bloggang.com mainmenu search


“นี่หมายความว่าเราควรหยุดเหรอ
นี่มันยากมากนะ และมันก็โดดเดี่ยว
ฉันโดดเดี่ยวเหลือเกิน, บยองฮี”

นี่คือคำพูดกินใจของพระเอกเรื่องนี้ ที่ทำให้ ณ เวลาดีตีห้าที่ควรจะนอนหลับอุตุ แต่กลับต้องมาร้องไห้แงๆ แบบว่า เค้าไม่ไหวแล้ว ทำไมซีรีส์วัยรุ่นที่ควรจะสดใสสมวัยอย่างที่มันก็สนุกสนานในระยะแรกถึงได้ค่อยๆ หักเหและเดินทางมาถึงจุดจบเห่ ทั้งที่ด้วยมิตรภาพความผูกพันระหว่างเพื่อน และโอกาสที่มีพร้อมอยู่แล้วในมือ เหลือแค่จังหวะจะใช้มันและพากันทะยานไปสู่ฝันที่เคยวาดไว้ แต่ว่า สุดท้ายกลับลงเอยในแบบที่ ......

ก็ไม่ใช่ซีรีส์สนุกสุดเหวี่ยงจนหยุดดูไม่ได้หรอกนะคะ แต่เมื่ออารมณ์มันค่อยๆ ต่อเนื่องมาถึง ณ จุดนั้น ก็รู้สึกปวดใจร่วมไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เป็นอารมณ์แบบที่ไม่อยากจะเริ่มต้นรู้สึกอีกถ้าหยุดดูไปแล้วค่อยกลับมาดูใหม่ จึงขอลากยาวดูไปให้จบเลยทีเดียวว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ที่ปวดๆ ใจจะได้รีบๆ หาย สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไปแบบไม่ต้องค้างคา

Shut up flower boy band ชื่อเรื่องนี้ ใครอ่านก็เข้าใจว่ามันคงจะเป็นเรื่องราวสุขสดใสของหนุ่มร็อควัยรุ่นหน้าใส เป็นชายงามตามสไตล์ “หนุ่มดอกไม้” ไม่คิดว่าจังหวะอารมณ์ของซีรีส์จะกลายมาเป็นดราม่าประทับจิต สมกันแล้วกับที่เป็นเรื่องราวของนักดนตรีร็อค ก็เลยจัดดราม่าหนักจังหวะร็อคมาให้ซะเลย

***คำเตือน : สปอยล์นะคะ ไม่เหมาะกับคนที่ยังไม่ได้ดู ***


Eye Candy เป็นวงดนตรีร็อคที่เกิดจากการรวมตัวกันของเพื่อนสนิท 6 คน



เพื่อนทั้งหกที่ทั้งแสบซ่าบ้าพลัง และสนุกสุดเหวี่ยงด้วยกันกับการเล่นดนตรีร็อค แต่ดูไปดูมาก็คล้ายๆ จะเป็นเด็กเกเรที่เสเพลอยู่ตามท้องถนนด้วยเหมือนกัน และถ้าจะหาอันดับหนึ่งของความบ้าซ่าส์เพี้ยน คนๆ นั้น คือโจบยองฮี

เพราะโรงเรียนเดิมถูกสั่งปิดด้วยแผนพัฒนาใหม่ เด็กนักเรียนต้องถูกแยกย้ายไปเรียนตามโรงเรียนต่างๆ เด็กทั้ง 6 คน ถูกย้ายไปอยู่โรงเรียนเดียวกันคือ โรงเรียนจองซัง ที่เป็นโรงเรียนระดับไฮคลาสเหมาะสำหรับนักเรียนไฮโซ โรงเรียนที่ดูยังไงก็ไม่เหมาะกับพวกเขา แม้บยองฮีเองจะชักชวนเพื่อนๆ ให้ลาออกจากโรงเรียนเพื่อเริ่มใช้ชีวิตกับดนตรีอย่างมีอิสระด้วยกัน แต่ทั้ง 6 ก็ยังไม่ตัดสินใจแน่ชัด

ระหว่างที่เตร็ดเตร่เที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ บยองฮีได้พบกับ อิมซูอา ( Jo Bo Ah)ในร้านขายเครื่องดนตรี เขาตกหลุมรักเธอแต่แรกพบ

“ฉันได้คอร์ดเพลงเด้งขึ้นมาในหัวเลยล่ะ”



แม้จะพลาดโอกาสสานสัมพันธ์ในครั้งแรกเจอ แต่บยองฮียังไม่ยอมแพ้ เขาพาเพื่อนๆ มานั่งรวมตัวกันอยู่ริมถนนย่านนั้น เพื่อจะสอดส่ายสายตามองหานางในฝัน รอแล้วรอเล่าแต่ก็ไม่เห็นเธอคนนั้นอีก นานจนไม่มีเวลาและต้องตัดใจ

“เอาล่ะ ผู้หญิงคนแรกที่ข้ามถนนมาจะเป็นนางในฝันของฉัน”

เหตุบังเอิญเหลือเกิน ระหว่างรอลุ้นสาวที่จะข้ามถนนมาคนแรก ก็มีทั้งสาวสวยที่น่าเสียดาย และสาวไม่พึงประสงค์ที่ชวนลุ้นกันใจคว่ำ แต่แล้วใครคนหนึ่งก็โผล่พรวดแซงหน้าออกมา สำหรับบยองฮีผู้อยากมีนางในดวงใจในการรังสรรค์ผลงาน คือเธอคนนี้ที่เป็นโชคชะตา เป็นนางในฝัน และต่อมาเพื่อนๆ ต่างเรียกเธอว่า “แรงบันดาลใจของบยองฮี”



แต่ ... นี่คือโชคชะตาของบยองฮีแน่หรือ หรือที่จริงแล้วมันเป็นของ “ควอนจิอยอก” (Sung Joon) ถ้าบยองฮีมีความบ้าเป็นอันดับหนึ่ง จิฮยอกก็ถูกจัดความบ้าเป็นอันดับสอง พื้นฐานชีวิตที่คล้ายคลึงกันทำให้ทั้งสองคนเป็นคู่หูที่เข้ากันได้ดีที่สุด ในร้านขายเครื่องดนตรีที่บยองฮีพบซูอา จิฮยอกก็พบเธอด้วยเหมือนกัน ระหว่างที่บยองฮีกำลังหลีสาวคนนั้นจิฮยอกนี่แหละที่เข้ามาขัดจังหวะเพื่อลากบยองฮีออกไปช่วยกันดูเครื่องดนตรีที่หมายตา จิฮยอกพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ซูอาต้องเม้มปากน้อยๆ พร้อมมีสายตาเขม่นเล็กๆ

พรหมลิขิตบนทางข้าม เป็นของบยองฮีหรือของใคร เพราะทันทีที่ข้ามพ้นถนนมา สาวน้อยแสนสวยดันสะดุดเซ น่าแปลกที่บยองฮีก็ยืนอยู่ตรงนั้น และยื่นมืออกไป แต่เธอกลับถลาไปสู่อ้อมแขนของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน คือควอนจิฮยอกที่ช่วยรับเอาไว้

“อ๊ะ น่าจะล้มมาทางนี้นะ”

บยองฮีรำพึงอย่างเสียดาย แต่เรื่องสะดุดล้มเล็กน้อยใครจะไปสะดุดใจในพรหมลิขิตกัน บยองฮีก็เข้าใจอยู่นั่นเองว่าเธอคือโชคชะตาที่กำหนดไว้ สำหรับเขา

เป็นธรรมดาของซีรีส์วัยรุ่นวัยเรียนที่ในโรงเรียนย่อมมีดาวเด่น ซึงฮุน แห่งโรงเรียนจองซัง (Jung Ui Chul) เป็นหนุ่มเพียบพร้อม หล่อ รวย ความสามารถสูงทั้งแต่งเพลงทั้งเล่นดนตรี “สตอร์เบอร์รี่ฟิลด์” คือวงดนตรีของโรงเรียนจองซังที่มีซึงฮุนเป็นหัวหน้าวง ซึงฮุนกับซูอาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ครอบครัวรู้จักกันเป็นคนในระดับสังคมเดียวกัน แม้ทั้งสองจะยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่ แต่ในสายตาของคนทั่วโรงเรียน ก็คิดไม่ต่างกัน ซูอาเป็นแฟนของซึงฮุน

เมื่อบยองฮีตามจีบซูอาอย่างออกนอกหน้า และแม้แต่จิฮยอกเพื่อนสนิทก็รู้ว่าครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความเพลล์บอยของบยองฮีอีกแล้ว แต่บยองฮีกำลังจริงจังกับนางในฝันผู้เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงของเขา

เปิดเรื่องนี้ขึ้นมาดู เพราะผู้ชายตัวสูงๆ ดูเก้งก้างหัวฟูที่ยืนเด่นอยู่ตรงกลางภาพทีเซอร์มันเตะตา ก็เลยอยากเปิดดูหน้าสักน้อย โดยบุคลิกหน้าตาที่เปรียบกับคนอื่นๆ แล้ว เขาคนนี้คือใครกัน ดาราหน้าใหม่รึ ทำไมดูเท่เสียจริง แล้วก็เริ่มสับสน ไหงพระเอกไม่ได้เป็นหัวหน้าวงหว่า นั่นค่อนข้างจะประหลาดใจ ถ้าเป็นพระเอกก็สมควรได้อยู่ในตำแหน่งหัวหน้าวงสิ เพราะตำแหน่งนี้จะเท่กว่าใคร หรือเราเข้าใจอะไรผิด? ที่จริงแล้วลีมินกิผู้รับบทบยองฮีเป็นพระเอกรึเปล่า? ก็ไม่น่านะ ถึงมินกิจะหล่อเหลาเอาการและมีชื่อเสียงพอสมควร แต่ออร่าก็ไม่มากพอจะเป็นพระเอกหรอกมั้ง หน้าตาอาจไม่เด่นไม่ด้อยไปกว่ากันนัก แต่ถ้าเป็นออร่าล่ะก็ ยังไงๆ จิฮยอกก็ดูเรืองรองมากกว่า พระเอกชัวร์ แล้วพระเอกไม่ได้เป็นหัวหน้าวงหรอกเหรอ? คาใจ ไปดูภาพทีเซอร์อีกที จิฮยอกก็ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลางนี่นา แต่ก็เพิ่งสังเกต เอ๊ะ เหมือนจะไม่มีมินกิในภาพนะ ไม่มีจริงๆ จึงไล่สายตาไปอ่านเรื่องย่อ อ้อ ลีมินกิเป็นนักแสดงรับเชิญ อื้ม ..! เข้าใจแล้ว



