bloggang.com mainmenu search
ก็ว่า ทำงานชิ้นใหม่ตอนนี้ มีแต่ปัญหาเรื่องของ การแบ่งเวลาเท่านั้น เรื่องอื่นไม่ค่อยจะมีปัญหาเท่าไหร่ เพราะว่าข้อมูลมีตุนเพียบ หลังจากที่ไปนั่งๆนอนๆกับกองหนังสือ และออกเวิร์คช้อป สะกดรอยไปกับ คุณหมอบัญชา พงษ์พานิช มาระยะหนึ่ง (ถ้่าไม่ลืมเรืองนี้ สักวันจะเล่าให้ฟังค่ะ)

เหมือนจะเป็นธรรมเนียมของตัวเองไปแล้ว ว่าเขียนหนังสือเรื่องไหน ก็ต้องป่วยก่อนหนังสือจบ ไม่งั้น ไม่เสร็จสิน่า.... แต่เรื่องใหม่นี่ก็ไม่มีทีท่าเลยว่าเราจะล้มป่วยลงได้ แต่แล้ว ช่วงงานสัปดาห์หนังสือ ก็วางแผนว่า จะไปงานสัปดาห์ในสองวันสุดท้ายเท่านั้น เพื่อทำธุระและซื้อหนังสือตามแผนที่โน้ตๆๆสะสมมานาหลายเดือน

วันนั้น ก็นั่งเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในบานตามลำพัง เปิดเทปฟังพระสวดมนต์แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่าควรเผื่อแผ่เพื่อนๆ ก็เลยเอามาลงในเวบร้านกาแฟ ปะไป ฟังไป อู้ยย ยิ่งฟังยิ่งชอบ เปิดกระหึ่มบ้านแล้วเิดินออกไปอุ่นเป็ดพะโล้ในตู้เย็นเป็นอาหารกลางวัน

ตอนนั้นก็ลังเลแล้วละ...มันมี"สังบรู๋ว" นิดๆ ว่า....ตัวเองมีปัญหาเรื่อง"ไก่" มาตลอด เพราะว่า กินแล้วจะครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่ใช่เพราะปีเกิดหรือว่าอะไร ระยะสองสามปีหลัง กินแล้วรู้สึกไม่ดีทุกครั้ง

แต่คราวนี้จะกินเป็ด แถมตัวช่วยก็ไม่อยู่บ้าน ชายกลางหนีไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแต่เช้า คฤหาสน์ทรายทองก็เลยตกเป็นของพจมานที่ง้างจะกินเป็ด แต่เพียงผู้เดียว.......

เอาวะ ไหนๆ เป็ดก็อุ่นๆ กลิ่นหอมฟุ้งอยู่ในชามแล้ว จะปล่อยไปแล้วจะกินอะไรละ.........คฤหาสน์ทรายทองของเรานี้ก็ตั้งเสียโดดเดี่ยวก้นซอย จะออกไปซื้ออะไรทีก็ต้องปั่นจักรยานน่องโป่ง....ท้ายสุด พจมานเลยตัดสินใจว่า อย่าเรื่องมากเลย กินๆไปเหอะ ว่าแล้ว ก็คว้าแผ่น Change ของ คุณน้องทาคุยะมาเปิด....อ้าว กรี๊ดดด ถึงจะหล่อน้อยกว่ามาร์คหน่อย แต่นี่ก็คือ ทาคุยะ ค่า....ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ เล่นอะไรก็น่ากรี๊ด ว่าแล้ว พจมานผู้หื่น...เอ้ย หิว...ก็เดินเข้าครัวไป ล้างผักกาดหอมมาช่อหนึ่ง ใส่ชาม ตักข้าวสวยพูนๆ แล้วเอาเป็ดพะโล้อย่างหอม เดินเข้ามาวางโต๊ะหน้าโทรทัศน์ นั่งดู ทาคุย พร้อมกับอาหารกลางวัน ราดน้ำพะโล้ใส่ข้าวชุ่มๆ เคี้ยวงั่มๆแต่ละคำ พร้อมดูท่านนายก สุดหล่อไปด้วย..........

โฮ๊ะๆๆๆ C'est la vie นี่ละชีวิต....


