bloggang.com mainmenu search

จำได้ว่าเคยบ่นเรื่องอ่านหนังสือข้าวเกรียบไปแล้วในบล๊อคเก่าๆ....มาถึงคราวนี้หลังจากทำงานทะเลทรายเสร็จ งานที่ไม่คิดว่าจะยาก ก็ทำให้มันยากเข้าไส้จนต้องเข้า รพ. เปื่อย ......หะเหน็ด..หะเหนื่อย.......(จะบ่นทำไม๊ )

ตอนนี้มีเวลาว่างมากขึ้นค่ะ ระหว่างนอนพักฟื้น เลยต้องรีบทำการบ้าน เพื่อขึ้นเรื่องใหม่

เพราะอะไรนะหรือคะ.....เพราะรู้ตัวเองมีข้อจำกัดเรื่อง"คำ" ที่จะนำมาใช้นะสิคะ ตอนนี้เริ่มจำกัดมากขึ้นเมื่อลงมือเขียนหนังสือไปมากๆ คำหมื่นๆคำที่มีอยู่ในหัวมันไม่เพียงพอกับความต้องการของตัวเองค่ะ คำที่นำมาใช้ในหนังสือ มันวนไปมา สำนวนมันติดยึดอยู่กับที่ ไม่ดิ้น...แพรวพราว อย่างที่ตัวเองอยากให้เป็น เรื่องหน้าอยากทำให้ดีขึ้นไปค่ะ แต่การทำงานเขียนพอทำมากเรื่องเข้ามันต้องขยายฐาน "คำ" ให้มากขึ้นเพื่อพอกับเรื่องราวที่เราจะเล่าและอรรถรสที่คนอ่านจะได้รับรู้ ดังนั้น ก็ต้องหาสำนวนและ คำ มาเพิ่มในสมอง
แต่ครั้นจะไปหยิบหนังสือการ์ตูนที่มีในตู้มาอ่าน........ต้องเจอด่าไล่หลังแหงๆ

ก็เลยเลือกหนังสือเรื่อง "เที่ยวเมืองพะม่า" พระนิพนธ์ของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ มาอ่านเป็นการบ้านค่ะ



เที่ยวเมืองพม่า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์เมื่อครั้งได้เสด็จจากเมืองปีนังไปยังเมืองพม่า เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๘ แล้วแต่งถวายเป็นตอนๆแด่ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์

ตามประเพณีพะม่า มิได้เรียกบ้านเมืองของตนว่า"ประเทศพะม่า" ใช้นามประเทศว่า "กรุงอังวะ" พระนามพระเจ้าแผ่นดินพะม่าก็เรียกแต่ว่า "พระเจ้าอังวะ"มาแต่โบราณ ดูประหลาดที่เหมือนกับประเพณีไทยเราเรียกนามประเทศว่า "กรุงศรีอยุธยา" และใช้พระนามพระจ้าแผ่นดินว่า "พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา" มาแต่โบราณอย่างเดียวกันจนถึงรัชกาลที่ ๔ ไทยจึงได้เปลี่ยนเรียกว่า "ประเทศสยาม"และใช้พระนามพระเจ้าแผ่นดินฉะเพาะพระองค์...

รายละเอียดเพิ่มเติม พิมพ์ครั้งแรก : ๒๔๘๙

ที่พิมพ์ครั้งแรกใช้ชื่อว่า "เที่ยวเมืองพะม่า" แต่พิมพ์ครั้งใหม่ สนพ. มติชนแก้เป็น "เที่ยวเมืองพม่า" ก็ต่างกันไป แต่ตัวเองชอบแบบเดิมมากกว่า โดยเฉพาะปกพิมพ์ครั้งแรก มีตราประทับของสมเด็จพระยาดำรงฯด้วย ดูขลังที่สุด

หนังสือเก่าๆของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ นอกจากอ่านจะได้ความรู้แล้ว ยังได้เรื่องของภาษาอย่างมากค่ะ

ช่วงนี้มีเวลาเถิดเทิง เพราะอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูล แต่คงจะไม่ใช้ให้นานนัก ตัวเองโดนเขม่นหลายทางเต็มที ว่ามัวแต่เอาสนุกกับอ่านหนังสือ ค้นข้อมูล........แต่ไม่ยอมลงมือเขียน....555555

คราวนี้ตั้งอกตั้งใจทำมากๆๆค่ะ ยังไม่รู้จะเป็นอย่างไรเหมือนกัน แล้วเดี๋ยวก็จะลงมือค่ะ ขอเวลาไหว้ครู อ่าน เก็บ ข้อมูลสักระยะหนึ่งก่อน