ตามประสาคนดูละครมากจัด เชื่อว่าน่าจะมีเหตุผลเดียวเท่านั้นที่มินกิจะจากไปตามประสาดารารับเชิญ (ค่อนข้างจะมั่นใจด้วย) แล้วก็ชวนคิดไปไกล ถ้าจิฮยอกเป็นพระเอก แล้วบยองฮีตามจีบนางเอกอย่างนี้แล้วจะเป็นไงต่อ หรือนางเอกจะจับพลัดจับผลูเป็นแฟนของบยองฮีก่อน และเมื่อบยองฮีต้องจากไปเพราะเป็นแค่รับเชิญ นั่นอาจเป็นปัญหาให้จิฮยอกไม่อาจจะรักแรงบันดาลใจของบยองฮี เอาแฟนของเพื่อนมาเป็นแฟนของตัวได้ ? โอ .. เห็นแววรักรันทดสไตล์เกาหลีอยู่รำไร (เป็นพวกชอบเดาพลอตเรื่อยเจื้อย) ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็ชักไม่หนุกน่ะสิ ขอยืมคำพูดเท่ๆ ในเรื่องมาใช้สักหน่อยซิ

"ฉันเกลียดความซับซ้อน ช่วยทำให้ชัดเจนด้วย"

มันก็ดูคลุมเคลือแค่แรกเริ่มแค่นั้นแหละ เพราะสายตาของซูอาที่มองจิฮยอกค่อนข้างจะคลี่คลาย อาการเม้มปากน้อยๆ สายตาเขม่นนิดๆ ที่เธอมีต่อจิฮยอกทำให้ใจมาเป็นกอง

เพราะนางเอกละคร รายไหนรายนั้น ลองได้เขม่นใครล่ะก็เดี๋ยวหัวใจก็บินตาม ยิ่งเมื่อมีจังหวะการพบกันแค่เราสองคน ยิ่งแตกต่างกันชัดเจนระหว่างบยองฮีที่ทำเจ้าชู้ตามจีบ กับจิฮยอกที่ห่ามๆ และวางท่าไม่อยากจะข้องแวะเสวนาด้วย คนไร้มารยาทที่ไม่รู้จักการขอโทษ และทำให้เธอต้องแสดงความไม่พอใจออกมา พร้อมทั้งเรื่องที่ยังค้างคาใจ

“คราวก่อนก็เหมือนกัน นายรู้จักฉันดีแค่ไหน”

อา .. แจ่มชัด ชัดเจน คำพูดเล็กๆ น้อยๆ ของเขา เธอเก็บความเขม่นเอาไว้ในใจ ซูอาที่ไม่อะไรกับบยองฮีเพราะคิดว่าเขาก็แค่จีบเล่นๆ ไปตามประสาและเธอไม่คิดถือสาเพราะคิดว่าคงจะเป็นเพื่อนกันได้ แต่กับซูอาที่โกรธจิฮยอก มั่นใจได้เลยว่า บยองฮี นายหมดหวังแล้ว





ซูอาต่อว่าจิฮยอก แต่น้ำเสียงโกรธๆ ที่พูดออกมาก็อ่อนลงกระทันหัน เพราะคนที่เธอตำหนิว่าไร้มารยาทไม่รู้จักขอโทษ กำลังขอโทษเธอด้วยการกระทำ (เท่มั่ก) และก็ดูเหมือนว่าในใจของซูอาเริ่มมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว (อิอิ ดูแล้วมีความสุข) ชอบฉากพบกันเราสองคนครั้งแรกมากเลย เป็นฉากที่บอกได้ว่าจิฮยอกเป็นพวกไม่ถนัดการเข้าใกล้หรือพูดคุยกับผู้หญิงสวยๆ ที่น่ารัก ก็เลยแสดงออกทื่อๆ ไปอีกทาง ที่..น่ารักมากๆ ถึงมันจะชวนให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่า เป็นคนอะไรอย่างนี้เนี่ยก็เถอะ

พวกอายแคนดี้เป็นคนอีกระดับหนึ่งที่แตกต่าง และนี่คือเสียงเมาท์มอยที่ผู้คนให้ความสนใจพวกเขา ในฐานะสิ่งแปลกปลอมของโรงเรียน



โจบยองฮี หัวหน้าวงผู้บ้าระห่ำ ตำนานแห่งเวทีและราชาแห่งการต่อสู้ หากเขามองไปที่ใคร คนๆ นั้นจะต้องตายแน่ๆ มันไม่น่ากลัวงั้นเหรอ



ควอนจิฮยอก ดวงตาของเขาผู้นี้คมดั่งเลเซอร์ที่จะเจาะทะลุหัวใจทุกคน เพราะงั้นเขามีผู้หญิงต่อคิวเป็นขโยงเลยแหละ ถ้าหากบยองฮีเป็นหัวหน้า จิฮยอกก็ถือเป็นมือขวาของเขา



ผู้ชายที่ดูเหมือนเพลล์บอยคนนั้นคือคิมฮาจิน ผู้หญิงทุกคนควรจะอยู่ห่างเขาไว้ เพราะเขาคือสัตว์ร้ายที่จ้องจะขย้ำเหยื่อเลยนะ



ส่วนหนุ่มน้อยน่ารักคนนั้นซอคยองจอง ถ้าเขาโกรธล่ะก็ เขาจะเปลี่ยนเป็นผู้ชายทันที เป็นผู้ชาย ผู้ชายพูซาน



ส่วนนั่นคือลีฮยอนซู ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ ทั้งเล่นกีตาร์ทั้งร้องเพลง แต่หากใครได้สบสายตาเย็นชาคู่นั้นล่ะก็ คนผู้นั้นจะต้องหนาวเข้ากระดูกดำเป็นแน่



หนุ่มหน้าสวยจางดูอิล เจ้าชาย สง่างาม มีเสน่ห์ล้นเหลือ แต่ว่าไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย

"เพราะฉะนั้น พวกเขาอยู่คนละระดับกับเรา หรือพูดได้ว่าสุดยอด"
“พวกเขาคือแบดบอยของแท้”
“มันต่างกันนะระหว่างเท่อยู่ไกลๆ กับเท่อยู่ใกล้ๆ น่ะ”
“ พวกเขาน่ากลัว ไม่น่าคบ ควรอยู่ห่างเป็นที่สุด”

ถึงจะหล่อล้ำ เท่ล้น แต่ท่าทางห่ามๆ เถื่อนๆ อย่างกับกุ๊ยข้างถนนมันก็เป็นภาพลักษณ์ติดลบ ที่ความหล่อเท่ไม่ช่วยอะไร



วงไฮโซ"สตอร์เบอร์รี่ฟิลด์" กับวงโลโซ "อายแคนดี้" แรกพบสบตาก็ไม่กินเส้นกันอยู่แล้ว เมื่อบยองฮีตามจีบซูอาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม สองวงบอยแบนด์ยิ่งมองเห็นกันเป็นศัตรู เพื่อนของซึงฮุนเปรียบเปรยพวกชั้นต่ำอย่างอายแคนดี้ว่าเป็นหมาขี้เรื้อนในโรงเรียน(ไฮโซ)

เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ วงดนตรีสองวงก็อยู่ร่วมกันไม่ได้เหมือนกัน เพราะห้องซ้อมดนตรีสุดเจ๋งที่มีเครื่องดนตรีพร้อมสรรพ มันมีอยู่แค่ห้องเดียวเจ้าถิ่นสตอร์เบอร์รี่ฟิลด์มีหรือจะอยากแบ่งปัน แต่ก็อยากหยามหยันด้วยการทำเป็นใจกว้าง ถ้าอยากได้ห้องซ้อมมาดวลดนตรีกันให้เพื่อนในโรงเรียนเป็นคนตัดสิน ใครชนะก็ได้ห้องซ้อมไป (แหม่ ใจกว้างมากก! ในถิ่นจองซังที่ฝ่ายตัวป๊อบปูล่าแล้วอีกฝ่ายเป็นผู้มาทีหลังแถมยังภาพติดลบด้วยนี่นะ คงจะชนะได้หรอก) พูดถึงว่า ถ้ายังไม่รู้ว่าใครเป็นพระเอกและไม่รู้ลีมินกิเป็นรับเชิญนะ นี่ก็จะเป็นอีกข้อสังเกตนึงที่จะแน่ใจได้ว่าใครคือพระเอก เพราะคนที่ยืนปะฉะดะทางสีหน้าแววตากับซึงฮุนในสถานการณ์เข้มๆ อย่างนี้ คือ ควอนจิฮยอก ก่อนหน้าที่พวกเขาเคยตีกัน ก็เป็นจิฮยอกเหมือนกันที่เข้ามาห้ามบยองฮี และเผชิญหน้าสบตากับซึงฮุน ( ฉากนั้นก็ชอบนะ จิฮยอกห้ามบยองฮี แต่แล้วก็อดไม่ได้ ปล่อยหมัดโครมออกไปซะเอง)