แอ๊ก!....

แค่ก!!...

เอื๊อก....

กระดูกเจ้าค่ะ...กระดูกชิ้นหนึ่ง มันผลุบเข้าไปในคอขณะที่อิฉันกำลังเจริญอาหารเต็มพิกัด ....พยายามกลืนข้าวที่เหลือเข้าไปเพื่อเอากระดูกออก...แต่ไม่นะ มันกลืนไม่เข้า ที่สำคัญ เวลานั้น ลมหายใจมันแทบไม่มีแล้ว

ล้วงสิคะ สติแว๊บ หนึ่งแล่นเข้ามา บอกให้อิฉันล้วง ถลันออกจากหน้าโทรทัศน์ เข้าไปในห้องน้ำ พยายามใช้นิ้วล้วง แต่ไม่ถึง.....มันหลุดเข้าลึกเกินไป กรอกน้ำเข้าไป ก็ไม่รับรู้ แถมยังไหลกลับออกมาอีก น้ำหูน้ำตาไหลพรากแล้ว ไหนๆมันก็ควักไม่ออก สติตัวเองก็บอก ให้มันหลุดไหลลงคอไปอีกทาง ฉันต้องกระโดด

ว่าแล้วก็ยืดคอสุดๆ กระโดดๆ....โอ๊ะ หายใจได้ แล้ว...แต่มันเจ็บนะ เจ็บในคอจนน้ำตาไหลเลย....เหงื่อกาฬมาจากไหนไม่รู้แตกโทรมตัวไปหมด

ตะกาย โทรศัพท์ เรียกหาคู่หู เสียงมันแทบไม่มีจะพูด
"โหล"
"มีอะไรหรือคุณ"
"กระดูกติดคอ..จะไปโรงพยาบาล"
"อะไรนะ กินอะไรเข้าไป ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไม จะเอายังไง โอย...บลาๆๆๆๆ"

ตอบอะไรไม่ถูกแล้วอ่ะ ตอนนั้น ขอวิ่งออกจากบ้านอย่างเดียว โชคดี เสื้อผ้าใส่ครบ คว้ากระเป๋าสตางค์ได้ก็วิ่งหน้าเริ่ดออกจากบ้าน บอกแผ่วๆกะ มอเตอร์ไซด์คิวว่า..."ไปโรงพะบาน"

มันก็ีดีใจหาย พาวิ่งตื๋อออกจากก้นซอยไปเลย ตอนนั้นเจ็บคออย่างที่สุดแล้วค่ะ รู้แล้วว่า วินาทีที่เราเป็นเราตายนั้นเป็นอย่างไร ความน่ากลัวที่ว่าของคนใกล้ตายไม่ใช่ภาวะใกล้ตายหรอก....ภาวะที่รู้ตัวว่าตัวเองจะตายนั่นต่างหาก..แย่จริงๆ ตลอดทางเห็นแต่หน้าลูกขึ้นมาเป็นริ้วๆ...เขาจะอยู่อย่างไรนะ ถ้าไม่มีเรา ถ้าเราหายใจไม่ออกแล้วตายไปเมื่อครู่นี้ละ จะเป็นอย่างไร..... คิดแต่เรื่องนั้น จริงๆ

ไปถึงโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เข้าส่วนอุบัติเหตุทันทีเลยค่ะ บอกเขาว่า กระดูกติดคอ....พูดแล้ว เจ้าหน้าที่ก็หัวเราะ...แต่ตรูไม่หัวเราะด้วยหรอก...เมื่อกี้เกือบตาย เขาก็เอาเรานอนบนเตียงเพราะว่ามันเจ็บคอมา อาการเจ็บจนอยากเอามีดมาเจาะคอหยิบมันออกเองจริงๆ ถ้าทำไปแล้วมันไม่ตาย อ่านะ....

