bloggang.com mainmenu search
ใครๆ ก็ชวนไปไหว้พระ ๙ วัด ช่วงปีใหม่ เจ้าปาเองก็อยากไป แต่บังเอิญว่าไม่ค่อยมีเวลาค่ะ แต่เรื่องทำบุญก็อยากทำ ที่สำคัญคืออยากทัวร์อยู่วัดในกทม.อยู่แล้ว ก็เลยค้นข้อมูล ไหว้พระ ๙ วัด ในกทม. ปรากฏว่าได้มาหลายแผนภูมิ เจ้าป้าก็เลยตัดสินใจเลือกแผนการไหว้ของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ตามนี้ค่ะ


ก้าวไปในบุญ :เสริมมงคลไหว้พระ ๙ วัด

ก.พ. ๔๘

ปัจจุบันการไปไหว้พระขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใน ๙ วัดที่มีชื่อเสียงของกรุงเทพมหานครกำลังเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวาง เพราะนอกจากความเชื่อที่ว่าจะทำให้ชีวิตดีขึ้น และมีสิริมงคลตามชื่อของสถานที่แล้ว ยังเป็นการสร้างเสริมกำลังใจที่ดีด้วย อย่างไรก็ตาม การที่คนเราจะประสบความสำเร็จ พบความก้าวหน้าในชีวิตได้นั้น จำเป็นจะต้องมีการปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราคาดหวังหรือปรารถนาด้วย ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอเสนอแนวทางปฏิบัติ “ก้าวไปในบุญ” เสริมกุศลที่ท่านทำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นตามคติความเชื่อของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่ง ดังนี้

วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เป็นวัดเดียวในประเทศไทยที่พระประธานเป็นพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ ผู้ไปไหว้มีคติความเชื่อว่า “เดินทางปลอดภัยดี มีมิตรไมตรี” ซึ่งหลักธรรมที่จะทำให้ปลอดภัยทั้งการเดินทางและการดำรงชีวิตได้ คือ การไม่ประมาท มีสติ คือ ให้รู้ตัวอยู่เสมอ เช่น ขณะที่ดื่มของมึนเมา ง่วงนอน หรือพูดโทรศัพท์มือถือก็ไม่ควรขับรถ เป็นต้น ส่วนการสร้างไมตรีให้เกิดขึ้น สามารถทำได้หลายอย่าง เช่น การให้ทาน ให้อภัย ให้สิ่งของ ให้ความเอาใจใส่ต่อผู้อื่น เป็นต้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า“ ผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย” และ”ผู้ให้ ย่อมผูกไมตรีไว้ได้"


วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร
รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯให้เป็นวัดพระสงฆ์ฝ่ายรามัญ เพื่อให้เกียรติแก่ทหารมอญในกองทัพของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ซึ่งมีชัยชนะต่อข้าศึกถึง ๓ ครั้ง ผู้ที่ไปวัดนี้ เพราะเชื่อในคติที่ว่า “มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง” ซึ่งธรรมที่จะช่วยให้คนชนะอุปสรรคได้ทุกอย่างคือ ความเพียรพยายาม และความอดทน ที่จะทำให้เรามีความมุ่งมั่น เจอปัญหาก็ไม่ย่อท้อ หรือยอมแพ้ แต่จะต่อสู้ แก้ไข อดทนต่อความยากลำบากจนประสบความสำเร็จในที่สุด พระพุทธองค์กล่าวว่า “ คนจะพ้นทุกข์ได้เพราะความเพียร”

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือ วัดโพธิ์ เป็นวัดที่มีเจดีย์ถึง ๙๙ องค์ ถือว่ามากที่สุดในประเทศไทย มีคติตามความเชื่อว่า “ร่มเย็นเป็นสุข” คนจะอยู่เย็นเป็นสุขได้ ต้องเป็นคนมีศีลมีธรรม อย่างน้อยที่สุดก็ควรมี เบญจศีล หรือ ศีลห้า กำกับการดำเนินชีวิต เพราะจะทำให้เราไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่นทั้งกาย วาจา และใจ อันจะมีผลให้เราไม่มีศัตรูที่จะมาทำร้ายหรือทำให้เราเดือดร้อนภายหลัง พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้ว่า “ธรรม ย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม”

วัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้ว เป็นที่ประดิษฐานของ”พระแก้วมรกต” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย มีคติสำหรับผู้มาไหว้ว่า“แก้วแหวน เงินทอง ไหลมา เทมา” อันหมายถึงให้มีความร่ำรวยนั่นเอง ซึ่งผู้ที่จะมีเงินทองได้จะต้องเป็นผู้รู้จักหาเงิน และใช้เงินเป็น เป็นคนทำมาหากินในทางที่ชอบหรือสัมมาอาชีวะที่จะไม่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ตนในอนาคต และต้องเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร ฝึกฝนให้มีความชำนิชำนาญและรู้จริงในวิชาชีพ อีกทั้งต้องรู้จักเก็บรักษาทรัพย์ที่ได้มาด้วย พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “ทรัพย์สินย่อมพอกพูนขึ้นได้ เหมือนดังก่อจอมปลวก”

วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)ซึ่งเป็นพระเถระผู้ทรงเกียรติคุณและวิทยาคุณที่โด่งดังมาก มีคติในการไหว้พระที่นี่ว่า “มีคนนิยมชมชื่น” ซึ่งบุคคลที่จะทำให้ผู้อื่นนิยมชมชื่นได้ ควรจะมีหลักที่เรียกว่าสังคหวัตถุ ๔ ได้ คือ ทาน ได้แก่ การให้ปัน เอื้อเฟื้อด้วยปัจจัยสี่ ปิยวาจา คือการพูดจาดี สุภาพ ไพเราะน่าฟังต่อกัน อัตถจริยา คือ ทำประโยชน์แก่เขา บำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่น สมานัตตตา คือ ทำตนเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เอาเปรียบผู้อื่น เช่นนี้ไปที่ใดย่อมทำให้คนรักใคร่ และประทับใจอยู่เสมอ ดังที่พระพุทธองค์กล่าวว่า “กลิ่นของคนดีย่อมหอมทวนลมไปได้”

วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๘และมี”พระศรีศากยมุนี”เป็นพระประธานที่พระวิหาร มีคติว่า “ไหว้พระวัดสุทัศน์ฯ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่บุคคลทั่วไป” การที่คนเราจะมีวิสัยทัศน์กว้างไกลได้ จะต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์มาก เรียนรู้มาก และรู้จักนำมาใช้ ซึ่งเราสามารถนำหลักในการศึกษาเล่าเรียนมาใช้ได้นั่นคือ สุ จิ ปุ ลิ หรือ หัวใจนักปราชญ์ อันมาจาก สุต คือ ฟังมาก ในที่นี้เรารวมถึงการอ่านด้วย จินตนะ คือ การคิด รู้จักคิดใคร่ครวญหาเหตุผลในเรื่องต่างๆ ปุจฉา การถามไถ่ให้เข้าใจให้ถ่องแท้ และ ลิขิต คือสามารถเขียน สื่อสารสิ่งที่เราศึกษาหรือเรียนรู้ออกมาได้ หัวใจนักปราชญ์นี้จะทำให้เราเป็นผู้ที่ไม่ล้าหลัง เพราะคนที่ฟังมาก อ่านมาก ย่อมจะได้เปรียบผู้อื่น ยิ่งปัจจุบันเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร ยิ่งศึกษาหาความรู้มากเท่ใด ก็ย่อมจะเป็นพื้นฐานแห่งความฉลาดรอบรู้มากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นเสน่ห์แก่ตัวเราเองในการพูดคุยกับผู้อื่นอีกด้วย ดังพระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ที่ใฝ่ในการศึกษา ย่อมจะเป็นผู้เลิศ”

วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดแจ้ง เป็นวัดที่มีพระปรางค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สูง ๓๓ วาเศษ มีคติว่า “ชีวิตรุ่งโรจน์ทุกคืนวัน” กล่าวกันว่าบุคคลที่ต้องการความเจริญก้าวหน้าหรือชีวิตที่รุ่งโรจน์ ควรจะต้องเลือกอยู่ในถิ่นที่เหมาะและสิ่งแวดล้อมที่อำนวยต่อการพัฒนาชีวิต ต้องรู้จักคบหาคนดี ผู้ทรงคุณและผู้ที่เกื้อกูลแก่การแสวงหาธรรมและความรู้ ข้อสำคัญคือ ต้องตั้งตนมั่นในธรรมและการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง มีเป้าหมายที่ดีในชีวิต และควรเสริมด้วยหลักอิทธิบาท ๔ นั่นคือ มีฉันทะ ความพอใจและรักงานที่ทำ วิริยะ ความเพียรที่จะทำงานให้สำเร็จเสร็จสิ้น จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในงานที่ต้องทำ และวิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ เพื่อพัฒนาปรับปรุงสิ่งที่ทำ เหล่านี้จะทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตยิ่งขึ้น ดังพระพุทธองค์ว่า“ถ้ารู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์แก่ตน ควรรีบลงมือทำสิ่งนั้นทีเดียว”

ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร รัชกาลที่ ๑ ได้มีพระราชพิธีฝังเสาพระหลักเมืองเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๓๒๕ มีคติแก่ผู้มาไหว้ว่า “ตัดเคราะห์ ต่อชะตา เสริมวาสนา บารมี” ซึ่งนอกจากจะไหว้ศาลแล้ว เรายังสามารถสร้าง บุญกิริยาวัตถุ อันประกอบด้วย ทานมัย คือ ทำบุญด้วยทรัพย์สิ่งของ สีลมัย ทำบุญด้วยการรักษาศีลหรือประพฤติดีต่างๆ ภาวนามัย คือ ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา คือฝึกจิตให้เจริญด้วยสมาธิและปัญญา นอกจากนี้ การประพฤติตนอ่อนน้อม การช่วยบำเพ็ญประโยชน์ การให้ผู้อื่นร่วมกระทำดี การยินดีในความดีของผู้อื่น การฟังธรรม หรือให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็ถือเป็นการทำบุญเช่นเดียวกัน ดังที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า”ไม่พึงดูหมิ่นว่าบุญเล็กน้อยจะไม่มีผล”

ศาลเจ้าพ่อเสือ เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ ซึ่งเป็นเคารพนับถือของชาวจีนและไทยเป็นอย่างมาก มีคติความเชื่อว่า “เสริมอำนาจบารมี” คนที่จะมีวาสนาบารมีส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้นำ หรือแม้มิใช่ แต่อยากจะให้ตนมีอำนาจบารมี ก็ควรจะปฏิบัติตามหลักทศพิธราชธรรม อันเป็นคุณธรรมของผู้ปกครองหรือผู้บริหาร ซึ่งจะช่วยให้ผู้อื่นเกิดความเคารพนับถือ และนำมาซึ่งการเป็นที่ยอมรับอย่างแท้จริง มีอยู่ ๑๐ ประการ คือ ทาน-การให้ปัน ศีล-รักษาความสุจริต ปริจาคคะ-ความเสียสละ อาชชวะ-ความซื่อตรง มัททวะ-ความไม่เย่อหยิ่ง ตปะ-การมิให้กิเลสมาครอบงำ อักโกธะ- ความมีเหตุผลไม่เกรี้ยวกราด อวิหิงสา-ความไม่หลงระเริงในอำนาจ ขันติ-ความอดทน และอวิโรธนะ-การประพฤติมิให้ผิดจากธรรม ถือประโยชน์สุขของส่วนรวม นอกจากนี้ ยังต้องมีพรหมวิหาร ๔ คือ มีเมตตา ความปรารถนาให้คนอื่นเป็นสุข กรุณา ความสงสารอยากช่วยให้เขาพ้นทุกข์ มุทิตา ยินดีเมื่อผู้อื่นมีความสุข และอุเบกขา คือ มีใจเป็นกลาง เมื่อเห็นคนอื่นได้รับผลดีหรือชั่วตามเหตุที่เขาประกอบ ซึ่งหลักการทั้งสองอย่างนี้ แม้จะปฏิบัติได้เพียงบางส่วนก็ช่วยให้เกิดความนิยมนับถือได้แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า”คนพาลเป็นผู้นำไม่ได้”

.....................................