สถานะของอิมซูอาในโรงเรียน เธอเป็นดั่งเจ้าหญิงแสนสวย แม้แต่บยองฮีก็เข้าใจว่าเธอมีฐานะร่ำรวยและที่เหนือกว่านั้นเธอมีจิตใจดีงาม จริงอยู่ที่เธอเคยเป็นเช่นนั้นในอดีต แต่มันได้เปลี่ยนไปในปัจจุบัน เพราะพ่อของซูอาทำธุรกิจล้มละลายทิ้งลูกสาวไว้คนเดียวแล้วหนีไป คุณหนูที่เคยร่ำรวยแต่ชีวิตต้องมาตกต่ำ ต้องทำงานพิเศษหาเลี้ยงตัวเอง ที่สุดของความมั่นใจว่าใครจะได้หัวใจของสาวน้อยอิมซูอา เมื่อที่อยู่ที่พ่อของเธอหาไว้ให้ก่อนหลบหนีไป คือห้องพักเล็กๆ บนดาดฟ้าของตึกหลังหนึ่ง ที่ที่เป็นจุดยืนยันพรหมลิขิตของแท้ เพราะที่ดาดฟ้าของตึกเคียงกัน ณ ที่แห่งนั้นเป็นที่พักลำพังของควอนจิฮยอก




โป๊ะเช้ะ ! มีความสุขเสียนี่กระไร ไม่ต้องคาดหวังก็รู้ว่าจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการจากซีรีส์เรื่องนี้ พระเอกสูงหล่อ (187 ซม.) หุ่นเปรียวลม เป็นนักดนตรีมือกีตาร์ในมาดร็อคสุดเท่ นางเอกหน้าหวานตาโตตัวเล็กดูนุ่มนิ่มบอบบางน่าทนุถนอม สองคนอาศัยอยู่ในห้องเช่าบนดาดฟ้าของตึกเคียงกัน เปิดประตูบ้านฉัน เปิดประตูบ้านเธอ หันหน้าเจอกันที่ตรงระบียง ตอนที่ดูแรกๆ ยังเมาท์กับเพื่อนว่า มันต้องมีน้ำไม่ไหลไฟดับเดือดร้อนให้พระเอกต้องไปช่วยเหลือบ้างล่ะว้า แต่ว่า ...มันไม่ใช่ลักษณะการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ อย่างนั้นน่ะสิ เพราะต่อมาจิฮยอกคือฮีโร่ที่คอยปกป้องคุ้มครองเธอ อยากจะกรี๊ดให้ลั่นห้อง ให้มันได้อย่างนี้สิ ไม่เจอซีรีส์ที่มีความรักโรแมนติกโดนใจมานานละ นับจากครั้งสุดท้ายกับเรื่อง Greatest Love










แล้วซีรีส์ก็โรแมนซ์ได้ใจ ได้หลากหลายอารมณ์จากซีรีส์เรื่องนี้มากกว่าทีต้องการ ที่ไม่อยากได้แต่จำต้องรับไว้ก็มี นั่นคือความรู้สึกเศร้าเสียใจกับเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น เมื่อเรามีอารมณ์ร่วมกับตัวละคร ความสุข ความเศร้า ความซาบซึ้งกับเรื่องราวความสัมพันธ์ที่ได้ดำเนินไปจนจบ นี่จึงเป็นซีรีส์ที่ทำให้ประทับใจ และถ้ามันจะไม่สมบูรณ์ด้วยอะไรๆ บ้าง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะต้องให้ความสนใจจนรู้สึกขัดหูขัดตาขึ้นมาได้

เพราะความเบาดหมางของ สตอร์เบอร์รี่ฟิลด์กับอายแคนดี้ เป็นเหตุสืบเนื่องให้บยองฮีต้องเสียชีวิตลงกระทันหัน ต่อหน้าต่อตาจิฮยอกและเพื่อนๆ ร่วมวง คุณอาจจะคิดว่านี่เป็นการสปอยล์ที่ร้ายกาจก็ได้ แต่ผู้เขียนกลับคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่รู้ได้อยู่แล้วเพราะส่วนหนึ่งนี่คือละครออกแนวสู้เพื่อฝันและมันจำเป็นต้องมีบางอย่างเป็นแรงผลักดัน ซึ่งการตายของบยองฮีก็คือแรงผลักดันของอายแคนดี้ จึงไม่รู้สึกกระเทือนใจกับการตายของบยองฮีนัก เพราะรู้แล้วว่าลีมินกิเป็นนักแสดงรับเชิญ แต่เพื่อนผู้เขียนบอกว่าเธอรู้สึกช็อค เพราะคิดว่าการ "รับเชิญ" ก็คงจะมีเหตุ ย้ายที่อยู่ ย้ายโรงเรียน หรือด้วยเหตุผลอื่นใดที่ไม่อาจอยู่ร่วมวงไปตลอดได้ ช่างเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสียจริง เพราะตัวผู้เขียนไม่คิดอะไรอื่นเลย นอกจาก ตายแหงแก๋ ...(ฉันคือ ผู้มองโลกในแง่ร้าย)

เสียงเย้าแหย่ของบยองฮีที่พูดกับจิฮยอกผ่านโทรศัพท์มานั้น จิฮยอกไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นคำสุดท้ายที่เขาได้ยิน

“ฉันรักนายไอ้หมาจิฮยอก”

เพราะบยองฮีก็เป็นคนที่โดดเดี่ยว คนสองคนที่เหมือนกันจึงผูกพันกันลึกซึ้งในความเป็นเพื่อน จิฮยอกโทษตัวเอง สายไม่ได้รับ ของบยองฮีที่ค้างอยู่ในโทรศัพท์นั่น พร้อมเสียงฝากข้อความขอความช่วยเหลือ ถ้าเพียงแต่เขาได้รับมัน บางทีบยองฮีอาจไม่ต้องพบกับความตาย การตายของบยองฮีจึงส่งผลต่อจิตใจจิฮยอกมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ แต่สิ่งที่บยองฮีทิ้งไว้ให้ก็เป็นแรงผลักดันให้จิฮยอกต้องเลิกเสียใจและลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับชีวิตอีกครั้ง

บยองฮีเคยถาม

“จิฮยอก นายคิดว่าพวกเราจะได้แสดงบนเวทีร็อคเฟสทิวอลไหม”
“แฟนๆ นับไม่ถ้วนจะกรีดร้องเมื่อเราขึ้นไปบนเวที"
"อายแคนดี้! อายแคนดี้!" พวกเขาจะคลั่งเมื่อเห็นเรา
"แล้วฉันก็คว้าไมค์มาร้องเพลง นายก็เล่นกีตาร์
ดูอิลตีกลอง ในวันนั้นพวกเราจะตายไปด้วยกัน”
.....
“ตาย ทำไมต้องตาย”
....
“เพราะฉันอยากจะตายในช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด”





ช่วงเวลาที่บยองฮีอยากตายอย่างมีความสุขที่สุด คือการได้เล่นดนตรีกับเพื่อนๆ ที่เวทีนั่น "Rock Festival" แต่บยองฮีตายไปแล้วทั้งที่ยังไม่ได้พบกับความสุขที่ว่า บยองฮีอยากจะไปที่เวทีนั่นจริงๆ เพราะจิฮยอกได้พบว่าบยองฮีแอบไปยื่นใบสมัครการแข่งขันเอาไว้ และยังทิ้งเงินจำนวนหนึ่งที่บยองฮีรวบรวมไว้สำหรับการซื้อเครื่องดนตรีใหม่ เงื่อนไขการแข่งขันมีอยู่ว่า นักดนตรีทีเข้าแข่งขันร็อคเฟสทิวอลจะต้องเป็นนักเรียนระดับมัธยมปลาย เพื่อจะก้าวต่อไปตามความตั้งใจของบยองฮี จิฮยอกต้องพาเพื่อนทุกคนกลับไปโรงเรียนและเขาต้องได้สิทธิ์ในการใช้ห้องซ้อมนั่น อายแคนดี้จะไปเล่นดนตรีที่เวทีร็อคเฟสทิวอลและพวกเขาจะต้องชนะเพื่อประกาศบทเพลงของบยองฮีให้โลกรู้ เพลงที่ยังแต่งไม่เสร็จและจิฮยอกจะสานต่อมัน



แต่ว่าอะไรๆ มันก็ไม่ง่ายหรอก เพราะนางในฝัน-แรงบันดาลใจของบยองฮีที่อาศัยอยู่บนดาดฟ้าข้างๆ กัน ก็มีแต่เรื่องเดือดร้อนให้ต้องเอาสายตาไปคอยสอดส่องดูแล เริ่มเอาใจไปห่วงหาอาทร ถึงจะไม่มีคำพูดใดๆ แสดงความห่วง แต่ที่คอยทำโน่นทำนี่ให้ นั่นยิ่งกว่าคำพูดอีก อากาศในเรื่องหนาวแต่นางเอกของเรื่องคงอุ่นใจเพราะใครคนหนึ่งที่อาศัยอยู่บนดาดฟ้าข้างๆ กัน ในวันที่หวาดกลัวเขาอยู่ที่นั่น ในค่ำคืนดึกดื่น เขาเดินตามอยู่ข้างหลัง พระเอกน่ารักมากๆ มารอเพราะเป็นห่วง แต่ไม่บอกให้รู้ว่ารอ ก็แค่บังเอิญกลับมาดึกเหมือนกัน ชอบพระเอกของเรา เพราะเขาใช้การกระทำมากกว่าคำพูด ส่วนเวลาที่เขาพูด คำวงคำหวานไม่มีทั้งนั้น พูดจา ทื่อๆ โต้งๆ มันอย่างนั้นแหละ แต่นางเอกย่อมสัมผัสความหวังดีจากคนใจดีได้ไม่ยาก





