ช่วงนี้อ่านหนังสือตลอด อ่านหนักเหมือนกัน อ่านนู่นนี่ทั้งวันทั้งคืนเพื่อสร้างอะไรใหม่ แวะเข้าห้องกระทู้ เจอกระทู้หนึ่งถามเรื่อง "ความคิดสร้างสรรค์" จะถนอมไว้อย่างไร ไม่ให้เสื่อมสลายไปตามวันเวลา
มาคิดถึงตัวเอง ย้อนหลังกลับไปหลายสิบปี (ขอย้ำว่าหลายสิบปี) เคยมั่นใจในความคิดของตัวเองอย่างมาก มีความคิดมากมายหลากหลาย ในการอ่นหนังสือสักเล่ม แล้วรับรู้ถึงพันธะสัญญาที่ตัวเองเกิดมา ว่าต้องทำอะไรบางอย่างให้มากกว่าการมี "ลมหายใจ" คิดว่าความคิดของตัวเองแน่กว่าใคร คิดว่าตัวเองมีความ "เหนือ" กว่าความคิดของคนอื่น
เคยเดินไปกราบพระแล้วบอกว่า อยากทำงาน ตอนนั้นอายุเพิ่งสิบกว่าขวบ คิดว่าตัวเองทำงานได้แล้ว คิดว่าความรู้จากโรงเรียนไม่ได้ให้อะไรตัวเองเลย ระบบการเรียนการสอนห่วยเพราะสอนแต่สิ่งที่ไม่สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน สอนภาษาไทยก็อ่านหนังสือที่ไม่รู้อ่านไปทำไม อ่านเพื่อไปยืนท่องหน้าชั้น...อ่านเพื่อไปเต้นระบำประกอบเพลง ต้องทำกิจกรรมเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อ มีอะไรไปแสดงหน้าชั้นเล็กๆน้อยๆ ภาษาอังกฤษที่เรียนก็ไม่รู้ว่าสอนอะไร เพราะเปิดวิทยุฟังเพลงฝรั่งตอนนั้นฟังเท่าไหร่ก็ฟังไม่รู้เรื่อง ครูสอนแต่ตำราเรียนภาษาอักฤษ แต่เอาไปฟังเพลงฝรั่งไม่ได้ เราต้องไปเรียนจากข้างนอกมาฟังเพลงเอาเอง เรียนคณิตศาสตร์ เรียนไปเพื่ออะไร เรียนตัวเลข สมการ ถอดแสควร์รูต ที่มีต่สูตร ท่องสูตรอยู่นั้น แต่กลับต้องยืนควักกระดาษขึ้นมากลางร้านเพื่อคำนวณค่าซื้อของในตลาด หรือค่าลดราคาโปรโมชั่นซื้อน้ำมันพืชหนึ่งแถมสอง พร้อมกับสูตรตัวเลขเต็มหัว
.....ช่วงนั้นมองเห็นความรู้ในโรงเรียนเป็นเรื่องงี่เง่า ในการใช้ชีวิตประจำวันจริงๆนะ มันแปลกแยกกับการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างเห็นได้ชัด เอามาใช้ได้ยากเหลือเกิน (จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคิดอยู่
) แม้แต่ระบบการเรียนการสอน ที่ท้ายสุดก็ต้องสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย เลือกคณะที่ตัวเอง "สามารถ" สอบเข้าได้ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะสอบไปเพื่อ "ทำ"อะไร ในชีวิต เพื่อนเราทำทุกอย่าง เพื่อสอบเอนทรานซ์ติด มันลงคณะที่อยู่ต่างจังหวัด คณะที่คะแนนต่ำๆในช่วงนั้น มันเลือก คณะ ที่เกียวกับพละ ทั้งที่มันเป็นคนอ้วน เป็นโรคหัวใจ แต่มันก็ไปสอบวิ่งรอบสนาม สอบว่ายน้ำ สอบกีฬาอะไรที่เขาบังคับให้สอบ...เพื่อขอให้ตัวเองสอบติด ทั้งที่ตัวมันไม่เคยเล่นกีฬาอะไรเลยนอกจากแอบเล่นไพ่หลังห้อง
บางคนชอบภาษามาก แต่เอน ไม่ติด ไปติดการสื่อสาร เพราะคะแนนสอบไม่ถึง
บางคนชอบวิทยาศาสตร์มาก แต่เอนไม่ติด เลยไปเรียนราชภัฏ
ตอนนี้เพื่อนๆเราพวกนั้นเขาไปไหน คนที่สอบพละ ตอนนี้เป็นเถ้าแก่เนี้ยโรงงานคุมคนงานทำเฟอร์นิเจอร์ใหญ่ย่านหนองแขม