วันก่อนได้ไปคุยกับเพื่อนนักอ่านกลุ่มหนึ่ง ที่เขาไม่ชอบอ่านนิยายไทย เขาบอกว่า เขาอ่านนิยายไทยแล้วไม่ได้อะไรใหม่ๆ คนอ่านก็เอาแต่เรียกร้องให้เขียนเรื่องรักๆใคร่ๆแบบนั้น อือม์...แรกๆที่ฟัง มันจี๊ดๆ เหมือนกันค่ะ แต่มองโดยภาพรวมก็เออเน๊อะ คงเป็นอย่างนั้นที่เขาว่า แต่เราต้องอธิบายให้ฟังว่า จริงๆแล้ว ไม่ใช่นักอ่านนิยายไทยที่ต้องการแบบนั้นอย่างเดียว เขาเองก็มีความต้องการอ่านงานที่หลากหลายด้วยเช่นกัน การมองปัญหาเรื่องคุณภาพงานเขียนนิยายบ้านเราต้องมององค์ประกอบหลายอย่าง

หนังสือของต่างประเทศเวลาเขาจัดพิมพ์กันประเภท Best Seller คือหลัก ล้านเล่ม ไม่ใช่ หมื่นเล่มอย่างตลาดหนังสือเมืองไทย

ขนาดหนังสือที่ได้รางวัลซีไรต์ ที่มีปัจจัยเรื่องราคาที่ถูกมาเป็นตัวช่วย ขายได้(โคตรอีจะ..) ถล่มทลาย ยังจำหน่ายได้แค่ หลักแสน ยังไม่เคยถึงล้านเล่ม เพราะอะไรนะหรือคะ เพราะจำนวนคนอ่านภาษาไทย ไม่ได้มากเหมือนภาษาอังกฤษนี่คะ ดังนั้น ค่าตอบแทนของนักเขียนชาวไทย ทุกวันนี้มันจึงอยู่ในปริมาณที่ 'พอเพียง' ไม่ใช่ 'ล่ำซำ'

อยากรวย ไปเล่นหุ้น..ดีกว่าค่ะ (ต๊าย.....อิฉันพูดอะไรออกไป)


นอกจากนั้น หากนักเขียนต่างประเทศ จะมีการทุ่มเทในการเขียนงานแต่ละชิ้น ทั้งค้นคว้าข้อมูลชนิดเอาเป็นเอาตาย หรือชนิด ตายไม่ว่าขอให้ข้าได้ข้อมูลมาเขียนนิยายแบบ นิยายฝรั่งอย่างนั้น หรือ ยังไงก็ยอมเขียนแม้จะถูกฟ้องร้องไล่หลัง แบบ นักเขียนต่างประเทศเขาทำกัน เขาก็ย่อมกล้าเสี่ยงที่จะกระทำ เพราะผลตอบแทนของเขาสูงกว่านักเขียนเมืองไทยไม่ทราบว่ามากมายเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

ตัวเองก็ไม่เชื่อว่า คนอ่านบ้านเรา ต้องการอ่านงานที่มีแต่เรื่องรักหวานๆอย่างเดียว คนอ่านนิยายบ้านเรามีความรู้มากขึ้นทุกวัน เขาย่อมต้องเสพงานที่รองรับกับความรู้ของเขา เขาอ่านงานต่งประเทศมามาก เขาก็ย่อมมองหางานของไทยที่ใกล้เคียงกัน ถึงแม้ตัวเองไม่ได้ว่าทำได้ดีขนาดนั้นก็จริง แต่ก็ถือว่าทุกวันนี้ที่ทำงานเขียน....ก็ทำเพราะต้องการจะให้มันเป็นงานที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับของต่างชาติให้ได้ค่ะ แต่จะเขียนแบบลอกๆ หนังสือไกด์ท่องเที่ยวมาใส่อย่างเดียวก็คงไม่ไหว ต้องมีเปรียบเทียบวิเคราะห์และค้นคว้าเชิงลึก เบื้องหลังอย่างละเอียด เพราะคนอ่านของเราส่วนหนึ่ง ก็คือคนที่อยู่กับข้อมูลพวกนั้น และหลายๆท่านก็อาจจะรู้จริงรู้ลึกกว่าเรา เราทำออกไปก็ต้องพร้อมที่จะยอมรับการถกเถียงทางวิชาการ หากมีการโต้แย้งกันเกิดขึ้นภายหลัง

บางคนก็บอกว่า เขียนเรื่องเบาๆง่ายๆบ้างก็ได้ (จะได้ขายทำละครบ้าง 5555) ก็ตอบไม่ถูกค่ะ....

สงสัยกลัว รวย!!



เหมือนเขียนบล๊อค ระทมยังไง ไม่รู้สิ.......เฮ้อ

นึกๆแล้ววันนี้ขอเปลี่ยนชื่อเป็น The Blue Oyster สักวันเถอะค่ะ
Create Date :14 เมษายน 2550 Last Update :15 เมษายน 2550 7:42:42 น. Counter : Pageviews. Comments :13