bloggang.com mainmenu search
ช่วงนี้อ่านหนังสือตลอด อ่านหนักเหมือนกัน อ่านนู่นนี่ทั้งวันทั้งคืนเพื่อสร้างอะไรใหม่ แวะเข้าห้องกระทู้ เจอกระทู้หนึ่งถามเรื่อง "ความคิดสร้างสรรค์" จะถนอมไว้อย่างไร ไม่ให้เสื่อมสลายไปตามวันเวลา

มาคิดถึงตัวเอง ย้อนหลังกลับไปหลายสิบปี (ขอย้ำว่าหลายสิบปี) เคยมั่นใจในความคิดของตัวเองอย่างมาก มีความคิดมากมายหลากหลาย ในการอ่นหนังสือสักเล่ม แล้วรับรู้ถึงพันธะสัญญาที่ตัวเองเกิดมา ว่าต้องทำอะไรบางอย่างให้มากกว่าการมี "ลมหายใจ" คิดว่าความคิดของตัวเองแน่กว่าใคร คิดว่าตัวเองมีความ "เหนือ" กว่าความคิดของคนอื่น

เคยเดินไปกราบพระแล้วบอกว่า อยากทำงาน ตอนนั้นอายุเพิ่งสิบกว่าขวบ คิดว่าตัวเองทำงานได้แล้ว คิดว่าความรู้จากโรงเรียนไม่ได้ให้อะไรตัวเองเลย ระบบการเรียนการสอนห่วยเพราะสอนแต่สิ่งที่ไม่สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน สอนภาษาไทยก็อ่านหนังสือที่ไม่รู้อ่านไปทำไม อ่านเพื่อไปยืนท่องหน้าชั้น...อ่านเพื่อไปเต้นระบำประกอบเพลง ต้องทำกิจกรรมเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อ มีอะไรไปแสดงหน้าชั้นเล็กๆน้อยๆ ภาษาอังกฤษที่เรียนก็ไม่รู้ว่าสอนอะไร เพราะเปิดวิทยุฟังเพลงฝรั่งตอนนั้นฟังเท่าไหร่ก็ฟังไม่รู้เรื่อง ครูสอนแต่ตำราเรียนภาษาอักฤษ แต่เอาไปฟังเพลงฝรั่งไม่ได้ เราต้องไปเรียนจากข้างนอกมาฟังเพลงเอาเอง เรียนคณิตศาสตร์ เรียนไปเพื่ออะไร เรียนตัวเลข สมการ ถอดแสควร์รูต ที่มีต่สูตร ท่องสูตรอยู่นั้น แต่กลับต้องยืนควักกระดาษขึ้นมากลางร้านเพื่อคำนวณค่าซื้อของในตลาด หรือค่าลดราคาโปรโมชั่นซื้อน้ำมันพืชหนึ่งแถมสอง พร้อมกับสูตรตัวเลขเต็มหัว

.....ช่วงนั้นมองเห็นความรู้ในโรงเรียนเป็นเรื่องงี่เง่า ในการใช้ชีวิตประจำวันจริงๆนะ มันแปลกแยกกับการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างเห็นได้ชัด เอามาใช้ได้ยากเหลือเกิน (จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคิดอยู่ ) แม้แต่ระบบการเรียนการสอน ที่ท้ายสุดก็ต้องสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย เลือกคณะที่ตัวเอง "สามารถ" สอบเข้าได้ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะสอบไปเพื่อ "ทำ"อะไร ในชีวิต เพื่อนเราทำทุกอย่าง เพื่อสอบเอนทรานซ์ติด มันลงคณะที่อยู่ต่างจังหวัด คณะที่คะแนนต่ำๆในช่วงนั้น มันเลือก คณะ ที่เกียวกับพละ ทั้งที่มันเป็นคนอ้วน เป็นโรคหัวใจ แต่มันก็ไปสอบวิ่งรอบสนาม สอบว่ายน้ำ สอบกีฬาอะไรที่เขาบังคับให้สอบ...เพื่อขอให้ตัวเองสอบติด ทั้งที่ตัวมันไม่เคยเล่นกีฬาอะไรเลยนอกจากแอบเล่นไพ่หลังห้อง

