bloggang.com mainmenu search


ภาพและข้อมูลจาก DramaWiki
Title : LIFE
Genre: School drama
Original writing: Suenobu Keiko
Screenwriter: Nedu Rika
Director: Tanimura Masaki
Episodes: 11 Viewership ratings: 12.2(Kanto)
Broadcast : Fuji TV 2007-Jun-30 to 2007-Sep-15 Saturday 23:00
Theme song: LIFE by Nakashima Mika

54th Television Drama Academe Award
Best Director - Tanimura Masaki
Best Supporting Actress - Fukuda Saki


Life ชีวิตต้องสู้ ดูแล้วอยากตบตัวละครเรียงตัว

แม้จะเป็นการตั้งชื่อบล็อกที่ก้าวร้าวอยู่สักไม่น้อย

แต่ .. ไม่ได้ล้อเล่นนะคะ ดูแล้วมันอารมณ์ขึ้น

ฮึ่ม! ขึ้นเลย ขึ้นเลย! อารมณ์อย่างนั้นเลยจริงๆ ค่ะ




Life เป็นเรื่องของเด็กนักเรียนแกล้งกัน การกลั่นแกล้งในโรงเรียนที่เป็นปัญหาของใหญ่ของบ้านญี่ปุ่นเขา และบ้านเราถึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่ก็ไม่ใช่ไม่มี ซึ่งตัวผู้เขียนเองในวัยเล่าเรียนที่ได้เคยประสบพบเจอกับตัวเอง หรือที่มีประสบการณ์รับรู้ บางเรื่องก็ไม่ได้รู้สึกแม้แต่น้อยว่ามัน “ไม่แรง” ยิ่งในสังคมทุกวันนี้ที่เปลี่ยนไป ยิ่งไม่รู้ว่าเด็กๆ จะแอบพัฒนาการกลั่นแกล้งให้มีระดับความแรงเพิ่มขึ้นกว่าสมัยเก่าก่อนหรือเปล่า



Life เป็นซีรีส์ที่ทำให้นึกถึงวัยเยาว์เล่าเรียน และชื่อเพื่อนๆ ก็ผุดขึ้นมาให้นึกถึงอยู่หลายๆ คน แม้บางคนนั้น จะเป็นเพียงภาพลางเลือนที่นึกหน้าตาไม่ออกก็ตาม เพื่อนนักเรียนชายตัวกลั่นแกล้ง ตัวเบ่ง ตัวหงอ เพื่อนนักเรียนหญิงป๊อบปู่ล่า กลุ่มสวยสาว-พาวเวอร์สูง การข่มกันของเด็กๆ และการเขม่นกันของนักเรียนวัยรุ่น

ตอนเป็นเด็กประถมเล็กๆ การแกล้งกันเป็นพฤติกรรมซื่อตรง แกล้งก็คือแกล้ง แต่เมื่อเป็นวัยที่โตขึ้นการแกล้งกันมันไม่ใช่รูปแบบของการแกล้งแบบเด็กๆ อีกต่อไป แต่เป็นไปในลักษณะการแบ่งพรรคแบ่งพวก การตั้งป้อมแอนตี้และการกีดกันออกจากกลุ่ม พอดูซีรีส์เรื่องนี้แล้ว มันก็ทำให้คิดได้ว่าที่จริงแล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ไกลตัวจนจะกล้าเอ่ยปากได้ว่า Life เป็นเรื่องแกล้งกันจากการ์ตูนที่ห่างไกลความเป็นจริง



ชิบะ อายูมุ เป็นเพื่อนรักเพื่อนซี้กับ ชิโนสุกะ ยูโกะ ทั้งสองคนกำลังกำลังอยู่ในช่วงเตรียมตัวข้ามรอยต่อระหว่างวัยนักเรียนมัธยมต้นสู่มัธยมปลาย ด้วยแรงบันดาลใจที่ฝังจำ ยูโกะใฝ่ฝันจะได้เข้าโรงเรียนดีมีระดับแห่งหนึ่ง (เข้าใจว่าเป็นโรงเรียนหรูไฮ) เมื่อเป็นโรงเรียนดีๆ เด็กหัวดีๆ ย่อมต้องมุ่งหมายไปสอบเข้าเรียน อายูมุไม่ใช่คนเรียนเก่ง แต่เพราะรักเพื่อน ไม่อยากแยกจากกัน เมื่อเพื่อนต้องการจะเข้าโรงเรียนแห่งนั้น มันจึงเป็นความจำเป็นที่อายูมุจะต้องพากเพียรกับการเรียนการสอบเพื่อหวังจะสอบได้แล้วติดสอยห้อยตามไปอยู่โรงเรียนเดียวกัน



อายูมุจึงให้ยูโกะช่วยติวให้ แต่ทำไปทำมาผลกลับกลายเป็นว่าเพื่อนร่วงตัวเองรุ่ง เรื่องเกินหน้าเกินตากันอย่างนี้บางทีมันเป็นความจริงที่ยากจะรับไหวกับคำถาม "ทำไมต้องเป็นคนอย่างเธอด้วย" (ที่เรียนไม่เก่ง ต้องคอยพึ่งฉัน แต่ดันสอบได้) อายูมุสอบติดอย่างที่หวัง แต่ผลของมันผิดความตั้งใจ เพราะยูโกะดันสอบตกหัวใจหกคะเมน เอาความโกรธไปลงที่เพื่อนถึงขั้นฉันกับเธอทางใครทางมัน ตัดขาดความสัมพันธ์โลด แล้วยังแบกความเสียใจเป็นแรงโน้มถ่วงพาตัวเองร่วงไปสู่การฆ่าตัวตาย



ตัวสอบได้เพื่อนสอบตก เข้าใจเลยว่าอายูมุจะรู้สึกอย่างไร เพราะบังเอิญเคยมีประสบการณ์คล้ายกัน ณ บอร์ดประการคะแนนในวันประกาศผลสอบ วันที่เราสอบได้ และเพื่อนที่หวังจะไปเรียนด้วยกันดันสอบไม่ติด มันเป็นอารมณ์ตีบตัน แบบที่ไม่อาจยินดีกับตัวเองและไม่กล้าแม้แต่จะแสดงความเสียใจกับเพื่อน จะให้พูดว่าอะไร เสียใจด้วยนะ ในขณะเราเป็นคนสอบได้ หรือจะบอกว่า อย่าเสียใจเลย นั่นเราก็พูดได้สิเพราะเราไม่ใช่คนที่สอบไม่ติดนี่ หรือจะบอกว่า ไม่เป็นไรหรอกนะ ไม่ได้เรียนที่นี่ไว้ค่อยหาโรงเรียนอื่นก็ได้ นั่นมันออกจะฟังดูโหดร้ายเกินไปไหมในเมื่อเราเป็นคนที่ได้เข้าเรียนทั้งที่ก็ไม่ได้อยากมาเรียนแต่ถูกบังคับและด้วยภาระซึ่งการแบกศักดิ์ศรีสองสามอย่างเอาไว้มันก็เป็นความจำเป็นที่เราต้องสอบให้ได้ ส่วนคนที่เลือกจะมาด้วยใจฝักใฝ่กลับสอบไม่ได้และต้องเตรียมหาที่เรียนแห่งใหม่ ตลอดระยะทางที่นั่งรถสองแถวกลับบ้านด้วยกัน (เด็กอำเภอบ้านนอกเดินทางมาสอบเข้าเรียนโรงเรียนในเมือง) ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอย่างไรกับเพื่อนดีในสถานการณ์อย่างนี้





