องไปบ้างแล้ว เราก็ออกเดินทางมุ่งสู่เมืองเว้ทันที










เรามาถึงร้านอาหารใจกลางเมืองเว้ เพื่อทานมื้อเที่ยงที่นี่ ร้านอาหารตั้งอยู่ในถนนที่ค่อนข้างแคบ ร้านก็หน้าแคบตามแบบฉบับของเวียดนาม คือโดยทั่วไปบ้านชาวเวียดนามในแถบนี้ (ผมใช้คำว่าแถบนี้ เพราะยังไม่เคยไปเยี่ยมเวียดนามในภาคอื่นๆ) จะมีหน้าบ้านหรือตึก ห้องเดียว แต่ลึกเข้าไปด้านในหลายช่วงห้อง คือหน้าบ้านแคบแต่ยาว ว่างั้นเถอะ พอเราเข้าไปในร้านก็พบกับผู้คนเข้ามาทานอาหารเต็มไปหมด รวมทั้งนักท่องเที่ยวด้วย คงเป็นร้านอาหารที่ขึ้นชื่อเขานั่นแหละ พอไปทานแล้วก็รู้ว่า อาหารเข้าท่าเหมือนกันแฮะ






หน้าตลาดดองบา






ในตลาดดองบา






แม่ค้าเวียดนามตามตื้อขายของนักท่องเที่ยว







นั่งรถข้ามสะพานข้ามแม่น้ำหอม เพื่อไปช้อปปิ้ง (อีกแล้ว) ที่ตลาด “ ดองบา” ที่ขึ้นชื่อว่าของถูกสุดๆที่เมืองเว้ หรือเวียดนามกลางเลยก็ว่าได้ เพราะทุกทริปที่มาเวียดนามกลาง จะมาลงที่นี่หมด เหมือนกับการไปเชียงใหม่จะต้องไปดอยสุเทพ ยังไงยังงั้น ตอนที่เราไปถึงซักบ่ายสองโมงกว่าๆ ก็มีรถท่องเที่ยวจากเมืองไทยจอดเพรียบอยู่แล้ว

ตลาดดองบาอยู่ทางตะวันออกของพระราชวังโบราณเมืองเว้ ซัก 1 กิโลเมตรหรือใกล้กว่านั้น ก็เป็นตลาดขายของเหมือนที่ท่าสด็จเปรี๊ยบเลย มีทุกอย่างในตลาดนี่ และจัดรวมกลุ่มกันไว้เป็นโซนๆ การซื้อหาสินค้าในตลาดแห่งนี้ ก็ทำเหมือนในเวียดนามทั่วไป คือต่อรองราคาต่ำๆเข้าไว้ ยกตัวอย่างที่คณะเราซื้อกำไลข้อมือที่ทำเลียนแบบหยก เราถามครั้งแรกเขาบอกว่า “อันละ 100 บาท” เราก็บอกว่าแพงไป ต่อยังไงก็ไม่ได้ ลดอย่างมากก็ 2 อัน 100 บาท เราก็เดินหนีไป หลังจากที่เราเดินผ่านตรงนั้นอีกครั้งพวกก็ลดราคาให้อีก เราก็ต่อรองว่า “ถ้า 4 อัน 100 บาท เอา” เขาก็ไม่ยอมให้ ที่นี้เราก็จะหนีจริงๆ แม่ค้าคนนั้นก็เดินตามมาหาเราอีกและตกลงกับเรา ซึ่งเราก็ได้กำไลมือ 4 อัน 100 บาท จากที่เขาตั้งไว้ อันละ 100 บาท สินค้าหลายๆอย่างก็ทำนองเดียวกัน


หลังจากที่หอบของพะรุงพะรังมาเก็บไว้ที่รถกันมากมายแล้ว คณะของเราก็ออกเดินทางไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารฝั่งเมืองใหม่ เว้ จนประมาณ 18:30 น รถก็พาเราไปส่งที่ริมฝั่งแม่น้ำหอม เพื่อไปลงเรือฟังเพลงพื้นเมืองของเว้