บางคนชอบภาษามาก แต่เอน ไม่ติด ไปติดการสื่อสาร เพราะคะแนนสอบไม่ถึง

บางคนชอบวิทยาศาสตร์มาก แต่เอนไม่ติด เลยไปเรียนราชภัฏ

ตอนนี้เพื่อนๆเราพวกนั้นเขาไปไหน คนที่สอบพละ ตอนนี้เป็นเถ้าแก่เนี้ยโรงงานคุมคนงานทำเฟอร์นิเจอร์ใหญ่ย่านหนองแขม

คนที่เอนติดการสื่อสาร ด้วยความที่มันชอบทางภาษามากๆ มันลาออกซิ่วเปลี่ยนคณะสอบ เรียนทางภาษาจนได้ จบออกมาก็กระวนกระวายหางาน จนได้ทำงานบริษัทใหญ่ๆ แต่ท้ายสุดฟองสบู่แตก ปัจจุบัน ออกจากงานมาเลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน


คนที่เอนไม่ติด ไปเรียนราชภัฏเรียนเป็นครูสอนเคมี บังเอิญสอบเข้าโรงงานปิโตรเคมีได้ เขาให้เรียนต่อวิทยาลัยปิโตรเคมี ตอนนี้ทำงานที่ญี่ปุ่น อย่าถามว่าเงินเดือนกี่แสน(ช้ำใจ)

ส่วนตัวเอง เอนไม่ติดเรียนรามฯไปเรื่อยๆ ก็เลือกวิชาที่ตัวเองพอจะเรียนได้ เรียนจบก็มีงานทำไปเรื่อยๆ แล้วหางานอื่นที่อยากทำเลี้ยงตัวเองไป

ถามว่าระบบการศึกษาทุกวันนี้ มันเพื่อชีวิตของคนในสังคมแบบไหน........ก็พูดยากเหมือนกัน

ถ้าเป็นหลายปีก่อน ตัวเองมองระบบการศึกษาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรนัก แต่มาเวลานี้ แม้จะไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ คงมีแต่สังเวชใจ กับผู้คนที่ยังต้องทุรนทุรายเวียนว่ายกับระบบการศึกษาที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ในปัจจุบัน การแลกเปลี่ยนเรื่องการศึกษา ใช้เงินทองมากขึ้น มีระบบที่มารองรับการศึกษาที่ซับซ้อนมากๆๆๆๆ ขึ้นทุกวัน

จนวุฒิการศึกษา ไม่ใช่เครื่องหมายของผู้รู้

แต่เป็นช่างเทคนิคในการเอาตัวรอด ในสังคมไปเสียชิบ


ตอนนั้นที่ยังเป็นเด็กแล้วเดินไปกราบพระเพื่อขอเลิกเรียนหนังสือ จะออกไปหางานทำนั้น ตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆ เพระคิดว่า ระบบการศึกษามันไม่ได้สอนอะไรตัวเอง คิดว่าตัวเองทำอะไรได้มากกว่านั้น (โคตรจะเชื่อมั่นตัวเองเลยนิ 555)

พระท่านบอกคำเดียว "ถ้าคิดว่าตัวเองทำอะไร มันทำได้ทั้งนั้น แต่ถ้ายังเป็นเด็ก ก็คิดเถิดว่าตัวเองทำอะไรได้ทุกอย่าง นอกจาก เป็น"ผู้ใหญ่" "