การที่เพื่อนฆ่าตัวตายเป็นปมในใจที่อายูมุไม่อาจดันทุรังตั้งหน้าไปเรียนยังโรงเรียนในฝันของเพื่อนได้ เธอสละสิทธิ์การสอบและหันไปเรียนโรงเรียนอื่น บางทีมันอาจช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเพื่อนให้จางลง และวันหนึ่งเราอาจจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้

เรื่องของยูโกะ ทำให้อายูมุ กลายเป็นคนที่กลัวการทำร้ายจิตใจคนอื่น ณ โรงเรียนใหม่จึงไม่กล้าจะผูกสัมพันธ์เป็นเพื่อนกับใคร เพราะอาจจะเผลอไปทำอะไรให้เพื่อนผิดหวังเสียใจได้ในภายหลังเหมือนอย่างที่ยูโกะเป็น แต่แล้วความเงียบๆ เศร้าๆ ของเธอก็ไปสะกิดสายตาของใครคนหนึ่ง ใครคนนั้นที่หยิบยื่นน้ำใจมาให้ด้วยความเมตตาชโลมใจ ช่วยให้โลกในโรงเรียนของอายูมุสดใสขึ้น ใครคนนั้นคือ “ อันไซ มานามิ” ผู้โปรยรอยยิ้มเยือน ผู้เกี่ยวก้อยสัญญาเป็นเพื่อน อายูมุเริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นในการมีเพื่อนๆ ดีๆ สักคน อีกครั้ง




แต่มันก็แค่ความสุขสั้นๆ ในวันแรกๆ เพราะต่อมาไม่นานนัก มันได้กลายเป็นทุกข์ขนัดอันยาวนาน

ซึ่งต่อไปนี้จะชี้แจงแถลงตัวละครเรียงตัว ที่ผู้เขียนอยากเหลือเกิน อยากไล่ตบแบบวันบายวันตบให้หน้าหันทีละคน (ก็ห้าวเว่อร์แค่ตอนเขียนบล็อกนี่แหละค่ะ ในชีวิตจริงจะมีความสามารถอะไรไปสู้กับใครที่ไหนได้)



อันไซ มานามิ สอบป๊อบปูล่าในโรงเรียน สวย รวย และแอ๊บแสนดี๊แสนดี บีบน้ำตาขี้แยเป็นนางเอ๊กนางเอก แต่ที่จริงชีสุดร้าย หน้าตาสวยใสแต่ใจดำปิ๊ด ดูซีรีส์นักเรียนร้ายเรื่องอื่นๆ ก็ยังพอได้เห็นแววสลดในดวงตาของตัวร้ายอยู่บ้างยามหนักมือเล่นกันแรง แต่ยัยเนี่ย! ไม่มีเลย ! ยิ่งแรงยิ่งสะใจ ยิ่งแย้มยิ้มมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

ซากิจัง ตอนเห็นเรื่องก่อนใน Dear Father ยังเป็นเด็กน้อยใสซื่อวิ่งตาม นิโนมิยะ คาซึนาริ อยู่ต้อยๆ ส่งคำเรียกขาน โอเน่จังๆ กับความใฝ่ฝันโตขึ้นเค้าจะเป็นเจ้าสาวของโอเน่จังอยู่เลย มาเรื่องนี้ชีเป็นสาวสวยและร้ายชนิดนางอิจฉาในละครไทยบ้านเรามาเจอเธอเข้าอาจมีชะงัก แม้เธอไม่ได้เข็นคาแร็คเตอร์นางร้ายเข้าแข่งขันแบบวี๊ดว๊ายกระตู้วู้ส่งเสียงกรีดร้องไร้สาระให้หนวกหู แต่ท่าทียิ้มเยาะ กับสัญญาณร้ายลึกในดวงตาภายใต้กริยาสงบ ประกอบเข้ากับจังหวะการโผล่หน้าโผล่ตาออกมาในหลายๆ ซีนของเธอ ก็ทำให้รู้สึกอย่างกับนั่งดูหนังแรงๆ เกี่ยวกับคนมีปัญหาทางจิต ( นึกถึงหนังเรื่อง The room mate ขึ้นมาเลยทีเดียว) เพราะหนูซากิแสดงร้ายได้สุดก๋า งานนี้จึงได้รับรางวัลเป็นเครื่องการันตีความร้าย Best supporting actress เกินหน้าเกินตาน้องหนู คิตาโนะ ไคอิ ผู้รับบทนางเอก ที่ผู้เขียนฟันธงก่อนเปิด Dramawiki ว่าเรื่องนี้มีรางวัลซับน้ำตาเป็น Best actress แน่นอน แต่กลับไม่ได้แฮะ ก็ต้องไปดูกันว่าฤดูกาลนั้น รางวัลนี้ตกเป็นของนางเอกคนไหนเรื่องอะไร เพราะไคอิก็เล่นได้ดีจริงๆ แต่อาจยังมีคนที่เล่นเรื่องอื่นได้ดีกว่าในบทที่เหนือกว่า

กับซากิจัง เราจะได้พบกันอีกเร็วๆ นี้ เพราะเธอรับบทภรรยาแม่ของลูกให้กับ อิชิฮาระ ฮายาโตะ ในเรื่อง Run away (หุหุ ต้องหาเรื่องมาเอ่ยถึงเขาคนนี้จนได้แหละ ) และมีหนังเรื่อง IS ของเธอค้างอยู่ในกรุด้วย