คนที่เอนติดการสื่อสาร ด้วยความที่มันชอบทางภาษามากๆ มันลาออกซิ่วเปลี่ยนคณะสอบ เรียนทางภาษาจนได้ จบออกมาก็กระวนกระวายหางาน จนได้ทำงานบริษัทใหญ่ๆ แต่ท้ายสุดฟองสบู่แตก ปัจจุบัน ออกจากงานมาเลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน
คนที่เอนไม่ติด ไปเรียนราชภัฏเรียนเป็นครูสอนเคมี บังเอิญสอบเข้าโรงงานปิโตรเคมีได้ เขาให้เรียนต่อวิทยาลัยปิโตรเคมี ตอนนี้ทำงานที่ญี่ปุ่น อย่าถามว่าเงินเดือนกี่แสน(ช้ำใจ)
ส่วนตัวเอง เอนไม่ติดเรียนรามฯไปเรื่อยๆ ก็เลือกวิชาที่ตัวเองพอจะเรียนได้ เรียนจบก็มีงานทำไปเรื่อยๆ แล้วหางานอื่นที่อยากทำเลี้ยงตัวเองไป
ถามว่าระบบการศึกษาทุกวันนี้ มันเพื่อชีวิตของคนในสังคมแบบไหน........ก็พูดยากเหมือนกัน
ถ้าเป็นหลายปีก่อน ตัวเองมองระบบการศึกษาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรนัก แต่มาเวลานี้ แม้จะไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ คงมีแต่สังเวชใจ กับผู้คนที่ยังต้องทุรนทุรายเวียนว่ายกับระบบการศึกษาที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ในปัจจุบัน การแลกเปลี่ยนเรื่องการศึกษา ใช้เงินทองมากขึ้น มีระบบที่มารองรับการศึกษาที่ซับซ้อนมากๆๆๆๆ ขึ้นทุกวัน
จนวุฒิการศึกษา ไม่ใช่เครื่องหมายของผู้รู้
แต่เป็นช่างเทคนิคในการเอาตัวรอด ในสังคมไปเสียชิบ
ตอนนั้นที่ยังเป็นเด็กแล้วเดินไปกราบพระเพื่อขอเลิกเรียนหนังสือ จะออกไปหางานทำนั้น ตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆ เพระคิดว่า ระบบการศึกษามันไม่ได้สอนอะไรตัวเอง คิดว่าตัวเองทำอะไรได้มากกว่านั้น (โคตรจะเชื่อมั่นตัวเองเลยนิ 555)
พระท่านบอกคำเดียว "ถ้าคิดว่าตัวเองทำอะไร มันทำได้ทั้งนั้น แต่ถ้ายังเป็นเด็ก ก็คิดเถิดว่าตัวเองทำอะไรได้ทุกอย่าง นอกจาก เป็น
"ผู้ใหญ่" "
ตอนนั้นตัวเองไม่รู้เหมือนกันว่า คำพูดของท่านหมายความว่าอย่างไร รู้แต่ว่าไม่ค่อยพอใจ หัวฟัดหัวเหวี่ยงกลับบ้านเพราะลาออกจากโรงเรียนไม่ได้ (เป็นงั้น) คิดว่าทุกคนรอบข้างไม่ต้องการให้ตัวเองทำอะไรตามใจ เพราะคนพวกนั้นเอาแต่คิด "ในระบบ" ตัวเองก็ดื้อจนเลิกดื้อ ท้ายสุดก็ทนเรียนต่อๆไป จนกระทั่งจบ
แต่ความคิดครั้งนั้นมันฝังใจ รู้ว่า มันไม่ใช่ แต่ต้องฝืนทำ
แต่ถามว่าหากเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้ที่ผ่านมา อยากกลับไปวันนั้นแล้วไม่ฟังคำพูดของพระท่าน หรือเปล่า... เลิกเรียน แล้วไปทงานไม่ฟังเสียงใครๆ
.....คำตอบของตัวเองก็คง จะ "ไม่" เช่นเดิม
เพราะคำพูดของท่าน ได้เตือนสติเรา ถึงแม้จะคิดแปลก คิดขบถ แต่ทุกอย่างมันต้องยืนหยัดบนฝั่งของความเป็นจริงในสังคม ไม่ใช่ปฏิเสธ ทุกอย่างไปเสียจนสุดโต่ง จนลืมความเป็นตัวของตัวเองที่อยู่ในครอบครัวและอยู่ในสังคมแห่งนี้