ไม่นาน คู่หูก็วิ่งมาจามหาวิทยาลัย ตาเหลือกเข้ามาดู ตอนนั้นบ่ายสามกว่าแล้ว เขาเอาเรานอนบนเตียง เอกซ์เรย์แล้ว หมอเดินมาบอกเราว่า กระดูกมันลงไปลึกมาก แพทย์เฉพาะทาง"คอ หู จมูก" ของโรงพยาบาลที่นี่จะเข้าตอนสี่โมงครึ่ง รอได้ก็รอ รอไม่ได้ ก็ไปศิริราช เสียแทน .....อ้าว....งานเข้าแล้วไง

คู่หูก็บอกว่า ไป ศิริราช ก็ต้องรอ แค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็นอนรอที่นี่เถิด...เราก็...ตอนนั้นสมองเท่า กระดูกเป็ดไปแล้ว....ใครจะคิดยังไงก็คิดเหอะ...ตรูหายใจได้ ครั้งต่อครั้ง ก็นับว่าโอเคมากๆๆแล้ว ไม่ต้องคิดถึงเรื่องเจ็บเลย มันขวางกลืน หรือหายใจแต่ละทีก็ระบมไปทั้งคอ

หลายชั่วโมงผ่านไป สี่โมงครึ่ง พยาบาลเดินมาบอกเราด้วยความสงสารว่า...ไปศิริราชเถิด อย่ารอเลย เพระาหมอไม่แน่ใจว่าจะเข้ากี่โมง อาจจะทุ่มสองทุ่ม....เอาไงละ...ยา ชงยาชา ก็ไม่ได้ฉีด มีแต่นอนระบม เดชะบุญที่อาการไม่ได้เป็นเหมือนตอนที่กลืนเข้าไปครั้งแรก เพระามันยังหายใจได้

...ไม่ั้งั้น ไปนอนนับดาวแข่งกับนางฟ้าไปแ้ล้ว


คู่หูเลยพาเรานั่งรถมาที่ศิริราช ที่แผนกอุบัติเหตุ ห้าโมงเย็น เจ้าหน้าที่เขียนแจ้งแพทย์เวรทันใด...คนไข้ "กระดูกติดหู" ฟังตรูยังไงละเนี่ย...กระดูกบ้านไหนจะไปติดหูได้ ฮ๊า..... หมอเอาเอกสารของเจ้าหน้าที่มาอ่าน เอ้า ฮา กัันทั้งวอร์ด เอ๊กซเรย์อีกรอบ (ถ้ามันมีรังสีทำลายเซลส์เราจริงๆ คาดว่า ตอนนี้ อวัยวะส่วนคอเราคงลายพันธ์ เป็น GMO ตัดต่อพันธูกรรมไปแล้ว เพระามันถูกเอ๊กซเรย์บ่อยเกิน)

แพทย์ส่วนอุบัติเหตุบอกว่า งานนี้ ยากกว่าที่คิด..... ว่าแล้วก็ส่งเราไปหาแพทย์เวรที่อยู่ตึกถัดไป

แพทย์เวรตรวจแล้วก็ตรวจอีก แล้วมีใครอีกคนเดินตามเรามาเป็นคนไข้ลำดับถัดไป

ท้ายสุด สักหกโมงเย็น คุณหมอ เดินมาบอกเรา "กระดูกของคุณลงไปลึกมาก...มันดึงไม่ได้ ต้องผ่าตัด แล้วเอาออก เคสของคุณเหมือนของคนข้างหลัง รายนั้นกลืนกระดูกไก่ เข้าไปเหมือนกับคุณ ได้ผ่าตัดเป็นเพื่อนกัน"

คนเราคงทำบุญมาด้วยกันแน่ๆ เรามองน้องคนนั้นแล้วอมยิ้ม เป็นยิ้มแรกในรอบหลายชั่วโมง....อย่างน้อย ตรู ก็มีเพื่อนเดินเข้าห้องผ่าตัดละฟร่ะ

จากนั้น ก็ถูกส่งมาเปลี่ยนเสื้อผ้า และนอนรอห้องผ่าตัด ที่แผนกอุบัติเหตุ พยาบาลดูแลเราสองคนโอเคมาก ระหว่างคุณน้องกระดูกไก่่ กับคุณพี่กระดูกเป็ด ก็เลยได้สนทนากันสั้นๆ เพราะคุณน้องกระดูกไก่ไม่เคยผ่าตัด...เกิดภาวะกลัวอย่างแรง....แต่คุณพี่กระดูกเป็ดนะ นอนผ่าตัดมาไม่รู้เท่าไหร่ เลยชินๆ ได้แต่ปลอบ ให้กำลังใจกัน กระทั่ง สามทุ่มครึ่ง เลยได้ คิวไปผ่าตัด