ซาโกะ คัตสึมิ ความกดดันที่ต้องคอยรองรับอารมณ์รุนแรงและมือทีนอันหนักหน่วงของบุคคลในครอบครัวที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อบังเกิดเกล้า ส่งผลต่อจิตใจให้ไม่ปกติและระบายความคับแค้นออกมาเป็นความรุนแรงด้วยเช่นกัน ภาพลักษณ์เบื้องหน้าคือหนุ่มป๊อบหน้าตาดีผลการเรียนเด่นและเป็นแฟนกับสาวป๊อบผู้เพียบพร้อมอย่างอันไซ มานามิ ส่วนเบื้องหลังที่ไม่มีใครรู้คือการมีงานอดิเรกด้วยการหลอกล่อผู้หญิงไปทำร้ายร่างกาย ทารุณจิตใจด้วยการถ่ายภาพสะสมเป็นคอเล็คชั่นและเป็นเครื่องมือขู่บังคับให้เหยื่อผู้ถูกกระทำปิดปากให้สนิท



สมกันอย่างกะ กิ่งตำแยกับใบหนาด หญิงก็ร้ายชายก็เลว ปกติปมชีวิตส่วนตัวของตัวละครมันต้องมีแง่มุมให้น่าสงสารกันบ้างล่ะ มานามิ-แม้พ่อจะรักดั่งแก้วตาแต่ก็ยังเป็นรักที่ให้ความอบอุ่นไม่พอ ซาโกะ-กระสอบทรายตัวเป็นๆ ที่สะบักสะบอมเพราะต้องรองมือรองทีนพ่อผู้มีจิตอารมณ์รุนแรง แต่สิ่งที่สองคนนี้กระทำต่อผู้อื่น มันก็ทำให้ไม่เหลือความเห็นใจใดไว้เป็นเครื่องผลักดันความสงสารออกมาได้เลยแม้แต่สักขี้เล็บ



โดยเฉพาะที่รุมกระทำต่อน้องหนูอายูมุนางเอกของเรา มันให้อภัยกันไม่ได้ และถ้าน้องหนูอายูมุยอมให้อภัยคนเหล่านี้ง่ายๆ ตามสไตล์นางเอกแสนดี เจ๊จะขอลิตท์รายชื่อหนูเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่น่าโดนตบกะโหลกด้วยเหตุผลที่เป็นคนแสนดีเกินเหตุ



ฮิโรเสะ โนโดกะ แม้ตัวเธอเองก็ถูกแกล้งจนเข้าใจดีว่ามันรู้สึกอย่างไร แต่ทางเดียวที่จะรอดได้คือต้องเปลี่ยนเป้าหมายความสนุกของคนแกล้งให้หันไปหาเหยื่อรายใหม่ และแน่นอน ชิบะ อายูมุ คือเหยื่อผู้ถูกเลือก

ครั้งหนึ่งอายูมุเคยจำใจต้องเมินฮิโระ เพื่อรักษาน้ำใจของมานามิผู้เกี่ยวก้อยสัญญาเป็นเพื่อนโดยไม่มีคำว่าหักหลังกันเอาไว้ แต่สิ่งที่ฮิโระเข้าใจ นั่นมันต่างกันตรงไหนกับการเกาะมานามิไว้เพื่อเอาตัวรอด และความแล้งน้ำใจของอายูมุนั่นก็ส่งผลให้เธอต้องถูกกลั่นแกล้ง โดยไม่มีใครสักคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแม้แต่ตัวอายูมุเอง ดังนั้น มันเป็นความจำเป็นที่ฮิโระต้องดิ้นรนหาทางออก และเธอก็พบทางออกที่สวยงามซะด้วย นั่นคือการเฉดหัวส่งอายูมุขึ้นครองตำแหน่ง "เหยื่อ" ผู้สมควรได้รับการกลั่นแกล้งแบบขึ้นแล้วหาทางลงไม่เจออีกเลย มีแนวโน้มจะถูกแกล้งอย่างถาวร



โซโนดะ ยูกิ อดีตเหยื่อถูกแกล้ง ผู้สุดแสนจะเกลียดชังการข่มเหงรังแก แต่ชังแล้วได้อะไร เพราะไม่เลยที่จะเอาประสบการณ์ความเจ็บปวดมาเป็นแรงผลักดันให้ยื่นมือออกไปช่วยยับยั้งการกลั่นแกล้งที่เห็นๆ กันอยู่ต่อหน้าต่อตา แค่สายตาที่เฝ้ามอง ไม่ชอบคนแกล้ง และความรู้สึกเห็นใจคนถูกแกล้ง ก็ถ้ามีอยู่แค่นั้น แล้วมันจะช่วยอะไรได้ หากไม่มีความกล้าหาญพอจะก้าวออกไป แล้วหยิบยื่นน้ำใจเข้าช่วยเหลือ ตอนแรกคาดหมายเต็มที่ว่า อ่า .. เรื่องนี้กำลังจะมีพระเอกผู้ปกป้อง แม้หน้าตาไม่ปลื้ม (ขอคนหล่อๆ แทนได้ไหม) ก็แอบดีใจ เห็นเงียบๆ ขรึมเดี๋ยวเขาได้ลุกมาต่อต้านการแกล้งแบบอกผายไหล่ผึ่งอย่างน่าพึงพิง ที่ไหนได้ เห็นแล้วอนาถ แม้เขาจะเห็นพลังนักสู้ของนางเอกเป็นตัวอย่างและค่อยๆ กล้าที่จะสู้ขึ้นมาบ้าง แต่มันก็ไม่ทันแล้ว ไม่ทันความรู้สึกของผู้เขียนที่เห็นความหงอของหมอนี่แล้วสุดเซ็ง



สาวสมุนขุนพลนักแกล้ง เหล่านี้คือบริวารของหัวโจกอันไซมานามิ เธอๆ ผู้ไม่เคยสนใจความทุกข์ ความร้อนของใครอื่น ลูกพี่มานามิว่าอย่างไร ลูกน้องว่าอย่างนั้น ชี้นกเป็นนก ชี้ว่าแกล้งลงมือแกล้งสนองใจท่าน จิตสำนงสำนึกเป็นเช่นไรไม่เคยรู้จัก จนกว่าความเดือดร้อนจะสะท้อนเข้าตัวและถูกหมายหัวซะเองนั่นแหละ พวกนี้ถึงจะรู้สึก



พวกเสียงนกเสียงกา ได้แต่ส่งเสียงคอยล้อคอยแหย่ หรือไม่ก็หัวเราะสนุกซ้ำเติม รู้ .. เห็น ใครแกล้ง ใครถูกแกล้ง แล้วไงล่ะ มันไม่ใช่เรื่องของฉันนี่ ก็สนุกดีออกเพราะการมีใครคนหนึ่งโดนแกล้งมันเป็นความน่าสมเพชที่น่าหัวเราะจะตายไป พวกผู้หญิงนี่ช่างโหดร้ายอย่างน่ากลัว