มาในวันนี้ ความคิดของ ตัวเองมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา ความคิดขบถ ร้อนแรงในวันก่อนแม้จะยังมีอยู่แต่รู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
ความร้อนรนลดน้อยลง ไม่คิดจะเผาผลาญตัวเองเพื่อทำลายกรอบประเพณีเดิมๆของสังคมอย่างที่เคยเป็น
นั่นเพราะรู้สึกว่าตัวเองมีความรับผิดชอบต่อคนรอบข้างมากขึ้น
การกระทำหนึ่งหยดบนธุลี มันสามารถหล่อหลวมเป็นสายธารอุทกใหญ่ใต้พื้นดินได้ในที่สุด
ความคิดไม่เคยหยุดนิ่ง วันเวลาไม่เคยหยุดยั้ง
ตัวเองก็ได้เฝ้ามองภาพรวมในความเป็นจริงมากขึ้น มองกรอบความเป็นไปของสังคมอย่างผู้คนที่มีเลือดมีเนื้อ และเคลื่อนไหว มากกว่าก้อนแท่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามจิตใจ
ความคิดของตัวเอง ไม่เคยหยุดที่สร้างสรรค์ความใหม่ แต่ทุกวันนี้รู้สึกว่าตัวเองได้ทำไปอย่างนุ่มนวล และมีความรับผิดชอบมากขึ้น ตามวันเวลาต่างหาก
ถึงแม้การศึกษาในระบบจะไม่ค่อยได้ช่วยให้ตัวเองได้เรียนองค์ความรู้ใหม่ๆเท่าไหร่อย่างที่มันควรจะทำ แต่ระบบการศึกษาก็ได้สอนให้ตัวเองรู้จักคิด รู้จักปฏิเสธ และรู้จักที่จะเคารพตัวเอง มากกว่าจะตามกระแสของสังคม ไปวันๆ
ที่สำคัญ ต้องไม่หยุดฝัน ของตน
ขบถผู้น่ารัก คนนี้ ก็คงใช้ชีวิตเพื่อหาหนทางที่ดีกว่าอย่างมีความรับผิดชอบ อีกต่อไป
"ชีวิตมันต้องเดินไปข้างหน้า
ด้วยความรู้สึกที่ว่าเหมือนคนถูกแส้เฆี่ยนโบยตี
ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่า จะเดินหน้า ....ไปหาอะไร"
เซียวจับอิดนึ้ง
มาฟังความคิดของขบถผู้น่ารัก (รึเปล่า)
เมื่อวานเพิ่งไปเป็นผู้ปกครองจำเป็นให้หลาน เดี่ยวนี้โรงเรียนสังกัดกทม ทำการเพิ่มค่าใช้จ่ายรายหัวให้เด็กประถม เพื่อช่วยเหลือให้ผู้ปกครองที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ได้หายใจไปอีกเฮือก ลดค่าใช้จ่ายสำหรับบุตรหลานไปได้บ้าง เป็นโอกาสของเด็กกทม แต่เด็กปริมณฑลต้องรอต่อไปค่ะ ไม่รู้เมื่อไหร่ เด้กในกทม กำลังจะถูกปลูกฝังให้เรียนภาษาเพิ่มขึ้นทั้งอังกฤษ จีน และคอมพิวเตอร์ แต่เด็กปริมณฑล หลายคนป.3 ยังอ่านหนังสือไทยไม่แตก ไม่โทษ ครู หรือ โรงเรียน แต่อยากให้พ่อ แม่ คิดมากๆก่อนที่จะมีลูกที่ตัวเองรับผิดชอบได้น้อยเต็มที
วันนี้มาบ่นนะค่ะ คงไม่ถือสา
โดย: แม่มดจิ๋ว IP: 124.121.160.148 2 พฤษภาคม 2550 11:31:46 น.
ขอโทษจริงๆ เพราะต้องการโพสรูปครับ
โดย: Yoawarat 2 พฤษภาคม 2550 12:20:24 น.
โดย: noo-uan IP: 58.9.140.57 2 พฤษภาคม 2550 17:12:37 น.
โดย: Kitsunegari IP: 124.120.164.57 2 พฤษภาคม 2550 17:13:25 น.
ลี่ก็เจอเพื่อนที่เลือกคณะที่คะแนนถึง เพราะสิ่งที่ชอบนั้นคะแนนมันไม่ถึง หรือที่ชอบนั้นพ่อแม่ไม่ให้เรียน หรือบางคนขอแค่ว่าคณะอะไรก็ได้ แต่ขอเป็นมหาลัยนี้เท่านั้นก็พอ
โดย: lily (lovekalo ) 2 พฤษภาคม 2550 17:59:10 น.