มันเป็นอะไรที่ดีนะคะ...เพราะระหว่างตึกของศิริราช เวลากลางคืน เป็นอะไรที่คนไม่ค่อยได้เห็น แต่ตัวเองได้นอนมอง ให้น้องเขาช่วยเข็นเราย้ายไปขึ้นตึกผ่าตัด เห็นท้องฟ้าศิริราชตอนสามทุ่มครึ่ง และพระจันทร์สลัวๆ นอกนั้นก็มองอะไรไม่เห็น เพราะเวลาเข้าฟอร์มคนไข้ผ่าตัด..เขาสั่งถอดแว่นตาค่ะ ก็เลยได้แต่เห็นอะไรลางๆ คุณแม่กับคู่หูก็มาเดินเป็นเพื่อน เพราะนี่เรื่องใหญ่จริงๆ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาเข็นเราเข้าห้องผ่าตัดวางเรียงกับน้องกระดูกไก่ คุณหมอเดินมาบอกว่า น้องกระดูกไก่เขาชิ้นใหญ่กว่าเรา เลยจะเอาเข้าผ่าตัดก่อน หวังว่าเราจะรอได้...แน่นอน อิฉันนอนรอมาตั้งแต่ บ่ายสาม ยันสามทุ่ม ไม่ตายก็บุญแล้วค่ะ..รออีกติ๊ด ย่อมรอได้ อีกอย่าง น้องกระดูกไก่แกกลัวด้วย ขืนให้แกนอนรอหน้าห้องผ่าตัดแบบนี้ อาจจะช๊อคก่อนเข้าห้องผ่าก็เป็นได้

คุณหมอเข็นน้องกระดูกไก่เข้าห้องผ่าตัดไป แล้วเข็นเตียงเราไปรอด้านหน้าประตูห้องผ่าตัด ได้ยินเสียงทุกอย่างในห้องผ่าตัด อาการประมาณว่า แม่หมูรอเข้าคิวเชือดประมาณนั้น

....คุณหมอคงสงสารคนไข้ที่กำลังรอคิวเชือด.....เดินมาถามเราว่า โอเคไหม... เราก็ว่า โอเคมาก หากจะเปิดทีวีจากห้องข้างๆให้ได้ยิน.......5555 แหม ก็ห้องข้างๆติดกันกับห้องผ่า คุณพยาบาลกับเจ้าหน้าที่เวรดึก กำลังดู สุสานภูเตศวรอยู่นี่คะ....อิฉันมองเห็นไม่ถนัด ก็ขอฟังเสียงทีวีชัดๆ ยังไงก็ดีกว่าเสียงเครื่องมือในห้องผ่าตัดที่รอเข้าคิวอยู่เป็นไหนๆ

ไม่นานก็ได้ยินเสียงลอดออกมา คุณๆ ตื่นๆ มีท่อในคอนะ ไม่ต้องกลัว หายใจปกติแล้วหมอจะเอาท่อออกให้..... แหงะ....เดี๋ยวเราก็เจอปลุก ขณะที่มีท่ออยู่ในคอเหมือนกัน....เอาว่ะ....มาถึงนี่แล้ว ทำใจ

เห็นน้องกระดูกไก่ถูกเข็นออกมา เจ้าหน้าที่เดินเข้าไปทำความสะอาดห้องผ่าตัดเสร็จสรรพ ก็ออกมาเข็นเราเข้าไปต่อทันที

......คาถาสวดมนต์บทไหนก็งัดขึ้นมาท่องวุ่นไปหมด ละค่ะทีนี้ ท่อยาสลบถูกส่งเข้ามา หายใจนะคะ ลึกๆ มันจะหายใจได้ไง อึดอัดจะตายอยู่แล้ว
"อึดอัดค่ะ" เราก็ครางเบาๆ
คุณหมอบอกว่า "ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวยาออกฤทธิ์แล้ว"

หง่ะ....


คร่อก ...