มือเย็นที่อร่อยมาก






สองสาวยืนรอเวลาออกไปแสดง







เรือพาคณะของเราขับออกนอกชายฝั่งแม่น้ำหอม ซึ่งมีความกว้าง 1 กม. โดยประมาณ โดยแล่นลอดสะพานสายรุ้ง ไปอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ แล้วดับเครื่องให้เรือลอยอยู่กลางน้ำอย่างนั้น โดยเรือก็ทำเป็นรูปทรงหัวมังกร ลวดลายต่างๆแต่งเป็นลายมังกร มีกระจกติดรอบเรือบริเวณที่เรานั่งชมการแสดง เขาเรียกเรือนี้ว่า “เรือมังกร”

ในคณะนักร้องนั้นจะประกอบด้วยนักร้อง 5 คน นักดนตรีอีก 3 คน วันที่เราไปชมคณะนั้นมีนักดนตรีชาย 2 คน เล่นซอกับพิณ ส่วนอีคนเป็นผู้หญิง เล่น “พิณสายเดียว” ที่เขาบอกว่าเป็นเครื่องดนตรีโบราณในราชสำนักเลยล่ะ ทำนองเพลงขับกล่อมเป็นสำเนียงค่อนข้างเศร้า คงบรรยายเกี่ยวกับ ความรักหรือความเป็นอยู่อะไรทำนองนั้น เวลาจะขึ้นต้นแต่ละครั้งก็จะออกเสียงคล้ายๆ เอ่อ หรือ โอ่ ประมาณนั้นเมื่อเทียบกับเพลงบ้านเรา

พอร้องเพลงเวียดนามได้ซักพัก ก็ถึงรายการร้องเพลงไทยบ้างล่ะ ที่เขาเอามาร้องคือเพลง “กุหลาบแดง” และเพลงของเบิร์ด ธงชัยอีกเพลงหนึ่ง จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว แล้วก็มีต่อด้วยเพลงคู่ หนุ่มสาว ทำนองว่าขอแต่งงานด้วย ประมาณนั้น แถมเดี่ยวขลุ่ยอีก และมาลงเอยด้วยการร้องเพลง “รำวงลอยกระทง” โดยเชิญหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ไปรำกับนักร้องหญิงของเวียดนาม ตามต่อด้วยการลอยกระทงกระดาษ ทำเหมือนกระทงไทยทุกประการ เป็นอันว่าครบหนึ่งชั่วโมงตามรายการ







เรือมังกรรอเวลาออก





นักแสดงนั่งรอการแสดงบนเรือ





ดนตรีเริ่มบรรเลง






นักแสดง ก็ออกมาร้อง






พิณสายเดี่ยวชาววัง ไฮไลท์ของเครื่องดนตรี






ฟังเพลงไป มองดูสะพานสายรุ้งข้ามน้ำหอมไปด้วย







เรือส่งเราบนฝั่งทางด้านเมืองใหม่ พร้อมกล่าวคำอำลาสาวๆเวียดนาม เราถึงฝั่งที่มีผู้คนมากมาย เหมือนมีงานวัดบ้านเรา สาวๆอยู่ในชุด “อ๋าวหย่าย” ยืนจับกลุ่ม โทรศัพท์ คุยกัน เพื่อรอการทำหน้าที่ในเรือ สำหรับนักท่องเที่ยวชุดต่อไป วิธีการเช่นนี้ก็สามารถถ่ายเงินด่องจากกระเป๋าของคณะทัวร์ต่างๆได้เป็นอย่างมาก เพราะนี่คือ หนึ่งโปรแกรมที่ทุกทัวร์ต้องจัดโดยขาดเสียมิได้ ถ้าขาดรายการนี้ก็เท่ากับว่ามาไม่ถึงเมืองเว้เลยที่เดียว