ไม่ถือว่าบ่นค่ะ เพราะ จขบ. มาแอบบ่นในนี้เช่นกัน จริงแล้ว ตัวเองเป็นคน ขบถน่าเอ็นดู มากกว่าค่ะ
เรื่องเด็ก ในกทม. นั้นเห็นมาแล้วค่ะ ว่าคุณภาพของเด็กที่เรียนในโรงเรียนหลายคนไม่สามารถอ่านหนังสือภาษาไทยได้ดีเท่าไหร่ พุดไป เขาก็ลงเอยที่ครอบครัวอยู่ดีค่ะ ว่าครอบครัวไม่ทบทวนการบ้านให้เด็ก ไม่ดูแลเด็กหลังจากกลับโรงเรียน นะคะ ถ้าพ่อแม่เขามีปัญญา ก็คงไม่ออกไปทำงานโรงงาน ห้างร้าน หรือรับจ้าง จนกลับบ้านค่ำๆมืดๆ โดยต้องส่งลูกไปเรียนได้แค่โรงเรียนในสังกัดราชการ กลับมาอยู่บ้านตอนเย็นร่อนเร่ตามลำพังแบบนั้น (ตัวเองยังเชื่อว่าเด็ก ในเขต กทม. ส่วนหนึ่ง มีลักษณะ ร่อนเร่ แอบแฝงค่ะ คือมีพ่อแม่ มีครอบครัว แต่พ่อแม่ที่ทำงานจนไม่สามารถกลับมาดูแลเด็กหลังจากเลิกเรียนได้ เด็กต้องอยู่คนเดียวหลังเลิกเรียน ช่วงระยะเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่ไม่มี ครูบาอาจารย์ดูแลเด็ก หรือเด็กต้องอยู่คนเดียว อาจเดินเที่ยวตามห้างร้าน หรือไปกับเพื่อน....ครั้งละสองสามชั่วโมงต่อวัน เพื่อฆ่าเวลารอจนกว่าพ่อแม่จะกลับบ้าน ช่วงสองสามทุ่ม .......ลักษณะแบบนี้เหมือนกับการร่อนเร่แอบแฝงนะค่ะ) คิดว่าคงมีพ่อแม่ส่วนหนึ่งที่อยากออกจากงานมาสักคนเพื่อสอนการบ้านลูกเขาได้เอง ให้ดีกว่านี้อยู่แล้วค่ะ แต่ใครจะกล้าทำเช่นนั้น เพราะค่าใช้จ่ายในสังคมเมืองในเวลานี้มันสูงมาก สูงจนน่ากลัวจริงๆ
....เห็นไหม บ่นกับคุณแม่มดทีไร บ่นยาวๆทุกที 5555
คุณYoawarat
ไม่เป็นไรค่ะ ซ่อมได้
คุณnoo-uan
แล้ว.... คนจบเอก..... เข้ามาอ่านบล๊อคนี้ได้ไง ฟร่ะ
คุณKitsunegari
มาทำเป็นงง ทีอ่าน Lotr ยากกว่านี้ตั้งเยอะ ยังอ่านได้
คุณ lily (lovekalo)
พี่ก็รักน้องลี่เช่นกันค่า ที่เข้ามาอ่าน เรื่องนี้เป็นเรื่องความพอใจ และการยอมรับได้ของแต่ละคนค่ะ พี่หวังว่าเพื่อนๆทุกคนของลี่จะประสบความสำเร็จกับทางชีวิตที่เลือกไว้ค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
โดย: โตมิโต กูโชว์ดะ 2 พฤษภาคม 2550 19:07:58 น.
แต่ไม่กล้าพอ ขอแอบดื้อเงียบละกันคับ
อิๆๆๆทำประจำเลย ดื้อเงียบ
โดย: wanwitcha 3 พฤษภาคม 2550 16:29:42 น.
เล่าให้ฟังบ่อยๆ นะครับ ผมชอบ
โดย: NickyNick 5 พฤษภาคม 2550 15:31:06 น.
อยากกล้าที่จะขบถจัง ........ เพราะอยู่ในกรอบตลอดไม่ได้อึดอัดจนหายใจไม่ออกเพราะกรอบมันไม่ได้แคบมาก แต่บางครั้งก็อยากอิสระ ทำให้สิ่งทีอ่ยากทำบ้าง จะขบถก็ไม่กล้าพอ......ตอนนี้ก็เลยอยู่มันไปเรื่อยๆ เดินต่อไป...
โดย: GuZZy IP: 125.27.175.20 6 พฤษภาคม 2550 0:20:56 น.