เอาเข้าจริงพวกที่เพิกเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อนพวกนี้ยังน่าตบมากกว่าพวกกลั่นแกล้งซะอีก พวกนี้แหละเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาการกลั่นแกล้ง ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่สองหนุ่มนี้ลุกขึ้นมาช่วยอายูมุ แต่ขอบอกว่านั่นมันช้าไป จึงไม่มีความซึ้งน้ำใจใด นอกเสียจากอารมณ์ประมาณว่า โหยยย แกก็ยังอุตส่าห์คิดได้เนาะ ไหนๆ ก็ความรู้สึกช้าแล้ว ไม่รอเรียนจบไปซะก่อนล่ะ ค่อยมารู้สึกตัวว่าควรช่วยเพื่อน แต่นี่ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นเมื่อใครคนหนึ่ง สองคน สามคน เริ่มลุกขึ้นมาต่อต้านการกลั่นแกล้ง พวกนักแกล้งก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรได้ตามสะดวกเหมือนกัน แล้วถ้าหากเพื่อนร่วมห้องไม่เพิกเฉยแต่ร่วมพลังต่อต้านการการแกล้งกัน แสดงออกให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องตาขาวของคนขี้ขลาดที่หลงคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งเพราะแกล้งคนอื่นได้ ปัญหามันก็จะทุเลาและจะหายไปได้ในที่สุด (เชื่อเช่นนั้น)



เอาอีกอารมณ์หนึ่ง เมื่อตอนพวกนี้ทำเป็นลุกขึ้นมามีปากมีเสียงอย่างมีพลังบ้าง มันก็เป็นตอนที่นางเอกของเราได้เปลี่ยนแปลงจากน้องหนูขี้แยมาสวมหัวใจนักสู้บ้างแล้ว ดังนั้น ถ้าเป็นนางเอกเองจะตะโกนใส่หน้าพวกนี้ว่า ช้าไปแล้วย่ะ ตอนนี้ฉันไม่ต้องการพวกแกแล้ว ( 555 อินจัด ) แต่ก็เอาเถอะ เป็นพวกความรู้สึกช้า ก็ยังดีกว่าไม่รู้สึกรู้สาเลย



โทดะ วากาเอะ ครูไหวใจร้ายที่ว่าแน่ ต้องถอยชิดซ้ายหลบยัยครูคนนี้ไปไกลๆ หมดยุคของครูเจ้าระเบียบที่ใส่ใจ นี่มันเป็นยุคใหม่ของครูใจจืด ครูใจดำที่ปล่อยปะละเลย มองด รู้เห็น แต่มันไม่ใช่เรื่องของฉันนี่ ภายในชั้นจะแกล้งกันน้ำเน่าอย่างไรไม่สำคัญ ขอแค่ภายนอกนั้นชั้นเรียนของฉันไม่มีใครรู้ว่ามีปัญหา ตราบใดที่เรื่องยังไม่ถึงครูอังคณา ทุกอย่างจะโอเค ไม่มีการแกล้งกัน พราะฉันเป็นครูที่..เอาอยู่



อิวากิ มาซาชิ ความจริงที่เกิดจะเป็นอย่างไร นักเรียนคนไหนจะเคราะห์ร้ายถูกแกล้งช่างหัวมัน ขอแค่ไม่มีปัญหาโผล่ออกมาให้คนภายนอกรู้เห็น เราเป็นโรงเรียนดีมีชื่อเสียง เราต้องไม่ถูกเสื่อมศรัทธาเพราะแปดเปื้อนปัญหาการแกล้งกัน ดังนั้น นอกจากจะไม่ยอมรับความจริงว่าโรงเรียนมีปัญหา เด็กมีปัญหา ยังปกปิดปัญหาว่าทุกอย่างโอเค โรงเรียนของเรา...เอาอยู่



เทซากิ โย รับรู้ความเป็นไป แต่ไม่เดือดร้อนซะอย่างใครจะทำไม อะไรก็ได้ อย่างไรก็ได้ ตามที่ครูส่วนใหญ่คิด และตามที่ผอ.ตัดสินใจ



แต่ด้วยโลกนี้ไม่ได้มีแต่เรื่องร้าย และไม่ได้มีแต่คนใจร้าย คนใจดีก็ยังพอหาได้ แม้ว่าคนดีๆ เหล่านี้ จะต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ บ้าง พ่ายแพ้บ้าง แต่พลังของคนดีที่ต่อสู้จะไม่ไร้ความหมายอย่างแน่นอน

คนดีไม่มีที่อยู่ ฮิราโอกะ มาซาโกะ คุณครูไฟแรงที่สุดกระตือรือร้น เอาใจใส่ต่อปัญหาของนักเรียน เธอพบปัญหาการกลั่นแกล้งกันอันเป็นปัญหาสำคัญที่ก่อนอื่นครูต้องยอมรับว่ามีอยู่จริงและร่วมกันหาทางป้องกันแก้ไข แต่ด้วยเธอปราศจากแนวร่วมจากครูท่านอื่นๆ งานนี้เธอจึงเป็นครูหัวเดียวกระเทียบลีบ และความพยายามของเธอที่จะช่วยเหลือนักเรียน ก็เป็นเพียงน้ำน้อยที่แพ้ไฟ แถมยังโดนนักเรียนตบซะหน้าหัน จริงอยู่เธอเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ช่วยใครก็ไม่ได้ แต่ความจริงใจที่จะชี้ผิดชี้ถูกมันก็เป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ในหัวใจ อย่างน้อยก็มีนักเรียนบางคนกล้าที่จะก้าวออกมาและเปิดเผยความจริงของการกลั่นแกล้งในชั้นเรียน อย่างน้อยก็กล้าที่ลุกขึ้นมาบอกว่าครูที่ใส่ใจนั้นถูกต้องแล้ว แต่ครูที่เพิกเฉยนั่นแหละ คือส่วนหนึ่งของปัญหาการกลั่นแกล้ง

และโลกนี้จะสวยงามขึ้น ถ้ามีคนแบบเธอคนนี้อาศัยอยู่เยอะๆ



นางฟ้าของอายูมุ ฮาโตริ มิกิ ตกหลุมรักตัวละครนี้ตั้งแต่แรกๆ เพราะเธอสวย เธอสงบนิ่ง เธอดูเดียวดายแต่ให้ความรู้สึกร่มเย็นเหมาะแก่การเป็นที่พักใจของคนโดดเดี่ยวที่โดนกลั่นแกล้งอย่างอายูมุโดยแท้ และที่สำคัญเธอเป็นคนใจคอหนักแน่นไม่หวั่นไหวกับเสียงนกเสียงการอบตัว ไม่กลัวคนรักคนเกลียด