เสียงเพลงที่เธอได้ฟัง เสียงที่รู้สึกอบอุ่นเมื่อเหน็บหนาว เมื่อทุกข์เศร้าอยากร้องไห้ เสียงที่คอยปลุกปลอบใจเป็นเพื่อนยามเหงา เพลงที่ซึงฮุนแต่งและมอบให้เธอเก็บเอาไว้ฟัง ทว่าไม่ใช่บทเพลงที่เธอหลงรัก แต่เป็นเสียงที่ขับร้องบทเพลงนั่นต่างหาก พรหมลิขิตอีกเช่นกัน ที่จิฮยอกบังเอิญไปรับจ้างอัดเสียงเป็นเพลงตัวอย่าง บทเพลงที่ไม่รู้ใครเป็นคนแต่ง และคนแต่งเพลงก็ไม่รู้ใครเป็นคนร้อง ส่วนซูอาคนที่ฟังก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงใคร รู้แต่เป็นเสียงที่ฟังแล้วจับหัวใจ และไม่รู้ทำไมช่างเหมือนกับเสียงของคนบนดาดฟ้าข้างๆ เสียเหลือเกิน

นี่คือเรื่องราวที่ Shut up flower boy band ได้เริ่มต้นขึ้น การดวลดนตรีเพื่อสิทธิ์ในห้องซ้อม การแข่งขันร็อคเฟสทิวอล ความเป็นอริระหว่างสตอร์เบอร์รี่ฟิลด์กับอายแคนดี้นับจากบยองฮีตาย ความเกลียดชังในหัวใจของซึงฮุนที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อควอนจิฮยอกเริ่มกลายเป็นคนสำคัญของอิมซูอา เบื้องหน้าซึงฮุนเป็นนักเรียนมัธยมปลาย แต่เบื้องหลังคือนักแต่งเพลงอัจฉริยะที่พี่สาวของเขาเป็นเจ้าของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ HR entertainment เจ้าของงาน Rock Festival เวทีสำหรับการค้นหาดาวดวงใหม่ ซึงฮุนจึงมีความสามารถในการก่อกวนเส้นทางของอายแคนดี้มิใช่น้อย

เส้นทาง..ที่ไม่มีกลีบกุหลาบโรย แต่โปรยไปด้วยขวากหนาม แรกๆ ก็รู้สึกดีที่แม้ต้องพบเจออุปสรรคใด อายแคนดี้ยังรักยังเข้าใจและร่วมฝ่าฟันไปด้วยกัน พิสูจน์หัวใจของการเป็นเพื่อนด้วยการรั้งรอที่จะก้าวไปพร้อมๆ กัน ดูเพลินจนอดงงไม่ได้ว่ามันได้ดำเนินไปสู่ความร้าวฉาน และไปลงเอยที่ความแตกแยกอย่างน่าเสียใจได้ยังไง ก็เป็นพล็อตเรื่องพื้นๆ ที่ไม่ได้ยากเย็นแก่การคาดเดา แต่ในความเป็นพล็อตเรื่องพื้นๆ ที่เดาได้เหล่านี้ มันกลับสนุกเข้มข้น (โดนใจซะจริง) เมื่อความความล้มเหลวถูกพลิกให้เป็นโอกาส อายแคนดี้เริ่มเป็นที่รู้จักกว้างขวาง เป็นวงดนตรีมีชื่อเสียงและโด่งดัง อะไรๆ ก็เริ่มจะเปลี่ยนไป รวมทั้งความสัมพันธ์ของพวกเขาด้วย เพื่อนที่เคยเข้าใจกัน เริ่มจะไม่เข้าใจ ดนตรีที่เคยเล่นด้วยความสนุกด้วยกัน มันชักเริ่มไม่สนุกแล้ว



มีคนเตือนไว้ “ผู้หญิง” และ “เงิน” เป็นสิ่งที่ที่ต้องระวังเพราะมันจะทำให้วงแตก ครั้งหนึ่งเพราะผู้หญิงที่ชื่ออิมซูอา ทำให้อายแคนดี้ต้องพ่ายแพ้ แต่จิฮยอกก็มีเหตุผลว่า เพราะเธอคือแรงบันดาลใจของบยองฮี จะให้นิ่งดูดายต่อความเดือดร้อนของเธอได้ยังไง และเพราะเหตุครั้งนั้น ปฏิกิริยาของเพื่อนและคำตำหนิติเตียนบางอย่างทำให้จิฮยอกไม่กล้าพอจะปริปากบอกกับใคร สำหรับเขา..ไม่มีแรงบันดาลใจของบยองฮีอีกต่อไปแล้ว ถ้าจะมีก็มีแต่แรงบันดาลใจของเขาเอง ผู้หญิงที่ไม่มีทางไปและไร้ที่พึ่งคนนั้น- อิมซูอา

ความทะเยอทะยานและจุดหมายของคนเราไม่เท่ากัน ถึงหนุ่มๆ อายแคนดี้ต่างเป็นเพื่อนสนิท แต่ชีวิตนอกเหนือจากความเป็นเพื่อนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ระดับความจริงจังตั้งใจย่อมแตกต่าง เมื่อเงินเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน เมื่อปัญหาที่รุมเร้าสุมอก แต่ลูกผู้ชายใช่ว่าจะต้องคร่ำครวญทุกสิ่งออกมาราวกับว่าเป็นคนอ่อนแอนัก มันผิดที่คนมีปัญหาไม่พูดออกไป หรือมันผิดที่คนไม่มีปัญหาไม่เคยมองเห็นความทุกข์ใจของคนใกล้ตัวที่กำลังดิ้นรนต่อสู้กับมันลำพัง และกลายเป็นความกดดันที่ต้องการจะทำทุกอย่างให้อายแคนดี้ไปสู่ความสำเร็จ แต่การจะได้อะไรบางอย่างมาก็ต้องแลกด้วยอะไรบางอย่างไป อิสระเสรีที่เคยมีต้องหดหาย ต้องอยู่ภายใต้กฏระเบียบ ต้องมาอยู่รวมกันในหอพัก ต้องมีผู้จัดการส่วนตัวหรือเรียกอีกอย่างก็คือผู้คุม เที่ยวเตร่ เสเพล ผู้หญิง เป็นสิ่งต้องห้าม

แล้วก็เหมือนหนังฝันใฝ่นักดนตรีทั่วไป ที่การตลาดกับการเป็นตัวของตัวเองมันไม่ค่อยจะไปด้วยกันได้ จิฮยอกที่ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าวงนับจากบยองฮีตาย ด้วยเหตุผล “เพราะมันบ้าเป็นอันดับสองรองจากบยองฮี” เขาต้องการจะรักษาเพลงของบยองฮีเอาไว้ แต่ด้วยเหตุผลทางการตลาดที่กลายมาเป็นข้อบีบบังคับให้ปรับเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนท่วงทำนองเพลง และเปลี่ยนแม้กระทั้งชื่อวง เพราะอายแคนดี้มันฟังเด็กๆ ไร้สาระเกินไป ไอ้บ้าจิฮยอกที่เคยดื้อเคยหัวรั้นเป็นปกติเพื่อจะสู้ให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ เริ่มถูกมองเป็นไอ้คนดื้อด้านที่เอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ คนหนึ่งที่แบกรับภาระความฝันของบยองฮีเอาไว้ ก็ต้องการจะรักษาอายแคนดี้ในแบบของบยองฮีให้ได้ แต่อีกคนที่มีสิ่งสำคัญจำเป็นกว่า กลับเห็นว่าทำไมไม่รู้จักยอมๆ บ้าง ลดละอีโก้สูงส่งนั่นลงสักนิด ความเป็นอายแคนดี้มันจับต้องไม่ได้และมันไม่ใช่เงิน ส่วนคนที่ไม่มีความเดือดร้อนอะไร การเล่นดนตรีไม่ใช่ความฝันอันสูงสุด ก็แค่ความท้ายทาย ความสุขหนึ่งที่ได้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ ที่รัก ได้เล่นดนตรีสนุกสนานด้วยกัน แต่การจะออกอัลบั้มเป็นศิลปิน มันกลายเป็นความจริงจังเกินไป การถูกจำกัดอิสระที่เคยอยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ แล้วทำไม่ได้ ความเครียดความกดดันต่างๆ ที่สุมเข้ามา ทั้งที่ก่อนหน้าชีวิตไม่เคยต้องเจอสิ่งเหล่านี้ ที่แย่กว่านั้น คือการเป็นคนดังมันทำให้ความเป็นเพื่อนเริ่มเหินห่าง ความสนุกลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ และพวกเขาก็เริ่มรู้สึกว่า พวกเราไม่ได้เล่นดนตรีด้วยกันด้วยความสนุกอีกต่อไป



หัวหน้าวงห่วยแตกที่เป็นต้นตอของข่าวรักอื้อฉาว ถึงข่าวจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่ที่เขายอมรับความจริงครึ่งหนึ่งที่มันจริง ยิ่งทำให้คนเชื่อว่าไอ้ส่วนที่ไม่จริงนั้นมันยิ่งกว่าจริงที่สุด คำตอบ “ใช่ ผมมีแฟนแล้ว” ทำให้สถานะชื่อเสียงของวงอายแคนดี้ต้องสั่นคลอน เพราะไม่ใช่ความจริงหรอก ที่ผู้คนจะสนใจ แต่มันเป็นเรื่องที่พวกเขาจะได้ใส่สีตีไข่และนินทาอยากสนุกปากต่างหาก

คนหนึ่งแอบรักนักร้องสาวคนดัง แต่สาวคนนั้นกลับหลงรักเพื่อนร่วมวงอีกคน

คนหนึ่งที่หน้าตาดีมีสมองและเป็นที่นิยมของวงการเขาต้องทำงานอย่างหนักในฐานะตัวแทนอายแคนดี้ไปออกรายการวาไรตี้ต่างๆ ไม่เคยได้หยุดพักหรือเที่ยวเตร่เหมือนคนอื่นๆ กลับถูกมองว่าเป็นคนทะเยอทะยานในชื่อเสียง และสุดท้ายก็ไปลงเอยที่ข้อกล่าวหาอันเจ็บปวดคือ ไอ้คนทรยศ