อมรรัตน์ เทพกำปนาท กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
_________________

เจ้าป้ากำหนดให้ได้ ๑๑ วัดค่ะ นอกเหนือจากที่กล่าวมาจากข้างบนอีก ๒ แห่งคือ เทวสถาน หรือโบสถ์พราหมณ์ หน้าเสาชิงช้าเพื่อบูชาเทพเจ้า ณ เทวสถาน และ กราบพระบรมรูปทรงม้าเพื่อขอพรให้มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการค่ะ

และแล้วก็เริ่มออกสตาร์ทค่ะ เริ่มต้น สองโมงครึ่งนั่งมอไซด์คิวออกจากบ้าน ใช้เวลาเสร็จบ่ายสามโมงจวนเจียนสี่โมงเดินซดลอดช่องที่วังหลัง หลังจากปล่อยปลาไหลที่วัดระฆัง

พอสองโมงครึ่งเช้าก็นั่งมอไซด์ออกจากบ้าน หอบดอกไม้ธูปเทียน ทองคำเปลว และทุกอย่างที่จัดไว้ทั้ง ๙ ชุด ครบถ้วน โบกตุ๊กๆ ไปที่วัดกัลยาณมิตร นมัสการหลวงพ่อเสร็จ ยืนปิ้มประทับใจกับบรรยากาศริมน้ำ ของอดีตท่าเรือที่พวกสำเภามาค้าขาย และกราบไหว้หลวงพ่อซำปอกงที่นี่พักหนึ่ง ก็กราบลา นั่งตุ๊กตุ๊กอีกคัน ไปที่ วัดอรุณค่ะ

พอถึงวัดอรุณ ก็เดินไปกราบหลวงพ่อในโบสถ์ แต่บังเอิญท่านกำลังทำพิธีสวดอยู่ก็เลยไม่ได้เข้าไปนมัสการด้านใน จากนั้นก็เดินเวียนเทียนรอบพระปรางค์วัดอรุณ สามรอบ สวดมนต์ไปด้วย รำลึกถึงศีล สมาธิ ปัญญา และศรัทธาของบรรพชนที่มีต่อวัตถุสถานทางพุทธศาสนาแห่งนี้ค่ะ พอครบเสร็จเดินช้อปปิ้งดูรอบๆตลาดที่เขาขายของที่ระลึกข้างๆพระปรางค์ ของกรี๊ดๆๆ น่าซื้อและราคาถูกทั้งนั้นเลยค่า จากนั้นก็เสียยตังค์ข้ามเรือคนละ สามบาทห้าสิบ ไปที่วัดโพธิ์

เมื่อขึ้นจากท่าเรือ ทางเข้าประตูวัดโพธิ์หรือวัดพระเชตุพนจะใกล้กับ วิหารพระพุทธไสยาสน์พอดีค่ะ กราบไหว้ท่านนอกวิหารแล้วเดินไปนมัสการขอพรอธิษฐานกับองค์พระด้านใน มีการทำบุญหยอดเหรียญใส่บาตรเสียงดังกระหึ่มทั้งวิหารไม่ได้หยุด อิ่มจากพระพุทธไสยาสน์ ก็เดินออกมาจากประตูด้านหน้าวิหาร ขึ้นรถเมล์สายหนึ่ง หน้าวัด ไปลงที่พระบรมมหาราชวัง

ที่วัดพระแก้วคนพลุกพล่านแล้วเพราะว่ามีคนมากราบพระศพของสมเด็จพระพี่นางกัน แต่เราคงรอเข้าไปกราบไม่ไหว แค่เห็นคนก็จะเป็นลมแล้วค่ะ เลยขอเดินเลียบเคียงไปที่ โบสถ์พระแก้วมรกตอย่างเดียว ทีแรกตั้งใจจะไปกราบปราสาทพระเทพบิดรด้วย แต่คนเยอะมาก เลยกราบได้แต่พระแก้วมรกตเท่านั้น หลังจากจุดธูปเทียนนมัสการท่านด้านนอกแล้ว ก็จะเดินเข้าไปกราบอธิษฐานต่อองค์ท่านด้านใน โชคดีที่สามารถแหวกๆๆเข้าไปนั่งกราบได้ด้านหน้าค่ะ องค์พระแก้วมรกตที่คุ้มครองบรรพชนไทยมายาวนาน และเฝ้ามองลูกหลานคนไทยมานานนับหลายร้อยปี เมื่อเสร็จก็เดินอ้อมออกด้านหลังประตูวังไปที่ศาลหลักเมืองกันค่ะ