เหตุเพราะหน้าตาดีกว่าใคร ไม่หงอให้ใครแล้วยังกล้าหาญชาญชัยต่อต้านแก๊งมานามิด้วยการสาดถังน้ำใส่โครมอย่างไม่เกรงกลัว ฉากนั้นนึกว่ามานามิจะพาเพื่อนรุมกินโต๊ะฮาโตริซะอีก ไม่รู้เพราะอึ้งหรือเพราะไม่กล้าซึ่งๆ หน้ากับคนที่รู้ว่าเธอจะสู้ยิบตาแน่ ก็เลยทำตัวเป็นหมาลอบกัดด้วยการลอบแกล้งเอาทีหลัง ฮาโตริจึงเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกแกล้ง



แต่มันก็แค่นั้น ใครกันจะอยากยืดเยื้อแกล้งคนที่แน่จริง แกล้งแล้วไม่ทุกข์ไม่ร้อน นอกจากไม่สนุกแล้วยังทำให้เสียอารมณ์อีก แกล้งเอารองเท้าไปซ่อนเธอก็ไม่เดือดร้อน ไม่กระวนกระวายเสาะหา ก็แค่เดินนวยนาดด้วยเท้าเปล่าก้าวเข้ามาในห้องเรียนอย่างสง่าผ่าเผย (อ่า ... ชอบฉากนี้จังเพราะฮาโตริอย่างเท่) ที่เธอเป็นอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะดูเป็นคนหยิ่งๆ เย็นชาแบบช่างมันฉันไม่แคร์หรอกนะคะ แต่เธอจะออกแนว “ฉันไม่เป็นไร” เธอไม่เป็นไรกับเรื่องแค่นี้ เพราะมีเรื่องอื่นๆ ในชิวิตที่เป็นไรมากกว่า และไม่มีเวลาจะมาสนใจอยู่กับเรื่องกลั่นแกล้งไร้สาระจากคนที่ไม่ได้มีสาระอะไรกับชีวิตของเธอเลย



อายูมุแอบปิ๊งฮาโตริตั้งแต่แรกเห็น ออกอาการศรัทธาเพื่อนขายาวคนนี้ตั้งแต่ได้รับรอยยิ้มที่เธอมอบให้ ฮาโตริไม่ค่อยมาโรงเรียน ไม่สุงสิงกับใคร ไม่มีใครยุ่งกับเธอนอกจากเสียงนกเสียงกาที่เมาท์มอยเธอในทางไม่ดี แต่เธอก็ดูไม่เป็นไร เธออยู่ได้โดยไม่หวั่นไหว ไม่จำเป็นต้องหาข้อแก้ตัวลบล้างคำนินทา ไม่ต้องมีเพื่อนรุมล้อมสักคนด้วย (นั่นน่าจะเป็นบุคลิกที่เท่บาดใจ) เมื่อยามไม่มีใครแล้วฮาโตริหยิบยื่นน้ำใจมาให้จนกลายเป็นเพื่อนกัน ความสัมพันธ์ของฮาโตริกับอายูมุ จึงดูเหมือนพี่สาวผู้แข็งแกร่งกับน้องสาวผู้อ่อนแรง(เพราะถูกแกล้ง) มากกว่าจะเป็นเพื่อนกับเพื่อนที่เท่าเทียมกันในวุฒิภาวะ



เธอคือผู้มีสายตาแลเห็นความทุกข์ร้อนของอายูมุ และไม่ได้ปล่อยมันผ่านเลยไป เธอช่วยเหลือ เธอเป็นกำลังใจ เธอส่งมอบความกล้าหาญให้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่านางฟ้าของอายูมุได้อย่างไร แล้วที่เสียน้ำตาครั้งแรกก็เพราะนางฟ้าคนนี้แหละ ในยามที่ชีวิตในโรงเรียนของอายูมุไม่เหลือใครกับการกลั่นแกล้งที่ร้ายกาจเกินรับไหว ณ สถานีรถไฟที่อายูมุเกือบจะโดนลงไปให้รถไฟทับตาย “กอดของนางฟ้า” เรียกน้ำตามากมาย อารมณ์เดียวกันกับตอนที่เรากำลังต่อสู้กับปัญหาบางสิ่งบางอย่างอยู่ตามลำพัง เราไม่เป็นไร เราไม่ร้องไห้ ไม่ว่าปัญหามันจะประเดประดังเข้ามายังไง เรากัดฟันสู้กับมัน แล้วอยู่ๆ ใครคนหนึ่งก็หยิบยื่นความเอื้ออาทรมาให้ น้ำใจที่ไม่ได้คาดหวังจะได้รับ แต่พอได้รับ ความเข้มแข็งไม่รู้ละลายหายไปไหนเพราะทันทีทันใดกับการสัมผัสน้ำใจคือร้องไห้โฮ



กอด .. จากอ้อมแขนและฝ่ามือที่ลูบหัวของนางฟ้า จึงเป็นฉากเรียกน้ำตาให้ไหลพรากๆ

แต่ถ้าเปลี่ยนฮาโตริเป็นผู้ชายและกลายเป็นพระเอกของเรื่องได้จะดีมากๆ เปลี่ยนจากนางฟ้ามาเป็นเทพผู้พิทักษ์ จากดราม่าจัดหนัก แอบแฝงรักเบาๆ เป็นโรแมนติกด้วยคงจะน่าดูชมยิ่งกว่านี้มากเลยนะเอย

ชอบเธอ เพราะเธอเท่มาก โผล่มาแต่ละครั้งเธอมาอย่างได้ใจ คำพูดจาของเธอไม่ว่าจะกับเพื่อนหรือกับครูไม่ได้มีอะไรรุนแรง แต่มันก็กระแทกกระทั้นอย่างมีพลังพอจะยับยั้งสถานการณ์หรือกระตุ้นต่อมละอายใจของคนได้



ส่วนท่านเหล่านี้คือพ่อๆ แม่ๆ แต่ละสไตล์การเลี้ยงลูก การเข้มงวด การละเลย การตามใจแบบผิดๆ ที่พวกเขาจะได้เรียนรู้และรับผลตอบสนอง (เจอป้ามากิอีกแล้ว)