ปัญหาและความขัดแย้งมันทำให้อารมณ์ของคนขุ่นมัว การเสเพลชกต่อยก็ติดตามมา ทุกๆ คนต่างสร้างปัญหา แต่เพียงเพราะจิฮยอกเป็นคนที่ทำให้วงต้องตกต่ำและประสบกับความยากลำบากเพราะข่าวเสียหายนั่น ปัญหาอื่นๆ ถึงได้ตามมาเป็นพรวน มันก็เป็นความจริงที่ว่าจิฮยอกคือตัวต้นเหตุของปัญหา เพราะผู้หญิงคนเดียว ที่เขาให้ความสำคัญมากกว่าอะไรทั้งหมด แรงบันดาลใจของบยองฮีที่กลายเป็นแฟนของจิฮอยอกไปแล้ว เป็น..โดยที่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อน ที่เขาไม่ให้ใครรู้ ก็คงเป็นเพราะความไม่เชื่อใจ เมื่อเพื่อนไม่เชื่อใจกัน แล้วทุกวันที่อยู่ด้วยกันมันมีความหมายอะไร ถ้าหากจะมีใครรู้สึกผิดหวัง นั่นก็เพราะผิดหวังในความไม่เชื่อใจ ไม่เชื่อว่าการบอกเล่าจะทำให้พวกเค้ายอมรับปัญหาและหาทางผ่านพ้นมันไปด้วยกันได้ แต่สิ่งที่เป็นอยู่คือ ปัญหาที่ต่อยอดปัญหา ติดตามกันมาเป็นระลอกคลื่น แล้วมัน ก็พังลง

จิฮยอกถูกตราหน้าเป็นตัวต้นเหตุ หัวหน้าวงเห่ยๆ ที่ไม่มีความรับผิดชอบ อะไรที่นายทำอยู่มันไม่ใช่เรื่องซาบซึ้งหรอกนะ ใครกันเหรอที่บอกนายว่าการเป็นหัวหน้าวงคือนายต้องมาแบกรับภาระชีวิตของพวกเราทุกคนและตัดสินใจเอาเองทุกอย่างน่ะ นี่หรือคือสิ่งที่หัวหน้าวงคิดและทำเพื่อวงของเรา

แต่ใครกันที่เจ็บปวดที่สุด เมื่อบยองฮีตายและจิฮยอกได้แบกรับเอาความใฝ่ฝันของบยองฮีเอาไว้ บยองฮีผลักดันเขา และเขาก็ผลักดันเพื่อน ๆ อายแคนดี้ของบยองฮี อายแคนดี้ของพวกเราเป็นสิ่งที่เขาต้องรักษาไว้ให้ดีที่สุด แต่ซูอาไม่มีใคร เธอโดดเดี่ยวไม่ต่างจากเขา ซึ่งการเป็นคนดังมันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นที่พึ่งให้เธอได้ และก็เป็นเขาเองที่ทำให้เธอต้องโดดเดี่ยวมากขึ้นกว่าเดิมอีก เขาได้พยายามที่จะรักษาไว้ทั้งสองสิ่ง เขาพยายามและมันก็มากพอแล้ว จนผู้เขียนคิดว่าจิฮยอกจะทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้หรอก เขาคงต้องทิ้งนางเอกซะที 5555 โหดร้ายไหมคะ ด้วยผู้เขียนเป็นคนดูซีรีส์ญี่ปุ่นที่บางเรื่องทำให้ผู้เขียนฝังใจไปแล้วว่าผู้ชายมักจะเลือกความฝันก่อนความรัก เพราะความรักไม่ใช่สิ่งเดียวที่สำคัญ คนเราไม่มีทางจะได้ทุกอย่าง และในฐานะพระเอก กรณีนี้ถ้าจะทิ้งไปสักอย่าง จิฮยอกต้องทิ้งซูอา

ผู้เขียนคิดเรื่องนี้ได้ก่อนยัยแม่มดผู้เป็นเจ้าของค่ายเพลงจะยื่นคำขาดให้จิฮยอกเสียอีก (นี่ฉันคงใช้ชีวิตเพื่อการดูละครมากเกินไปจริงๆ) แต่จิฮยอกก็ทิ้งซูอาไม่ได้ เขาเป็นคนดื้อด้านที่ผู้เขียนเริ่มจะเชื่อแล้วว่า พล็อตมันคงจะต่างออกไปจากคำว่าพื้นๆ คือพระเอกก็คงจะสามารถแถต่อไปได้ ด้วยการไม่ปล่อยอะไรเลยสักสิ่ง และรักษาไว้ได้ทุกอย่าง

แต่มันก็ไม่จริง ที่สุดแล้วมันก็ยังคงเป็นพล็อตพื้นๆ ที่พระเอกนางเอกต้องแยกจากกัน และก็เป็นพล็อตพื้นๆ ที่ไม่ยากเกินจะรู้ว่า ถ้าจิฮยอกทำเองไม่ได้ คนที่ต้องทำก็คือซูอา เพราะเธอก็รู้เขาต้องรู้สึกยังไง คำถามจึงออกมาจากน้ำเสียงที่ระมัดระวัง

“เรา ควรเลิกกันไหม”

และเมื่อมันเกินกว่าจะเหนี่ยวรั้งไว้ต่อไปได้ สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นความเด็ดเดี่ยว

“เรา เลิกกันเถอะ”

“ฉันขอโทษนะ ทั้งหมดเป็นความผิดฉันเอง”

ถ้าจิฮยอกพูดออกมาเองไม่ได้ อย่างน้อยเขาต้องยอมปล่อยเธอ

“ฉันสิ ที่ต้องขอโทษ เพราะไม่มีอะไรที่ฉัน จะทำให้เธอได้เลย”

ประโยคนี้มันเศร้าสุดๆ ไปเลย และที่เศร้าสุดๆ ยิ่งกว่า (เศร้ากันเข้าไป) คือจิฮยอกก็รักษาอายแคนดี้ไว้ไม่ได้เช่นกัน ทั้งที่เขายอมแล้ว ยอมที่จะเสียซูอาไป แล้วมันยังอะไรกันอีกล่ะเนี่ย นื่คือจุดจบของอายแคนดี้เหรอ ทำไมพวกเขาเป็นแบบนี้ นี่มันเกินไปแล้วนะ นี่คือสาเหตุที่ทำให้ต้องร้องไห้น้ำตาไหลพรากๆ อยู่ตอนตีสี่ตีห้า และถึงมันจะเป็นตีห้า ก็จะยังนอนไม่ได้จนกว่าจะได้ติดตามต่อไปว่าพวกเขาจะเป็นไปอย่างไรในที่สุด



ซีรีส์เรื่องนี้ เป็นการรวมพลของคนหน้าตาดี หล่อสวยกันทุกคน คาแร็คเตอร์ที่แตกต่างอย่างมีเสน่ห์ ชอบในความเย็นชา ปากร้ายของฮยอนซูมือกีตาร์ (ตอนแรกๆ จิฮยอกเป็นกีตาร์มือหนึ่ง ฮยอนซูมือสอง พอบยองฮีตาย จิฮยอกต้องเป็นนักร้องนำ) ชอบในความรื่นเริงน่ารักของเพื่อนคู่หูที่สนิทสนมประหนึ่งคู่รักระหว่างฮาจิน มือเบส และคยองจองมือคีย์บอร์ด ชอบในความเป็นคนมีความคิดและสงบเย็นของดูอิล มือกลอง ส่วนจิฮยอกนั้นไม่มีความจำกัดความอื่นใดนอกจาก “แมนที่สุด” ตัวละครที่หล่อใสที่สุดในเรื่องนี้ ขอยกตำแหน่งให้ฮยอนซู (แอล วง Infinite) อ่านจากคอมเมนท์ในเว็ปออนไลน์ดูจะมีความเห็นไม่แตกต่างจากคนอื่นๆ แอลเป็นคนที่ป๊อบปูล่าสุดๆ แต่ถ้าจะว่ากันในเรื่องความหล่ออีกแบบหนึ่ง คนที่มีหัวใจหล่อที่สุด จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากพระเอกจิฮยอกของเรา หัวใจของเขา ..หล่อมาก! (และ ผู้เขียนชอบนักแสดงคนนี้มากที่สุด)

ชอบเสียงของจิฮยอก แพ้ทางผู้ชายเสียงห้าวใหญ่ๆ แบบนี้ตลอด ชอบเสียงนิ่มๆ ของซูอา โดยเฉพาะน้ำเสียงที่เธอเรียก “จิฮยอกอ่า” จะฟังน่ารักมากๆ แล้วก็ชอบรอยยิ้มของเธอด้วย

ชอบคาแร็คเตอร์ของตัวละครหลักๆ ทุกตัว โดยเฉพาะ “ยัยแม่มด” เจ้าของค่ายเพลง ที่สวยเนี๊ยบ แต่เฉียบขาด จิตใจก็พอมีความเมตตา แต่กฏต้องเป็นกฏ เมตตาจึงมีอยู่แค่ลึกๆ ในใจ เพราะจะอย่างไรการทำธุรกิจก็ต้องไร้ความปราณี