ตอนนั้นตัวเองไม่รู้เหมือนกันว่า คำพูดของท่านหมายความว่าอย่างไร รู้แต่ว่าไม่ค่อยพอใจ หัวฟัดหัวเหวี่ยงกลับบ้านเพราะลาออกจากโรงเรียนไม่ได้ (เป็นงั้น) คิดว่าทุกคนรอบข้างไม่ต้องการให้ตัวเองทำอะไรตามใจ เพราะคนพวกนั้นเอาแต่คิด "ในระบบ" ตัวเองก็ดื้อจนเลิกดื้อ ท้ายสุดก็ทนเรียนต่อๆไป จนกระทั่งจบ

แต่ความคิดครั้งนั้นมันฝังใจ รู้ว่า มันไม่ใช่ แต่ต้องฝืนทำ

แต่ถามว่าหากเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้ที่ผ่านมา อยากกลับไปวันนั้นแล้วไม่ฟังคำพูดของพระท่าน หรือเปล่า... เลิกเรียน แล้วไปทงานไม่ฟังเสียงใครๆ

.....คำตอบของตัวเองก็คง จะ "ไม่" เช่นเดิม

เพราะคำพูดของท่าน ได้เตือนสติเรา ถึงแม้จะคิดแปลก คิดขบถ แต่ทุกอย่างมันต้องยืนหยัดบนฝั่งของความเป็นจริงในสังคม ไม่ใช่ปฏิเสธ ทุกอย่างไปเสียจนสุดโต่ง จนลืมความเป็นตัวของตัวเองที่อยู่ในครอบครัวและอยู่ในสังคมแห่งนี้

มาในวันนี้ ความคิดของ ตัวเองมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา ความคิดขบถ ร้อนแรงในวันก่อนแม้จะยังมีอยู่แต่รู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

ความร้อนรนลดน้อยลง ไม่คิดจะเผาผลาญตัวเองเพื่อทำลายกรอบประเพณีเดิมๆของสังคมอย่างที่เคยเป็น

นั่นเพราะรู้สึกว่าตัวเองมีความรับผิดชอบต่อคนรอบข้างมากขึ้น

การกระทำหนึ่งหยดบนธุลี มันสามารถหล่อหลวมเป็นสายธารอุทกใหญ่ใต้พื้นดินได้ในที่สุด

ความคิดไม่เคยหยุดนิ่ง วันเวลาไม่เคยหยุดยั้ง

ตัวเองก็ได้เฝ้ามองภาพรวมในความเป็นจริงมากขึ้น มองกรอบความเป็นไปของสังคมอย่างผู้คนที่มีเลือดมีเนื้อ และเคลื่อนไหว มากกว่าก้อนแท่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามจิตใจ

ความคิดของตัวเอง ไม่เคยหยุดที่สร้างสรรค์ความใหม่ แต่ทุกวันนี้รู้สึกว่าตัวเองได้ทำไปอย่างนุ่มนวล และมีความรับผิดชอบมากขึ้น ตามวันเวลาต่างหาก

ถึงแม้การศึกษาในระบบจะไม่ค่อยได้ช่วยให้ตัวเองได้เรียนองค์ความรู้ใหม่ๆเท่าไหร่อย่างที่มันควรจะทำ แต่ระบบการศึกษาก็ได้สอนให้ตัวเองรู้จักคิด รู้จักปฏิเสธ และรู้จักที่จะเคารพตัวเอง มากกว่าจะตามกระแสของสังคม ไปวันๆ

ที่สำคัญ ต้องไม่หยุดฝัน ของตน

ขบถผู้น่ารัก คนนี้ ก็คงใช้ชีวิตเพื่อหาหนทางที่ดีกว่าอย่างมีความรับผิดชอบ อีกต่อไป


"ชีวิตมันต้องเดินไปข้างหน้า
ด้วยความรู้สึกที่ว่าเหมือนคนถูกแส้เฆี่ยนโบยตี
ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่า จะเดินหน้า ....ไปหาอะไร"
เซียวจับอิดนึ้ง

Create Date :02 พฤษภาคม 2550 Last Update :2 พฤษภาคม 2550 11:30:03 น. Counter : Pageviews. Comments :9