บอกใคร ใครจะไปเชื่อกันง่ายๆ ว่า เรื่องของนักเรียนแกล้งกันมันสนุก มันได้ใจชนิดไม่อยากหลับอยากนอน นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นบ่อยๆ กับซีรีส์ญี่ปุ่น ที่มักจะแค่ดูกันเรื่อยๆ เพราะมันก็สั้นๆ เดี๋ยวก็จบไม่ต้องรีบร้อน ดูไปก็หงุดหงิดเมื่อไหร่น้องหนูอายูมุจะลุกขึ้นมาสู้แล้วส่งสายตา..ไม่กลัว ..กล้า ..อาฆาต (จองเวรได้ด้วยยิ่งดี) เหมือนอย่างภาพไตเติ้ลตอนอายูมุแหงนมองมานานิ ที่โยนโต๊ะเรียนลอยละลิ่ว โยนหนังสือปลิวว่อนลงมาจากอาคารเรียน



หรือไม่ก็ตอนกระชับจับด้ามไม้ถูพื้นส่งสายตาจ้องเป๋ง ลองเข้ามาแหยมกับชั้นดูอีกทีสิ (แม่จะฟาดให้เดี้ยงจนเลี้ยงไม่โตเลย) อะไรทำนองนั้น ซึ่งก็ถือว่าซีรีส์ปล่อยจังหวะได้ดีทีเดียว สายตาที่เปลี่ยนไปของนางเอกไม่เร็วไปจนดูคับแค้นใจยังไม่พอ ไม่ช้าไปจนดูอ่อนแอไร้สามารถ แม้ว่าผู้เขียนอยากจะร้องบอกคำนี้ออกไปล่วงหน้ากับอายูมุไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ตาม

สู้เค้าบ้างสิอิหนูเอ๊ยยยย



ด้วยผู้เขียนไม่เคยถูกใครทำร้ายร่างกายมาก่อน (ยกเว้นไม้เรียวของแม่ และฝ่ามือของพ่อ) ถ้าจะมีประสบการณ์การใช้กำลัง ก็แค่กับพี่สาวคนเดียวเท่านั้น และผู้เขียนมักเป็นฝ่ายลงมือก่อน (หลังจากถูกกระทำก่อนด้วยวาทศิลป์การด่าอันเจ็บดิ้น ) ดังนั้น จึงไม่อาจรู้ว่าถ้าถูกใครอื่นอันไม่ใช่พ่อแม่ไม่ใช่พี่สาวที่เคารพมากระทำย่ำยีอย่างนางเอกของเรื่องบ้าง จะมีปฏิกิริตอบรับต่อการถูกรังแกอย่างไร แต่นี่ทำให้นึกถึงพ่อ ที่มักจะสอนแปลกๆ แบบที่ไม่รู้พ่อบ้านอื่นเค้าสอนกันหรือเปล่า สอนให้สู้ ไม่ใช่แค่กับคนแต่กับทุกๆ เรื่อง อย่างเช่น ถ้าเริ่มรู้สึกป่วย อย่ารีบยอมแพ้แล้วป่วยมากขึ้น อย่ามัวนอนอ้อยส้อยให้เชื้อโรคมันได้ใจ ให้แข็งใจสู้มัน กินข้าว กินยา เดินเหินปกติเดี๋ยวมันก็หาย (เพราะฉะนั้น อย่าได้หวังว่าปวดหัวนิดหน่อย ตัวรุมๆ เล็กน้อยแล้วจะได้หยุด ไม่ต้องไปโรงเรียน)



ถ้าถูกเพื่อนแกล้งเหรอ อย่ายอมมัน ต่อให้มันเป็นเพื่อนผู้ชายก็ไม่ต้องไปกลัว หินมีไว้ทำไม กำมันไว้แน่นๆ แล้วทุบอั๊กเข้าไปสักทีเดี๋ยวมันก็จุก ถ้าเราร้องไห้มันก็สนุกได้ใจคอยจะมาแกล้งเราให้ร้องไห้อีก แต่ถ้าเราไม่ร้องไห้ เราสู้มัน เราทำมันเจ็บได้ด้วย มันก็ไม่ค่อยกล้ามาแกล้งเราแล้ว นึกถึงตอนเด็กๆ แล้วก็ขำ แต่ผู้เขียนก็ไม่เคยได้กำหินทุบใครอย่างพ่อสอนไว้จริงๆ หรอก แต่ถ้ากำขว้างน่ะเคย...บ้าง (แค่บ้างจริงๆ นะ ไม่บ่อยหรอก)



เรื่องของนักเรียนแกล้งกันมันเรื่องจริงที่มีอยู่ในทุกยุคทุกสมัย มันอาจไม่รุนแรงแต่สำหรับเด็กมันก็เป็นเรื่องเจ็บช้ำน้ำใจ หลานชายผู้เขียนที่เข้าชั้น ม.1 เมื่อปีที่แล้ว รองเท้าหาย ซื้อใหม่ก็หาย ซื้ออีกก็หายอีกติดๆ กันถึงสามครั้ง นึกถึงหัวอกเด็ก ม.1 ที่ต้องเดินเท้าเปล่าขึ้นรถกลับบ้าน เขาจะรู้สึกอย่างไร และครูก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากประกาศใครขโมยรองเท้าไปให้เอามาคืน ซึ่งแน่นอนใครหน้าไหนจะโผล่มา

ตัวผู้เขียนเองเมื่อตอนเด็กๆ ก็โดนแกล้งเหมือนกัน แต่มันไม่ได้ดูเศร้ารันทดเหมือนในละคร เพราะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ก็โดน ทั้งล้อชื่อพ่อชื่อแม่ จับคู่กิ๊กกับเพื่อนนักเรียนชายที่ชื่อคล้องจองกัน แล้วก็ล้อกันอยู่นั่นตั้งแต่อนุบาลยันป.6 ลงทุนเขียนกระดานวาดรูปหัวใจปักศรให้อีกต่างหาก ( เข้าใจว่า คนที่ชื้อพ้องกันทั้งสระ ทั้งวรรณยุกต์มันคงจะหายาก และล้อได้คล่องปากกว่าคู่อื่นๆ ที่ชื่อไม่คล้องกัน..มั้ง) อีกเรื่องคือรองเท้าหาย มันไม่หายไปไหนลึกลับหรอก ก็หายอย่างเปิดเผยอยู่ตามใต้ถุนอาคาร นึกถึงอาคารเรียนต่างจังหวัดนะคะ มันจะเป็นอาคารยกพื้นเตี้ยๆ แล้วถ้ารองเท้าใครมุดเข้าใต้ถุน นั่นเป็นอันต้องคลานกันเข้าไปเก็บ ซึ่งมันเป็นการกลั่นแกล้งที่ค่อนข้างเป็นที่นิยม