ความประทับใจ : อย่างแรกก็ต้องความรักของพระเอกนางเอกอยู่แล้ว น่ารัก โรแมนติก ชอบทุกๆ ฉาก ทุกตอน ที่ดูซีรีส์เรื่องนี้ได้ช้าส่วนหนึ่งเพราะมัวแต่รีเพล ฉากของพระเอกนางเอกไม่มีดูน้อยกว่าสามรอบ ( เป็นเอามาก ) ผู้เขียนคิดว่าเรื่องความรักของพระเอกนางเอกเรื่องไหนก็คงโรแมนติกเหมือนๆ กัน แต่ที่จะมีเสน่ห์ให้รีเพลซ้ำๆ อยู่ได้ก็เพราะคาแร็คเตอร์ของตัวละคร อย่างที่บอกไปแล้ว จิฮยอกนั้นดูไม่ถนัดพูดคุยกับผู้หญิงสักเท่าไร เวลาอยู่กับซูอาก็จะเขินๆ แล้วทำหน้าทำตา ทำเสียง ที่มันแข็งๆ ทื่อๆ แต่มันแบบว่า โอ๊ย ...น่ารักไม่ไหวแล้ว ส่วนซูอาจะดูเป็นคนนิ่มๆ เหงาๆ เศร้าๆ ทว่าเวลาอยู่กับจิฮยอกรอยยิ้มของเธอช่างสวยงาม จิฮยอกก็เหมือนกัน ใช่ว่าจะเห็นรอยยิ้มเค้าได้ง่ายๆ ยิ้มแทบนับครั้งได้ แต่เวลายิ้มที ...เฮ้อ หล่อร้ายอะไรอย่างนี้ ชอบมั่กๆ ทั้งตอนเกิดเหตุถุยหมากฝรั่ง ตอนซูอาขึ้นมาที่ห้องบนดาดฟ้าของจิฮยอกครั้งแรกเพื่อขอร้องไม่ให้บอกใครเรื่องสถานะเจ้าหญิงตกยากของเธอ ตอนที่จิฮยอกเปิดประตูมาเจอซูอา พวกเค้าน่ารักมากๆ ^^ ตอนจิฮยอกเล่นดอกไม้ไฟกับเพื่อนๆ บนดาดฟ้าและหันมาเห็นซูอายื่นหน้าออกมาแอบมองพวกเขาจากห้องอีกฝั่ง ตอนจิฮยอกช่วยซูอาหลบนักเลงทวงหนี้ ตอนเธอตกบันได ตอนเขาทำบะหมี่ให้เธอกิน ตอนขี่มอเตอร์ไซด์พาหนี ตอนที่ซูอาร้องไห้และจิฮยอกไม่รู้จะปลอบยังไง เพราะที่พูดทื่อๆ ออกไปก็ฟังแล้วคล้ายจะเป็นการตำหนิมากกว่าคำปลอบโยน ก็เลยแค่ ...กอดเธอเอาไว้ ตอนซูอาเดินตามหลังแล้วร้องเรียก จิฮยอกอ่า ตอนตอกไข่ใส่หน้า และซูอาก็หาโอกาสตอกหน้าจิฮอยกกลับคืนด้วยความขี้เล่นที่แสดงออก และแน่นอน เราแทบไม่เคยเห็นสีหน้าร่าเริงมีความสุขแบบนั้นของเธอในตอนอื่นเลย ตอนฟัง MP 3 ด้วยกัน แล้วจิฮยอกได้รู้ว่าเสียงที่ซูอาบอกว่าชอบหนักหนาและฟังมันอยู่ทุกวันเป็นเสียงของตัวเอง (แอบกลั้นยิ้มอย่างมีความสุขด้วย) ตอนจิฮยอกรูดซิบเสื้อแจคเก็ตแคว่กลงมา และนั่นก็คือว่า เขาคว้ามือของซูอาที่สกปรกเพราะคุ้ยขยะเอามาเช็ด หมับๆ กับเสื้อยืดสีขาวของตัวเอง ( เป็นฉากเท่ฉับพลันไม่ทันคิด ก็เลยแบบว่า กรี๊ดด.. น่ารักสุดๆ) เธอคุ้ยขยะหาMP3ที่หายไปพร้อมกับเสียงร้องเพลงที่เธอชอบฟัง เสียงที่เธอไม่รู้ว่าเจ้าของเสียงก็ยืนอยู่ข้างๆ ตรงนั้น แล้วจิฮยอกที่ก็รู้อยู่ตัวอยู่แล้วแต่ไม่เคยบอก ก็จำต้องยอมแพ้ เลิกหาเถอะ ฉันจะร้องมันให้เธอฟังเอง (กรี๊ดดด น่ารักมากๆ เท่ที่สุด)

ทั้งตอนแลกห้องพักกัน ตอนซูอาแอบเข้ามาอยู่ที่ห้องของจิฮยอก ตอนจิฮยอกกลับมาหาช่วงที่เขากลายเป็นนักร้องดังไปแล้ว และไม่ค่อยมีเวลา ซูอาที่แกล้งบ่นเขาเรื่องผิดสัญญาบอกว่าจะมาหาแต่ก็ปล่อยให้เธอรอเก้อ เธอทำย่นหน้าตำหนิได้น่ารักที่สุด ตอนจิฮยอกรู้ตัวว่าเข้าใจซูอาผิดและขอโทษด้วยการแอบยัดอมยิ้มใส่มือเธอฉากนั้น โอ้ว น่ารักมากมาย (เป็นการขอโทษด้วยการกระทำแทนคำพูด..อีกแล้ว) เอาล่ะๆ เลิกเว่อร์เหอะ สรุปก็คือ ชอบเขาและเธอทุกฉากทุกตอนนั่นแหละ ชอบหน้าหล่อๆ และการทำหน้าทำตาของจิฮยอกที่ทั้งสุดเท่และสุดน่ารัก ชอบหน้าเรียวสวย ปากแดงๆ ตาโตๆ ของซูอา ก็เลยรีเพลอยู่นั่นไม่ไปไหนได้ไกลสักที





ซูอาไม่ปากร้าย ไม่แง่งอน พยายามเข้าใจตลอดว่าจิฮยอกเป็นคนดังและคงยากจะเจอกันได้ น้อยใจก็เก็บเอาไว้ อดทน เฝ้ารอ พอได้พบก็มีรอยยิ้มเป็นกำลังใจให้ ส่วนจิฮยอก ถ้าจะว่ากันด้วยเรื่องนิสัยเรื่องนี้คงต้องคุยกันยาว เป็นตัวละครที่ประทับใจสุด พูดน้อย ต่อยหนัก บุคลิกและสายตาแบบแบดบอยที่ใช่ว่าใครจะแสดงแล้วดูมีเสน่ห์แรงจัดกันอย่างนี้ได้ทุกคน ด้วยทั้งตัวสูง ทั้งหน้าตาที่ดูเป็นผู้ชายแมนๆ การแต่งตัวสไตล์ร็อค และสายตาจ้องมอง พอมารวมๆ กันแล้ว เพอร์เฟ็คต์สมคาแร็คเตอร์ของจิฮยอกมากๆ ผู้เขียนจินตนาการหุ่นอย่างนี้แต่งตัวอย่างนี้แต่เอาหน้าหล่อเทพ ของแอลมาสวม ก็คงจะไม่ได้จิฮยอกในแบบนี้ เพราะแอลหล่อมากเกินไป เขาดูเป็นผู้ชายดอกไม้ มากกว่าจะเป็นแบดบอยแมนๆ ในขณะที่ Sung Joon ผู้รับบทจิฮยอกเขาไม่ใช่คนหล่อจัดจนใสกิ๊กขนาดนั้น จึงดูแมนมากกว่า ..ต้องหักห้ามใจอย่างมากที่จะไม่แคบหน้าอารมณ์ของเค้าในทุกๆ ช็อตมาเก็บไว้น่ะ เพราะรวมหน้าตาคาแร็คเตอร์ออกมากแล้ว..ลงตัวสุโค่ย (หล่อขั้นเทพ เท่ขั้นพรหม)

ถ้าพูดถึงความประทับใจในตัวพระเอก ที่เหนือกว่าความสูงโปร่งและหน้าตาหล่อเหลา ก็คือเรื่องหัวใจหล่อๆ ของเค้านี่แหละ ความจริงแล้วพระเอกก็ต้องทำเท่อยู่แล้วด้วยอะไรหลายอย่างในแบบที่พระเอกควรเป็นและควรทำ และนั่นก็ไม่จำเป็นต้องปลื้มอะไรเป็นพิเศษ แต่ที่ผู้เขียนรู้สึกปลื้มจับใจนั้นมันมีสาเหตุ ..เพราะรู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครอย่างมาก มากซะจนตัวเราเองก็หลงทางตามไปด้วย เพราะคนดูทุกคนก็คงรู้สึกเหมือนกันคือไม่อยากให้อายแคนดี้ต้องแตกแยก มันเป็นความคาดหวังน่ะค่ะว่าคนเป็นหัวหน้าจะต้องยืนหยัดเป็นหลักที่มั่นคงให้กับเพื่อนๆ ประสานรอยร้าวและรักษาอายแคนดี้ไว้ได้ เพราะคนที่เป็นพระเอกก็ควรเป็นผู้นำ เป็นอะไรที่เท่ๆ อย่างนั้นใช่ไหมล่ะ

จึงค่อนข้างรู้สึกผิดหวังที่จุดแรกเริ่มของรอยร้าวมันเกิดขึ้นเพราะปัญหาของจิฮยอกเอง แม้ว่าสถานการณ์อย่างนั้น ถ้าเขาไม่ทำอย่างนั้น จะให้ทำอย่างไร ถึงคำถามนี้จะตอบตัวเองไม่ได้ ก็ยังอดคิดไม่ได้อยู่ดีแหละว่า เขาควรทำอะไรสักอย่างที่อายแคนดี้จะไม่ต้องลงเอยอย่างนี้ ... เขาน่าจะ ....เขาน่าจะ.......ทำอะไรก็ได้ให้ดีขึ้นกว่านี้ เขาควรจะเป็นพระเอกที่กอบกู้วิกฤติของวง มากกว่าจะเป็นคนที่ทำให้วงต้องพบกับวิกฤติเสียเอง ณ ขณะนั้นมันเป็นความผิดหวังจริงๆ นั่นแหละ แม้แต่ดูอิลที่ใจเย็นเป็นน้ำ คนที่มักมองคนอื่นอย่างเข้าใจ และมักจะคอยปรามเพื่อนๆ เวลาที่ถกเถียงไม่ให้ลามปามทะเลาะกัน แม้แต่ดูอิลคนใจเย็นก็ยังพูดเย็นๆ ใส่หน้าจิฮยอกว่า

“ฉันรู้สึกผิดหวังในตัวนายจริงๆ”