เรากลับถึงโรงแรม Duy Tan เพื่อพักผ่อน หลังจากลุยมาพอสมควร แต่พอจะนอนหน่อย เงินด่องก็ร้องเรียกเจ้าของให้พาออกเดินชมเมืองย่านโรงแรมที่พักอีก ย่านนี้ที่มีโรงแรมมากมาย และทุกระดับ ตั้งแต่ 3 ดาว ถึง 5 ดาว ตลอดแนวถนนร้านค้ายังคงเปิดขายของอยู่ แม้จะเกือบสามทุ่มแล้วก็ตาม แต่ราคาของแถวๆนี้แพงไปหน่อย โดยถ้าต่อราคาได้ ก็ไม่มาก เหมือนที่ ฮอยอัน ดงบา หรือที่ ตลาดหาน แต่ถ้าใครลืมซื้ออะไร ก็เลือกหาได้จากแถวๆนี้ แม้ราคาจะแพงกว่าหน่อยก็ตาม








เงินเวียตนามด่อง







ฝนฟ้าเริ่มโปรยเม็ดมาแล้ว เราพกเบียร์ Kuda ซึ่งเป็นเบียร์ท้องถิ่นที่นี่ราคาประมาณกระป๋องละ 8,000 ด่อง ไปด้วย 2 กระป๋องเพื่อกับห้องพัก คนที่เวียดนามชอบดื่มเบียร์มาก เราเห็นทุกร้านอาหาร ทุกโต๊ะจะมี Kuda หรือ Festival Beer นี่แหละเป็นหลัก แต่ผมเองก็ลองสั่งเบียร์ ดาวแดง หรือ ไฮเนเก็น ที่ผลิตในเวียดนามมาลองรสชาดก็ไม่เลวเหมือนกัน ฝนลงเม็ดหนาเข้า กลับห้องดีกว่า





6 พฤษภาคม 50

07:00 น. เราทานอาหารเช้าเสร็จ ก็เช็คกระเป๋าเดินทางขึ้น Hyundai 26 ที่นั่ง เพื่อเดินทางไกลอีกครั้ง สำหรับการกลับเมืองไทย วันนี้ต้องฝ่าสายฝนที่ตกลงมาตั้งแต่คืนนี้ จนถึงเช้า ท้องถนนเปียกปอนไปหมด สงสารก็แต่กรุ๊ปทัวร์คนไทยที่มาจากทางภาคเหนือ จะเข้าชมพระราชวังเว้ ในตอนเช้าด้วยชุดกันฝนนี่แหละ คงถ่ายภาพออกมาดูแปลกๆเหมือนกัน คณะเรานี่โชคดีเจอฝนเอาตอนวันจะกลับแล้ว






อาหารเช้าที่โรงแรม






เวียดนามเป็นประเทศหน้าด่านสำหรับพายุหมุนใต้ฝุ่นที่เข้ามาจากทะเลจีนใต้ และมาขึ้นฝั่งที่นี่ก่อนเข้าลาว ไทย ตามลำดับ ลองมานึกเล่นๆว่า นี่ถ้าเวียดนามไม่ เจอ พายุ ไม่เจอสงคราม แล้วจะเจออย่างอื่นที่เป็นอุปสรรค์ในการพัฒนาประเทศบ้างไหมหนอ แต่มีบางประเทศที่อะไรๆก็ดีหมดยกเว้นคนในชาติที่แย่งกันเป็นใหญ่ตลอดกาล เหมือนคำที่เขาชอบล้อกันเล่นว่า “ธรรมชาติสร้างอะไรๆมาให้สมดุลไปหมด เช่นกลัวญี่ปุ่นเจริญไปไกลกว่าเพื่อน เลยทำให้เกิดแผ่นดินไหว เวียดนามเจอพายุและสงคราม อเมริกาเจอทอร์นาโดและเฮอริเคน ส่วนเมืองไทยก็สร้างคนมาให้ทะเลาะกันเพื่อไม่ให้ชาติพัฒนาเร็วเกินไป” จริงเท็จอย่างไรไม่ทราบได้ นี่เป็นเพียงเขาคุยกันตลกๆเท่านั้น