สัตว์เลื้อยคลานปลอม หนอนแมลงจริงที่ซุกไว้ใต้โต๊ะบ้าง บางทีมันก็ไม่มัวมาซุกอยู่หรอก มันจับมาแล้ววิ่งไล่หลอกกันซึ่งๆ หน้าเลย อันนี้วิธีสต๊อบการแกล้งง่ายมาก มันจับหนอนมาโยนใช่ไหม อย่ายอมมันค่ะอย่ายอม จับหนอนตัวเคราะห์ร้ายที่มันโยนใส่ขึ้นมาอีกครั้ง แล้วโยนใส่หน้ามันเลย วิธีนี้การันตีได้ (สำหรับเด็กนักเรียนชนบท เพราะโรงเรียนในเมืองคงไม่มีป่าและไม่มีหนอน) เด็กผู้หญิงคนไหนที่ไม่กรี๊ดกลัวหนอน เด็กผู้ชายจะเซ็งและมันจะไม่มาแกล้งด้วยวิธีนี้ให้หนอนตายเสียดายหนอนอีกเลย แต่เรื่องเหล่านี้มันไม่ได้ให้ความรู้สึกรันทดว่าฉันถูกแกล้ง เพราะฉันไม่ได้โดนอยู่คนเดียว พวกเด็กๆ ผู้ชายมักจะแกล้งเด็กผู้หญิงทำนองนี้เพราะความโมโหของคนถูกแกล้งมันเป็นเรื่องสนุกสำหรับพวกเขา ไม่ได้แกล้งกันด้วยความโกรธเกลียดแล้วกะให้เป็นทุกข์ตายด้วยการแกล้งที่รุนแรงเหมือนอย่างสาวๆ ในเรื่อง



แต่ว่า เรื่องแรงๆ มันก็มี อย่างพวกตัวเบ่ง นักเลงโต พวกนี้จะมีสมุนสองสามคนติดสอยห้อยตาม นั่นมันเป็นชีวิตจริงที่ไม่ต่างจากในละครนัก ถ้าให้นึกถึงเพื่อนวัยอนุบาลถึงม.ต้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะลืมคนๆ นี้ไป เพราะเขาราวกับเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ (การชกต่อย) ความจริงแล้วหัวโจกมักไม่กร่างเท่าไหร่ แต่พวกสมุนนี่แหละตัวหาเรื่องคนอื่นเพราะคงมั่นใจว่าลูกพี่ที่ถือหางข้าเจ๋งสุดแล้วในชั้น จึงชอบแกล้งทีนหาเรื่องด้วยคิดว่าคนอื่นเขาจะกลัวและไม่สู้ ครั้งหนึ่งเพื่อนที่คิดว่าเขาไม่สู้นี่แหละ ดันเกิดสู้ถึงขั้นคว้าด้ามจอบขึ้นมา (ใน life แค่ไม้ถูพื้นเอง) มันเป็นเหตุการณ์ที่น่าอกสั่นขวัญแขวนในช่วงชีวิต ม.ต้น เพราะถ้าคนอื่นๆ คว้ากันไม่ทันแล้วไอ้ที่เหวี่ยงสับลงไปมันไม่ผิดเป้า ผู้เขียนอาจได้เป็นหนึ่งในบุคคลผู้มีประสบการณ์ร่วมในโศกนาฏกรรม (ฆาตรกรรมจอบ)



กับคนที่นิ่งๆ เงียบๆ ในห้องเรียน อย่าคิดว่าความเฉยคือความกลัวแล้วไปหาเรื่องวอแวได้ตลอด ก็เป็นเหตุการณ์ในความทรงจำอีกครั้งหนึ่งเหมือนกัน ณ แปลงเกษตรปลูกผัก ที่ตีกันกลิ้งลงสระน้ำกระจุยกระจาย มันน่าใจหายตรงที่คนที่เป็นต่อในแรงกำลังกดคออีกฝ่ายมุดลงน้ำให้เพื่อนๆ ผู้ทำหน้าที่พระเอกต้องกรูกันลงไปจับมวยแยก ซึ่งถ้าไม่แยกและคนโดนกดน้ำหายใจไม่ออกตาย นั่นก็อาจกลายเป็นอีกหนึ่งโศกนาฏกรรม (ฆาตกรรมกดคอลงน้ำ)

มานั่งนึกตอนนี้มันขำ แต่เหตุการณ์ ณ ตอนนั้นมันไม่ขำสักนิดหรอกพากันยืนตกใจหน้าซีดมากกว่า ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงเวลาทะเลาะกันอย่างมากก็แค่ทำเมิน ไม่พูดด้วย ไม่รับร่วมวงกินข้าวกลางวัน (เหมือนฮิโระไง แต่ไม่ได้ดราม่าขนาดนั้น เรียกว่างอนกันมากกว่าจะถือเป็นการกลั่นแกล้ง) แต่พวกเด็กผู้ชายจะชอบใช้กำลังทำอย่างกะว่ามันเป็นเรื่องห้าวหาญชาญสมร ทั้งที่มันก็นักเลงดีๆ นี่เอง ที่ทำกร่างได้เพราะอาศัยการรังแกพวกที่อ่อนแอกว่า







การกลั่นแกล้งร้ายๆ ต่างๆ นานา ที่มานานิได้กระทำการอันหนักหนาต่ออายูมุ ส่งผลให้ Life เป็นเรื่องราวดราม่าถึงอารมณ์ ถ้าจะบอกว่าบางเรื่องที่แกล้งกันมันแรงไปไม่สมจริงก็ไม่กล้า แต่ถ้าจะบอกว่ามันนิยายจ๋าไปก็รู้สึกว่าไม่ถึงขั้นนั้นเหมือนกัน โดยรวมแล้วไม่เว่อร์เท่าไหร่แถมยังสนุกเร้าใจด้วย

คิตาโนะ ไคอิ อาจสวมบทบาทที่ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนนักกับการเป็นนักเรียนถูกแกล้ง แต่ด้วยการกลั่นแกล้งมันดันเป็นเรื่องแรงจริง อะไรจริง น้องหนูเลยได้โชว์พาวการแสดงเต็มที่ เคยเห็นไคอิมาแล้วสามเรื่อง กับหนัง Half way , Bandage และซีรีส์ Nagareboshi ที่รับบทน้องสาวแก้วตาดวงใจของป๋ายูทากะ ทาเคโนะอุจิ แม้ Bandage จะเป็นหนังถูกอกถูกใจ แต่ยังไม่เคยมีเลยสักครั้งว่าไคอิมีฝีมือการแสดงอันร้ายกาจ