เราตื่นขึ้นมา หลังจากที่ไม่รู้หลับไปนานเท่าไหร่ แต่คิดว่าหลับไมนานนัก คะเนจากเวลาที่น้องกระดูกไก่แกนอน ชั่วแค่สิบนาที.....พอลืมตามาก็ เหมือนในหนังเลย...มีแสงไฟบนหัว...อือม...ก็ประมาณนี้ละนะทุกครั้งที่เข้าผ่าตัด แต่...ไหงคอแทบไม่รู้สึกอะไร มันชาๆหนึบๆ...ไม่มีท่อ ไม่มีคุณหมอมานั่งอยู่ข้างๆบอกเราว่ามีท่อในคอ

กลายเป็นว่ามีพยาบาลผู้ชายถลาเข้ามาหาเราแทน
"ตื่นแล้วหรือ"
"ค่ะ...หนัก" เรารู้สึกว่าตัวเองหนักทั้งตัว เหมือนถูกห่อไว้้วยผ้าหนาหลายชั้น
"คนไข้สั่นไปทั้งตัวตอนวางยานะครับ คุณหมอเลยต้องให้ตื่นเอง..."
นี่ไง ต้นเหตุของความหนัก ตัวเราสั่นตอนที่เราสลบ...ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไร คุณหมอเลยเอาผ้าห่มคลุมเรา เป็นหมูดักแด้แบบนี้ เห็นกระดูกชิ้นที่ถูกเอาออกมา พยาบาลผู้ชายบอกเราว่า
"ทีแรกเขาว่ากระดูกไก่รายก่อนหน้าใหญ่กว่า ปรากฏว่าของคุณ กระดูกเป็ด ใหญ่ได้โล่จริงๆ มันฝังอยู่ในผนังหลอดอาหารเลยนะคุณ"

แกเอาให้ดู อันใหญ่และแบนเท่าหัวแม่มือเชียวค่ะ... ยังไม่รู้เลยว่า มันเข้าไปได้อย่างไร

เฮ้อ อย่างน้อย ก็มีวาสนาได้เห็นมันออกมาจากคอเราละ 5555

เตียงเราถูกเข็นออกมาจากห้องรอดูอาการหลังผ่าตัด เห็นคู่หูยืนโบกมืออย่ตรงกระจกด้านนอกไหวๆ ถึงแม้จะ รอดตายจริงๆ..... แต่เทวดารูุปหล่อก็ยังอยู่ให้กำลังใจเราเสมอ อิอิ

....เห็นคุณแม่เดินมาเกาะเตียงเราเลย น้ำตาเราซึมเชียวละ...สงสารท่าน อายุเยอะแล้วยังต้องมาเป็นห่วงเรา ตอนนี้คงร่วมสองยามแล้ว แต่ท่านก็ยังมาเฝ้าเราอยู่เลย...เรานี่แย่จริงๆ

อยากร้องไห้

"ลูก" ไม่ว่ามันจะแก่สักขนาดไหน...มันก็น่าเป็นห่วงเสมอ สำหรับคุณแม่


คืนนั้น รู้แต่ว่า พยาบาลมาใส่น้ำเกลือ วัดไข้เราทั้งคืน แต่เราไม่รู้สึกอะไรเลย นอกจากไม่ชอบยาแก้อักเสบที่เขาฉีดเข้าสายน้ำเกลือ มันทำให้เราเจ็บหลังมือ ตลอดเวลา

ตื่นมา....ก็มีน้องแวะมาเยี่ยมอาการ...เพราะเราบอกแค่ว่าไม่สบาย เขาเป็นห่วงเลยเดินมาดู....แต่พอรู้ว่า สาเหตุมาจากอะไร... แทนที่มันจะเห็นใจ มีแต่หัวเราะขำ ...
"พี่น่าจะภูมิใจนะ...ศิริราช เขาไม่ได้นอนกันง่ายๆหรอกนะพี่"
"เป็นหล่อน....อยากจะมานอนบ้างไหมละ"
"ไม่อ่ะ ดูก็รู้ ท่าทางพี่จะเจ็บนะเนี่ย"
"เออสิฟร่ะ"

งดน้ำ งดข้าว ไม่รู้กี่ชั่วโมง คอก็มีแต่เลือด....