เข้าไปในศาลหลักเมือง ก็ซื้อผ้าแพรสีธูปเทียนพวงมาลัย กราบไหว้เสาหลักเมืองจำลองด้านนอกก่อน เมื่อกราบเสร็จก็เดินเข้าไปในศาลด้านใน นมัสการเสาหลักเมืองทั้งสองเสา เสร็จแล้วเข้าไปถวายพวงมาลัย ต่อ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง ในศาลอีกหลังหนึ่งค่ะ ตรงนี้ เริ่มหิวน้ำ เข้าห้องน้ำกันแล้ว เพราะแดดแรง เสร็จสรรพก็ห้าโมงเช้า เลยตัดสินใจว่า กราบวัดสุทัศน์อีกแห่งแล้วค่อยหาของกลางวันทานกัน เลยนั่งตุ๊กตุ๊กหน้าศาลหลักเมืองไปวัดสุทัศน์ทันที

ไปถึงหน้าวัดสุทัศน์ โอ้โห ร่มรื่นมากค่ะ เย็นด้วยภูมิสถาปัตย์ที่กว้างใหญ่ร่มรื่นมากเลย ผู้คนที่บอกว่าเข้ามากราบพระที่นี่ของทัศนวิสัยกว้างไกล นับว่าสมกับคำนี้จริงๆ มองไปทางไหนก็ร่มรื่น ร่มเย็นไปทุกจุด ประทับใจจริงๆกับการมาวัดสุทัศน์ครั้งแรก ได้ขึ้นไปกราบนมัสการนอกพระอุโบสถก่อนเข้าไปกราบกับองค์พระ ด้านใน...พระศรีศากยมุนี พระพุทธปฏิมาองค์ใหญ่ กราบไหว้ครั้งใดหัวใจเป็นสุข มีหลวงพ่อรูปหนึ่งท่านนั่งอยู่บนแท่นพอดี เลยเข้าไปกราบขอพร ท่านก็พรมน้ำมนต์ให้และได้สายสิญจน์มาเส้นหนึ่งด้วย ปลื้มๆๆ บอกตามตรงว่ามาวัดนี้แล้วแทบไม่อยากไปไหนต่อเลยค่ะ ร่มรื่นมาก แต่มีภาระต้องไปต่อ

จุดนี้ค่ะพิเศษกว่า ๙ วัด คือแวะ เทวาลัยโบสถ์พราหมณ์ บริเวณนี้ด้วย เทวาลัยของพระครูพราหมณ์อยู่ถัดจากวัดสุทัศน์ไปหน่อยนึง เข้าไปกราบโบสถ์ พระอิศวร พระพิฆเณศวร พระนารายณ์ กันก่อน พอเข้าไปถึงจะมีพี่ๆ จัดเตรียมดอกไม้บูชา พร้อมบทสวดไว้ให้อยู่แล้ว ก็สามารถเข้าไปกราบไหว้ได้ทันที โชคไม่ดีที่ท่านไม่ได้เปิดโบสถ์ให้เข้าไปชม แต่โบสถ์ท่านมีช่องที่มองเข้าไปเห็นด้านในได้ค่ะ เลยกราบขอพรจากด้านหน้าโบสถ์นั้นกันเอง
จากนั้นก็เที่ยงกว่าๆพอดี เลยหาของอร่อยฟาดปากกันแถวนั้น เสร็จกับ หมูกรอบ เป็ดย่าง ร้านนันฟ้าค่า....หมดเกลี้ยงเรียบวุธทุกอย่างภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง 5555 จากนั้นเดินเลี้ยวผ่าน สงวนที่ติวโทเฟลชื่อดัง ยังอุตส่าห์นำลายสอกับร้านต้มยำปลาชื่อดังอีกแหนะ ....อิอิ แต่พอเห็นร้านกาแฟ ถุงใหญ่ของเจ๊แดง ก็เลยนั่งแปะ โซ้ยกาแฟร้อนแก้วบะเร่อเหิ่มกันคนละแก้ว ก่อนเดินเข้าศาลเจ้าพ่อเสือ ที่อยู่สุดซอยตรงสงวน นี่เองค่า (จะทัวร์วัดหรือทัวร์ของกินก็ไม่ทราบนะเนี่ยยย)
_________________

Create Date :24 มกราคม 2551 Last Update :24 มกราคม 2551 18:35:06 น. Counter : Pageviews. Comments :2