ร้ายกาจขนาดไหน

ก็ขนาดเตะโด่งซีรีส์ Fuyu no Sakura ของรุ่นพี่ ซาโตั ทาเครุ ที่กำลังติดตามอยู่พ้นทางไปเลย ขอเว้นระยะเพื่อปันใจให้น้องหนูไคอิชั่วคราวนะซาโต้ เดี๋ยวเค้าค่อยตามเก็บซีรีส์ของตัวเองขึ้นมาดูใหม่ เพราะนี่เป็นซีรีส์ที่ซาโต้ได้บทดีอีกแล้วในชุดเครื่องแบบสีขาวของแพทย์อินเทิร์น กับบทบาทผมจะปกป้องพี่ชาย (พระเอก) สาเหตุที่ปันใจให้ไคอิ ก็เพราะไปเห็นคอมเมนท์ของซีรีส์เรื่อง Life ว่าเป็น Great Drama , It's great , It's memorable ในเว็บน่ะสิ จึงขอแอบยลเล็กน้อย และแล้วก็ตกหลุมรัก คิตาโนะ ไคอิ พร้อมๆ กับการทอดทิ้งซีรีส์ของซาโต้ ทาเครุ กลางอากาศ เพราะดวงตาใสแป๋วของน้องหนูที่คลอเคล้าหยาดน้ำตาก็ดึงดูดใจสูสีสู้กับตาเบ้งๆ ของซาโต้ได้เหมือนกัน



หนูไคอิไม่ได้รางวัลไม่เป็นไร อย่างไรเสียหนูก็ได้ใจเจ้ แล้วมินิซีรีส์ 2 ชั่วโมงของหนูเรื่อง Toilet no Kamisama ก็ได้รับการพิจารณาเข้าลิตท์เป็นที่เรียบร้อย

ผู้เขียนบทไม่มีลิตท์รายชื่อผลงานอื่นให้เห็นใน Dramawiki (แล้วแม่นาง prysang ไม่เคยจะคิดหาอะไรนอกเหนือไปจากพื้นที่ของ DramaWiki เลยหรือยะ) ส่วนผู้กำกับ Tanimura Masaki เคยกำกับซีรีส์สุดโปรดอย่าง Nodame Cantabile ด้วยแฮะ แต่นี่มันคงเป็นทั้งการ์ตูนและซีรีส์ที่อารมณ์ต่างกันสุดขั้ว



เรื่องนี้นอกจากเนื้อเรื่องแล้วยังชอบจังหวะการใส่ดนตรีประกอบอีกด้วย ช่วงกระตุ้นความเร้าใจ แล้วอยู่ๆ ตัดขาดเป็นเงียบสงัดฉับพลันตามจังหวะเปิดเผย เฉลยเหตุแต่ละครั้งที่ถือว่าการใส่จังหวะทำเสียงทำนองประสานสอดคล้องกับเนื้อเรื่องที่เป็นไปได้ดี

เพลงประกอบฟังติดหูเช่นเคย เมื่อนี่คือเสียงขับร้องของสาวตาสวย Nakashima Mika



The future is your own to make,
a sad future or a happy one
Which one do you want to bet on?


อนาคตคือสิ่งที่เธอต้องสร้างมันด้วยตัวเอง
อนาคตแสนเศร้าหรืออนาคตที่มีความสุข
อนาคตแบบไหนล่ะที่เธอต้องการจะเดิมพัน


นี่คือข้อคิดของนางฟ้าที่บ่มเพาะความกล้าหาญของอายูมุให้เดินเชิดหน้ามาเผชิญชีวิตดราม่าที่โรงเรียน หลังจากถอดใจท้อถอยไปแล้วกับสังคมโรงเรียนที่น่ากลัวและเธอตกเป็นเหยื่อโดยตรงอย่างน่าหดหู่



I don’t need one. If you are what one calls friend.
Then I don’t need one. I would rather do without.


ฉันไม่ต้องการ ถ้าเธอคือสิ่งที่เรียกว่าเพื่อน
ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ต้องการเพื่อนสักคน ไม่มีซะเลยยังดีกว่า


นี่คือความเข้มแข็งที่นางฟ้าปลูกเชื้อไว้ให้และมันก็เริ่มเติบโต

If I don’t do anything, nothing will change
ถ้าฉันไม่ทำอะไรเลย ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้

นั่นแหละหนา หนูอายูมุถึงต้องสู้เขา แล้วเธอก็อดทนต่อสู้อย่างอหิงสา (ผู้ไม่เบียดเบียน) ซะด้วย ท้ายที่สุดมันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ทันทีทันใด แต่อย่างน้อยเธอจะไม่หวาดกลัวและเจ็บปวดกับการถูกกลั่นแกล้งอีกต่อไป



อนิจจา..จิ๊กกี๋มีกรรม อันไซ มานามิ จะได้รับรู้หัวอกคนถูกกลั่นแกล้งเป็นรสชาดของชีวิต แต่เธอก็ยังเป็นอันไซ มานามิ ที่แม้จะตกเป็นฝ่ายถูกรังแกเข้าบ้างเธอก็ยังไว้ลายนางร้ายแบบไม่มีอ่อนข้อให้ใครได้เห็นความอ่อนแอในสีหน้าแววตาสักนิด ชอบฉากที่เธอวิ่งหนีเพื่อนๆ ดูแข็งแรงว่องไวสมศักดิ์ศรีนางร้ายที่ต้องไม่ตายหรือกลายเป็นบ้าง่ายๆ เธอยังมาโรงเรียนและรับการกลั่นแกล้งจากเพื่อนด้วยอาการจ้องหน้าจำไว้ ดังนั้น นอกเหนือจากฮาโตริ มิกิ นางฟ้าใจดีผู้ครองตำแหน่ง "เท่ที่สุด" เท่อย่างเสมอต้นเสมอปลายมาแต่ต้นจนจบแล้ว ในช่วงจังหวะเผชิญวิบากกรรมฉันเคยก่อเอาไว้นี่เอง ที่อันไซ มานามิ ได้ปาดหน้าเค้กเฉือนเอาตำแหน่งตัวละครที่ "เจ๋งที่สุด" ไปจากหนูอายูมุได้ในระยะสุดท้ายของการแข่งขันความโดดเด่น





แต่ไม่เป็นไรอนาคตของหนูไคอิยังอีกไกล อายุยังเท่านี้ 20 ปีเอง ฝีมืออย่างนี้ เลือกบทเล่นดีๆ ไม่ช้าไม่นานต้องได้รางวัลมาประดับตัวกับเขาบ้างล่ะน่า

สู้เขา...อิหนูเอ๊ย

















Create Date :29 เมษายน 2555 Last Update :30 เมษายน 2555 0:10:02 น. Counter : Pageviews. Comments :5