เอาเถอะ ในเมื่อเขาก่อปัญหา สถานการณ์มันย่ำแย่ก็จริง แต่เมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้วเขาก็น่าจะแก้ไขได้ กอบกู้ความรู้สึกของคนอื่นๆ คืนมา หรือทำอะไรก็ได้ที่จะไม่ต้องสูญเสียโอกาสไป แต่จิฮยอกกลับทำอะไรไม่ได้เลย ยัง... เท่านั้นยังไม่พอ ที่ผิดหวังยิ่งกว่าคือจิฮยอกต้องทิ้งซูอาไป ถ้าทิ้งกันเสียแต่แรกๆ ก็คงไม่เจ็บอย่างนี้ (ฮือ เสียใจ)

ถึงแม้สมมติตัวเองเป็นผู้เขียนบทแล้วลองคิดดูว่าจิฮยอกควรจะทำอย่างไร ก็คิดไม่ออก แต่ก็ยังอดคิดดื้อๆ ไม่ได้ว่า มาถึงขั้นนี้ทำไมต้องเลิกล่ะ ทำไมคนที่รักกันต้องเลิกกันด้วยความเสียใจ และที่เจ็บหัวใจยิ่งกว่า นอกจากจะผิดหวังในตัวพระเอกแล้วยังผิดหวังในตัวอายแคนดี้ทุกคน ที่พากันก่อปัญหาเพิ่มและทำให้มันแย่ลงเรื่อยๆ จิฮยอกยอมแล้ว เพื่ออายแคนดี้เขายอมกระทั่งต้องทิ้งซูอา แต่ว่ามันเกิดอะไรกันขึ้นที่จิฮยอกต้องมาเจอสถานการณ์ที่ว่า ...เขากัดฟันปล่อยมือจากซูอาไป เพียงเพื่อจะหันกลับมาแล้วพบว่าเพื่อนๆ ได้พากันปล่อยมือจากเขาไป...อีกข้าง แล้วในมือของจิฮยอกก็ไม่เหลืออะไรเลย

“ก็ได้ ถ้าจะเลิกก็เลิก”

อา ...จิฮยอกยอมแพ้แล้ว คำพูดของเขามันช่าง..เสียใจจริงๆ ผิดหวังในตัวจิฮยอกก็พอตัวแล้ว ยังต้องมาผิดหวังกับคนอื่นๆ อีก คนอื่นๆ ที่ไม่มีใครสักคนจะโทษตัวเอง โทษเพื่อนและโทษเพื่อน ซึ่งเพื่อนคนนั้นก็คือจิฮยอกคนที่ยืดอกรับคำต่อว่าสายตาตำหนิ คนที่ได้พยายามอย่างสุดกำลังแล้ว แต่เขาก็ยังถูกทิ้งอย่างโดดเดี่ยว

ที่ผู้เขียนรู้สึกประทับใจในตัวพระเอกมากๆ คือ เขาไม่ปริปาก ไม่คร่ำครวญความเสียใจ ผู้ชายที่หันหลังไปเสียใจลำพัง เขาเสียใจ กระทั่งเผากีตาร์ตัวเองทิ้ง (ฮือ เสียใจได้อีก) เสียใจขนาดนั้น แต่ก็ยังอุตส่าห์ข่มใจแล้วกลับมาหาเพื่อนๆ ของเขา พยายามทำตัวปกติ อยู่ด้วยกัน เป็นเพื่อนกันเหมือนที่เคยเป็นเมื่อก่อน ผู้เขียนหวังจริงๆ ว่า จะมีใครสักคนที่มองเห็นความเสียใจสุดกล้ำกลืนของจิฮยอก หวังจริงๆ ว่าจะมีใครสักคนเข้าใจที่จิฮยอกต้องเสียใจมันแค่ไหนกัน หวังจริงๆ ว่าซูอาจะกลับมาอยู่ข้างๆ เขาในวันที่มืดหม่น แต่ เธอก็ไม่มา เพราะเธอคิดว่ามันเป็นความผิดของเธอเองที่ทำให้จิฮยอกต้องเดือดร้อนและทำให้อายแคนดี้ต้องพบกับจุดจบ แต่เพื่อนที่อยู่ด้วยกันมา น่าจะมีใครสักคนที่เข้าใจเขา ถึงเขาไม่ปริปากอะไรก็น่าจะมีสักคนที่ปลอบโยนเขาได้แม้ว่าจะไม่ได้ร้องขอ



แต่ว่า .. ก็ยังคงไม่ใช่คำปลอบใจ แต่เป็นคำตำหนิ สิ่งที่จิฮยอกได้ทำลงไปโดยไม่บอกใคร (ก็เขาเป็นคนที่ทำมากกว่าพูด) ปัญหาของฮยอนซูที่คนอื่นไม่รู้ แต่จิฮยอกรู้ และอายแคนดี้ที่เป็นแบบนี้ก็ไม่อาจจะช่วยฮยอนซูได้ ถึงฮยอนซูจะได้ชื่อเป็นคนทะเยอทะยาน นั่นมันก็เพราะเขามีเหตุผลที่สมควร เหตุผลที่ทำให้ฮยอนซูต้องอารมณ์เสียโกรธขึ้งเมื่อเพื่อนๆ ไม่ได้มุ่งมั่นทุ่มเทเท่ากับที่เขาทำ หรืออย่างน้อยก็เท่าที่เขาคิดว่าควรจะทำ แต่จิฮยอกรู้ดี ถึงจะไม่พอใจแค่ไหน ฮยอนซูจะไม่คว้าโอกาสที่มีและทิ้งอายแคนดี้ไป และเพราะฮยอนซูจะไม่ทำ จิฮยอกจึงต้องเป็นคนลงมือตัดฮยอนซูออกไปจากวงด้วยตัวเอง

ความทะเยอทะยาน และนิสัยปากร้ายชอบพูดจาทิ่มแทงหัวใจคนของฮยอนซูเนี่ย ทำให้มีหลายๆ ครั้งที่ผู้เขียนนึกอยากจะเกลียดเขา แต่ก็เกลียดไม่ลง และเรื่องของฮยอนซูก็ไม่ใช่เรื่องเดียว ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้เขียนอยากจะได้ยินใครสักคนบอกว่า “มันไม่เป็นไร เลือกทำเพื่ออนาคตของนายเถอะ” ก็เข้าใจพวกวัยทีนที่ยังคงยึดติดกับความเป็นเพื่อนและอยากอยู่ด้วยกันไปตลอด แต่ก็อดไม่ได้ที่อยากจะเห็นความใจกว้างของเพื่อนอย่างนั้นบ้าง แต่ก็ไม่เคยได้เห็น จนกระทั่ง จิฮยอกลงมือทำแบบไม่พูดพร่ำทำเพลงนี่แหละ ความเท่ของเขาจึงกลายเป็นความปลื้มใจพิเศษ อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าปัญหาและอนาคตของฮยอนซูนับจากนี้ สำคัญกว่าเรื่องที่อายแคนดี้จะอยู่หรือไป

สำหรับฮยอนซูปัญหาส่วนตัวที่เขาแบกไว้ก็หนักพอแล้ว การถูกมองเป็นคนทรยศมันเจ็บปวด และเจ็บยิ่งกว่าเมื่อข้อหาทรยศมันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้วงต้องแตกแยก กับสิ่งที่จิฮยอกได้ทำลงไป ถึงจะทำเพื่อเขา แต่เขาควรจะซาบซึ้งใจหรือ ถ้าเพื่อเขาคนเดียวแล้วพวกเราทั้งวงต้องแตกแยก ทั้งหมดมันเป็นเพราะจิฮยอก เพราะจิฮยอกที่ชอบคิดและตัดสินใจเอาเอง

“นี่นายทำอะไร นายทำวงของเราแตก นายทำอะไรลงไป”

อ่ะ ฮยอนซู ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะเนี่ย ทีตอนคนอื่นระแวงสงสัยว่านายหักหลังเพื่อน จิฮยอกเขาทำยังไงกับนาย นายจำได้ไหม เขาอาจไม่พูดอะไรกับใครมาก แต่เขาบอกกับนายว่า นายฟังให้ดีๆ นะฮยอนซู เพราะฉันจะพูดกับนายครั้งนี้แค่ครั้งเดียว "ฉันรักนายนะ" ทั้งความเชื่อใจ ความเข้าใจ และทั้งให้ความเชื่อมั่น-ฉันจะอยู่ข้างนายเสมอ คำสามคำนั้น 'ฉันรักนาย' มันแทนได้ทุกอย่างแล้ว แล้วดูที่นายทำกับเขาสิ มันน่าโมโหมั้ยล่ะเนี่ย (โกรธฮยอนซู)

ขีดความอดทนของคนเราย่อมต้องมีที่สิ้นสุดเหมือนกัน อีกครั้งกับคำพูดที่ว่าเขาเป็นคนทำให้วงแตก “นายทำวงของเราแตก” เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้จิฮยอกหมดความอดทนอดกลั้นและระเบิดมันออกมา

“แล้วนายมาทำอะไรที่นี่ มาพูดว่าให้ฉันควรทำอะไรล่ะ"

"มันผิดด้วยเหรอ ที่ฉันรักซูอาน่ะ ฮะ! ฉันอยากเจอเธอ ฉันก็ไปเจอ
สำหรับผู้หญิงที่ไม่มีที่จะไป ฉันบอกให้เธอไปอยู่ที่บ้านของฉัน
เพราะมันไม่มีคนอยู่แล้ว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับวงของเราล่ะ”

“ฉันเข้าใจความรู้สึกของนายนะ มันก็ไม่ผิดหรอกแต่......”