มีประโยคเยี่ยมไข้ที่แสบๆคันก็มาจากพี่เรา ถึงจะมาเยี่ยมเราไม่ได้ เพราะท้องโย้แพ้อาหารที่ซะมีให้อยู่ 5555 ก็ตาม แต่วาจาก็ยังส่งมาตามสายเชือดเฉือน ซะพูดประโยคแรก

"ถ้าแกตายไป ฉันโกรธแกจริงๆ"
"ทำไมเล่า...จะมาโกรธทำไม ไม่มีคนแย่งกอดแม่อีกคนไม่ดีเหรอ"
"แต่ฉันไม่รู้ว่าจะพูดกับแขกที่มางานแกได้อย่างไร...ว่าแกตายเพราะ..กระดูกเป็ดติดคอ"

ฟังดิ...คนเจ็บจะแย่อยู่แล้ว

..อายก็อายนะ...แต่ทำไงได้


สองวันนั้นไม่ได้กินกาแฟเลย กินแต่น้ำเกลือ....ท้ายสุดปวดหัวมาก เลยอ้าปากขอคุณหมอกินกาแฟ ประมาณว่า ข้าวน้ำ ไม่กินก็ได้ ขอ ข้าวแฝ่ สักอึกก็พอ

คุณหมอยิ้มหวานให้หนึ่งเปรี้ยง แล้วบอกว่า
"คุณไม่ตายก็โชคดีแล้วนะ... เพราะถ้า กระดูกชิ้นนั้นมันติดหลอดลม คุณก็ตายไปแ้ล้ว .....โชคดีครั้งที่สองในชีวิตคนเรา...มันไม่มีหรอก"

หลอกด่าชิมิเคอะ คุณหมอ....แหงะ

ว่าแล้วก็ได้นอนมองฝ้าเพดานศิริราชไปอีกสองคืน กว่าจะได้ทานโจ๊กปั่น ....แล้วมาจนเป็นอาิทิตย์ตอนนี้ก็ยังกลืนอะไรไม่ค่อยได้ค่ะ.....

แต่พอครบสองวันที่นอนป่วย เป็นวันสุดท้ายของงานสัปดาห์พอดี เลยขอคุณหมอถอดน้ำเกลือ ไปที่งานสัปดาห์ เพราะไม่อย่างนั้คงเสียหายเยอะ
คุณหมอก็เลยปลดน้ำเกลือให้แต่เช้าเลย....

เหตุนอนโรงพยาบาลหนนี้ทำเอา แหยงเป็ดพะโล้ไปเชียวค่ะ
ตอนนี้เดินผ่านตลาด เห็นตัวเหลืองๆออกน้ำตาลยังขนลุก ไม่มีสาเหตุ ....55555


000000000000000000000

ขอขอบพระคุณตึกอุบัติเหตุของ โรงพยาบาลศิริราช ทั้งแพทย์เวร และพยาบาลเวร ที่ต้องทำงานหนัก เคยทราบมาว่า ค่าตอบแทนรายชั่วโมงน้อยกว่า โรงพยาบาลเอกชนมากมาย

แต่ แอบโมโหโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่เข้าไป...กลับไม่ทำอะไรให้เราเลยนอกจากนอนรอหมอ...และช่วย(ไล่ส่ง)มาที่ ศิริราช ให้ทำงานแทน

ขอบพระคุณคุณหมอ แพทย์เวร ที่ยังปฏิบัติหน้าที่ช่วยชีวิตคน และทุกๆคนช่วยดูแลคนไข้ผ่าตัดใน ยามดึกๆดื่นๆ จนถึง สองยามตีหนึ่ง ตีสองของทุกๆวัน

ขอขอบพระคุณที่บุคลากรทุกๆท่านที่ทำงานในโรงพยาบาลของรัฐค่ะ

บทเรียนครั้งนี้บอกเราว่า ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด

เพราะอร่อยคำเดียวจริงๆ เล่นเอาเราเกือบตาย



ขออนุญาต เซ็งเป็ดพะโล้ ไปสัก สามสี่อาทิตย์นะคะ
(หายเจ็บคอ แล้วเจอกัน....5555)
Create Date :10 เมษายน 2552 Last Update :12 เมษายน 2552 9:26:32 น. Counter : Pageviews. Comments :11