เติมน้ำมัน แต่ห้องน้ำไม่น่าเข้า







รถวิ่งขึ้นทางเหนือเพื่อไปเข้าเส้นทางหมายเลข 9 ที่กวางตรี ระหว่างทางเห็นทรายขาวเต็มไปหมด ถามลุงทองสุข ก็ได้ความว่า นี่คือทรายแก้วที่มีอยู่มากมายในเวียดนาม ซึ่งนำไปขายเป็นสินค้าขาออกด้วย นี่ไม่นับถึงความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำนะ แล้วนี่เราจะไม่ต้องวิ่ง 100 เมตรตามก้นเวียดนามในอนาคตหรอกเหรอ


พอรถถึงดองอา (Dong Ha) ก็เลี้ยวซ้ายเข้าทางลัดเพื่อไปสู่ทางหมายเลข 9 และเราก็มาถึงด่านลาวบาว เมื่อเวลา 10โมงเศษๆ ที่นี่จะมีสาวๆเวียดนามมานั่งคอยแลกเงินด่องกลับ โดยเขาคิดเอากำไรจากเรา 10 ด่องต่อบาทจากที่เคยแลกเมื่อวันแรก แต่ถ้าไม่อยากแลกกลับ ก็สามารถซื้อของได้ที่ Duty Free ที่นี่ เราจากลุงทองสุข วันดา ไกด์ชาวดานังของเราที่นี่ โดยลุงอวยพรให้เราโชคดี และลุงจะรอรับคณะทัวร์ชุดอื่นที่นี่ บ่ายนี้







รถประจำทางวิ่งระหว่าง ฮานอย - โฮจิมินห์






พอรถจอดเพื่อเช็คหนังสือเดินทางอีกครั้งที่ด่านลาวบาว ฝั่งลาว เราบางคนก็ถือโอกาสเข้าร้าน ดาวเฮือง Duty Free ของลาวอีกครั้ง เช่นเคย เราใช้เงินบาทได้ที่นี่อย่างสบาย รถออกจากด่านพร้อมไกด์สาวชาวลาวชื่อ นางลำเหย หรือ ต้า เธอบอกว่า ชาวไทยชอบอ่านชื่อเธอ ว่า นางรำเหี้ย เช่นเคยเธอก็มาพร้อมนิทานติดตลก และบางครั้ง ก็ประเภท Dirty Joke ประเภทในผ้าถุง หรือในกางเกงเลยล่ะ ประมาณเที่ยงวัน เราก็มาพักทานอาหารที่ร้าน แฟนต้า ที่เราเคยมาแวะเข้าห้องน้ำวันแรก สำหรับวันนี้เราได้ทานพวกลาบปลา และส้มตำเป็นมื้อแรก หลังจากที่ห่างหายไปหลายวัน







ไกด์สาวชาวลาว







คณะของเรามาถึงเมืองมุกดาหารประมาณ 16:30 น. คุณรังสิฐ ก็พาคณะของเราขึ้นภูมโนรมย์เพื่อดูเมืองมุกดาหารและสะหวันเขตในมุมสูง ซึ่งสามารถมองเห็นได้ดีกว่าหอแก้วเสียอีก เรากลับลงมาเพื่อทานอาหารประเภทปลาแม่น้ำโขงที่ร้าน แม่วันปลาเผาด้วยความอร่อย และ 19:30 น เราก็เอ่ยคำอำลากันที่นี่ เพื่อเดินทางกลับภูมิลำเนา.

เราขอจบทริบนี้ด้วย ภาพมุมสูงจากภูมโนรมภ์ ที่มุกดาหารครับ.






ภาพมุมสูง เห็นมุกดาหารและสะหวันนะเขตคนละฝั่งโขง





ที่ชมวิวบนภูมโนรมภ์.



_______จบทริบ เวียตนามกลาง 4 วัน 3 คืน ครับ______




Create Date :15 พฤษภาคม 2551 Last Update :28 กรกฎาคม 2556 14:38:29 น. Counter : Pageviews. Comments :8