คยองจองที่ค้านเสียงอ่อยๆ ไม่ทันพูดจบประโยคจิฮยอกก็รู้แล้วว่าเพื่อนจะพูดอะไรต่อ

“แต่ที่ฉันบอกนักข่าวไปว่าฉันมีแฟนแล้ว
เพราะฉันไม่อยากปิดบังมันอีกต่อไป แล้วมันเป็นยังไงล่ะ”

“ฉันเคยบ่นสักครั้งไหมเวลาพวกนายก่อเรื่องน่ะ”

เจ็บอ่ะค่ะ มันก็เป็นความจริงที่เขาไม่เคยปริปากบ่น หรือตำหนิเพื่อนเลยสักคำ

“เพื่อนที่อยู่กับพวกนายมาตลอด แต่พวกนายกลับทิ้งไปเพียงเพราะคำสั่งพ่อแม่”

“ฉันถูกทิ้ง ฉันถูกทิ้งไว้คนเดียวแล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ”

ฮือ .... มันก็จริงอีกนั่นแหละ ถึงพวกเขาจะยังอยู่ด้วยกัน
แต่การทอดทิ้งอายแคนดี้มันก็คือการทอดทิ้งจิฮยอกชัดๆ

"นายยังมีที่ไป ถ้าหากไม่มีวงแล้ว นายยังมีพ่อแม่
นายยังมีพี่สาว นายยังมีน้องสาว แล้วฉันมีอะไรล่ะ”

โฮ.. คำถามนี้อย่างแรงแทงใจดำ

“ซูอาก็โดดเดี่ยวเหมือนกับฉัน
นั่นแหละฉันถึงได้รักเธอมากน่ะ
ฉันอยากจะปกป้องเธอให้มากกว่านี้
แต่ฉันต้องผลักไสเธอออกไปเพื่อจะปกป้องไอ้วงบ้าๆ นี่”

โฮโฮโฮ ผู้ชายโดดเดี่ยวกับผู้หญิงตัวคนเดียวที่เหว่ว้า ความรู้สึกต่อซูอาที่ไม่เคยจะพูดกับเธอออกไปให้ได้รู้ แต่มันอยู่ในใจเขา “ฉันอยากปกป้องเธอให้มากกว่านี้” ตอนนี้ไม่ใช่แค่ไม่มีวง ไม่มีซูอา แต่เขาไม่มีอะไรเลย เนื่องจากละครไม่ได้ปูพื้นเกี่ยวกับครอบครัวของจิฮยอกนัก ก็เลยไม่ได้รู้สึกเข้าใจตัวละครไปถึงจุดนั้น แล้วก็เพิ่งจะส่งเรื่องครอบครัวตามหลังมาย้ำชีวิตโดดเดี่ยวของจิฮยอกหลังจากอารมณ์วงแตกอย่างนี้เนี่ยนะ ไม่ร้องไห้ไม่ไหวแล้วววว มันอ้างว้างเกินไป

ไม่ใช่เฉพาะหนุ่มๆ ตัวละครหรอกที่อึ้ง ผู้เขียนก็อึ้งเหมือนกัน จากที่เคยคิดว่าเข้าใจตัวละครตัวนี้ เข้าใจความเสียใจของเขา แต่ตอนเขาระเบิดออกมา เพิ่งรู้ตัวว่าที่ผ่านมาเราแค่เข้าใจเขาเพียงครึ่งเดียว ไม่ว่าใครที่พยายามจะแย้งเบาๆ ก็โดนจิฮยอกตอกหน้าหงายเงิบ ไม่เว้นแม้แต่คนมีความคิดอย่างดูอิล เสียงที่อ่อนลงของฮยอนซูพร้อมกับการถามหาความเชื่อใจ ที่จิฮยอกควรจะบอกเล่า ควรจะพูดมันออกมา และก็ได้สะอึกกันถ้วนหน้า เพราะคำตอบของจิฮยอกย่อมบอกได้ มันไม่ใช่เพราะความไม่เชื่อใจ ไม่ใช่เรื่องของความเชื่อใจ ถ้าจะพูดกันเรื่องความเชื่อใจสำหรับจิฮยอกแล้ว

“พอแค่นี้เถอะ”

เพราะคำตอบเขานั้นชัดเจนอยู่แล้ว มันไม่เคยมีอยู่ในหัวของเขาเลยสักครั้ง ที่จะคิดยุบวง แล้วถ้างั้นมันเป็นเพราะใครกันล่ะ เอ่อ..ก็..พวกที่ได้แต่ยืนอึ้งกิมกี่ ก้มหน้ามองพื้น ที่เคยๆ รุมโทษจิฮยอกไงเล่า เป็นไงล่ะ จิฮยอกที่ไม่เคยโวยวายอะไร พอปล่อยระเบิดลงครั้งเดียว เพื่อนๆ ยื่นนิ่ง สลดไปเลย (ตายสนิท)

นี่เป็นฉากประทับใจเพราะสีหน้าแววตาของจิฮยอก รวมทั้งน้ำเสียงที่แม้จะระเบิดความในใจออกมา เขาก็ยังสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ ไม่มีความโกรธขึ้งอยู่ในนั้น เพราะถ้ามีจิฮยอกคงไม่มายืนอยู่ที่นี่ ในที่ๆ พวกเขาเคยใช้เวลาด้วยกัน ทั้งหมดนั่นมันก็แค่ความเจ็บปวด

“จะเป็นความรักหรือดนตรี นายก็แค่หลงรักมันตั้งแต่แรก
และถ้ามันเป็นความจริงในหัวใจของนาย
มันจะไม่สามารถอดทนได้ในภายหลัง
เหมือนที่การตกหลุมรักเป็นเรื่องที่ง่าย
แต่การจะทำให้รักเติบโตน่ะเป็นเรื่องที่ยาก”

“ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ แต่นายก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี”

ตอนจิฮยอกอยู่ที่ผับนั่งมองวงดนตรีบนเวทีแล้วช่วงเวลาแห่งความทรงจำที่เคยเล่นดนตรีด้วยกันกับเพื่อนๆ หลั่งไหลเข้ามาในหัว จิฮยอก ลูกผู้ชายหัวใจสุดแมนกำลังร้องไห้

“เด็กอย่างนายต้องโดดเดี่ยวมาก
นายจะรู้ได้ยังไงว่าต้องทำยังไง
นายก็รู้แค่วิธีการเล่นดนตรีเท่านั้น"

“คนอย่างนายว้าเหว่ไปถึงกระดูก
นายเป็นคนที่รู้แต่วิธีเล่นดนตรีเท่านั้น
นายจะทำอะไรได้มากกว่านี้ล่ะห๊ะ
สุดท้ายคนอย่างนายก็ได้แค่เล่นดนตรีเท่านั้น”

“นายมีบุคลิกเหมือนถูกหนามทิ่มแทง
คนอย่างนายก็ได้แต่ไล่ตามดนตรีเท่านั้น”

โอวาทของร็อคคิม อดีตร็อคในตามนาน ยังคงเป็นโอวาทแบบมึนๆ เหมือนทุกครั้ง แต่เราก็เข้าใจ และมันสุดจะตอกย้ำ ที่จริงแล้วจิฮยอกก็เป็นแค่เป็นเด็กหนุ่มวัย 17-18 ปีเท่านั้น เขาแค่รู้จักการเล่นดนตรี จะหวังให้เขาจะรู้อะไรมากกว่านั้น เขาจะไปรู้ได้ยังไงว่าต้องทำยังไงกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับอายแคนดี้ แล้วนี่ผู้เขียนไปหงุดหงิดผิดหวังและคิดแต่จะคาดหวังความเป็นพระเอกเท่ๆ จากเขามากมายได้ไงกัน ไม่ได้แค่ร้องไห้เพราะมีอารมณ์ไปกับตัวละคร แต่ร้องไห้เพราะรู้สึกเสียใจที่ไม่เข้าใจจิฮยอกอย่างถ่องแท้ นี่คงจะเป็นอารมณ์คล้ายๆ กันกับเพื่อนๆ ของจิฮยอกรู้สึกนั่นแหละ (ภาวะอินเข้าขั้น)

“พวกเราคิดว่าพวกเรา รู้ทุกอย่างซึ่งกันและกัน
แต่มันดูเหมือนว่า มันยังมีอีกมากมาย ที่พวกเราไม่รู้”



Shut up flower boy band เป็นเรื่องที่ทำให้ต้องสืบค้นประวัติผู้เขียนบท Seo Yoon Hee แต่ไม่มีชื่อผลงานอื่นใดให้เห็นเลย อาจเป็นนักเขียนหน้าใหม่ หรือไม่ก็เป็นเพราะไม่ถูกบันทึกไว้ใน Dramawiki พล็อตมันก็ธรรมดาไม่ได้หวือหวาอะไร แต่เขาเขียนบทเขียนคาแร็คเตอร์ให้ตัวละครได้ดีมีเสน่ห์ทุกคน และถ้าจะชื่นชมอย่างที่สุด ก็คือตอนจบของเรื่อง เชื่อว่าคงไม่มีใครคิดว่าเรื่องจะจบลงแบบนั้น คำถามคือ คุณคิดว่านั่นเรียกว่าแฮปปี้เอนดิ้งหรือเปล่า สำหรับตัวผู้เขียนนั่นมันแฮปปี้ที่สุดแล้ว คงเป็นความจริงที่มีคนกล่าวไว้ว่า การเดินทางนั้น บางครั้งจุดหมายอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่มันสำคัญอยู่ที่..ระหว่างการเดินทางที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ได้เรียนรู้และเก็บเกี่ยวอะไรไป บทเรียนครั้งสำคัญของเพื่อนแท้ ที่หากมีตัวตนอยู่จริง พวกเขาคงจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป

ก็ยังคงเป็นจิฮยอก ที่มองเห็นความจริงบางอย่างที่เพื่อนๆ ของเขาได้มองข้ามไป เป็นจิฮยอกที่รู้จักเพื่อนของเขาแต่ละคนอย่างดีที่สุด คิดถึงพวกเขา คิดแทนพวกเขาอย่างใส่ใจ และก็เป็นจิฮยอกที่ต้องตัดสินใจ และมันก็เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ ที่เท่จับใจ

"หัวใจของฉันก็คือหัวใจของนาย และหัวใจของนายก็คือหัวใจของฉัน"

“เรามาลองใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ด้วยตัวของพวกเราเอง”

Create Date :01 เมษายน 2555 Last Update :15 มีนาคม 2556 12:40:05 น. Counter : Pageviews. Comments :13