อเมริกันจังเลย
เมื่อวานนั่งดูหนังสองเรื่องต่อกัน บังเอิญอีกที่ได้จังหวะหนังที่มีท่วงทำนองใกล้เคียงกัน American gun กับ Crossing over เหมือนตอนที่นั่งดู The road คู่กับ The book of Eli ที่มีส่วนสอดประสานหรือต่อเนื่องกันไปพอสมควร
หลัง ๆ นี่หนังที่ดำเนินเรื่องแบบหลวม ๆ มีหลาย ๆ พล็อตอยู่ในเรื่องเดียวกันแบบปนเปกันไปนั้นมีให้เห็นมากขึ้น หนังระดับรางวัลอย่าง Crash เป็นตัวอย่างของหนังประเภทนี้ที่ประสบความสำเร็จในเวทีประกวดหลายต่อหลายเวที ทั้ง American Gun และ Crossing Over ก็เช่นเดียวกัน หนังเป็นที่รวมของเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนหลายคนเข้าด้วยกัน แต่ละคนต่างมีความสัมพันธ์อะไรสักอย่างกับใครสักคน หรือไม่ก็กับเรื่องบางเรื่องโยงร้อยทุกคนในเรื่องด้วยสายใยที่มองไม่เห็นเส้นหนึ่ง
..........
American Gun
หากจะให้สรุปหนังเรื่องนี้สั้น ๆ ผมคงนิยามได้ว่าเป็น "คำพิพากษาฉบับ Hollywood" เหมือนหนังภาคต่อของ Elephant ของ Gus Van Sant ด้วยบทสรุปที่ว่ เรื่องราวทั้งหลายไม่ได้จบลงพร้อมกับเสียงก้องของการลั่นกระสุนนัดสุดท้ายที่เลือนหายไป เหยื่อของเรื่องเหล่านี้แท้จริงแล้วคือคนที่ยังมีชีวิต เหลือรอดจากเหตุการณ์นั้นต่างหาก (และมันยังลามไปหาคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย)
ผมเคยเขียนถึงเรื่อง Bowling for Columbine เมื่อนานมาแล้ว เป็นเรื่องของเด็กอเมริกันจ๋าสองคนที่ลากปืนไปยิงเพื่อนในโรงเรียน ก่อนจะจบชีวิตของกันและกันในที่สุด โดยทั้งหมดเกิดขึ้นแบบที่ไม่มีใครคิดฝัน ไม่มีลางบอกเหตุล่วงหน้า เด็กสองคนเป็นเด็กความประพฤติดีก่อนจะมาก่อเหตุในที่สุด...
หนังพูดถึงเรื่องราวหลังจากนั้นสามปี โดยใช้ชื่อโรงเรียนสมมติ ตัวละครสมมติ (แต่เหตุการณ์ฆาตกรคู่แบบที่ว่านี้เคยเกิดขึ้นจริงครั้งเดียว) หนังกราดเรื่องราวไปทั่วเหมือนปืนที่กราดกระสุนออกไปแบบไม่ยั้ง ตั้งแต่หลานสาวเจ้าของร้านขายปืน เพื่อนหลานสาวเจ้าของร้านขายปืน แม่และน้องชายมือยิงผู้รับกรรมที่ไม่ได้ก่อ ตำรวจคนแรกที่ไปถึงสถานที่เกิดเหตุผู้เจ็บปวดจากเรื่องราวมากกว่าหลายคนในเหตุการณ์ ครูโรงเรียนมัธยมที่ย้ายหนีไปจากความปวดร้าวโดยหวังว่า โรงเรียนใหม่ที่เขาย้ายไปจะทำให้เขาลืมเรื่องนี้ลงไปได้ ไล่ไปจนถึงเด็กเรียนดีแต่พกปืนไปโรงเรียนทุกวันเพราะงานพิเศษที่เขาทำมันอันตรายถึงตายถ้าไปเจอคนผิดเข้า
"เธอก็ไปทำงานที่ที่ไม่ต้องพกปืนไปสิ" ครูใหญ่(ผิวดำ)บอก เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเหมือนจะถามว่ามันมีสถานที่แบบนั้นอยู่จริงหรือ ???
หนังสลับสับเปลี่ยนเรื่องราวไปมาระหว่างตัวละครแต่ละตัว หลายคนในเรื่องเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่โดยส่วนลึกแล้วกลับรู้สึกว่าทุกคนในเรื่องต่างมีอะไรบางอย่างที่ยึดโยงเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดี มโนสำนึก หรือเรื่องราวอันเจ็บปวดในอดีต ก่อนจะนำไปสู่บทสรุปของหนัง One nation under fire-ประเทศที่ถูกยิง ที่ตอนท้ายของเรื่องในที่สุด เรื่องเป็นไปตามที่คนดูคาดหวังว่าใครสักคน ในเรื่องคงจะต้องหยิบปืนออกมายิงใครสักคนในที่สุด อยู่ที่ว่าใครจะโชคร้ายไปยืนขวางวิถีกระสุนพอดีเท่านั้นเอง...
ด้วยความเป็นอเมริกันจังเลยของหนัง ใต้สิทธิเสรีภาพของรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้ถูกฉีกบ่อยเหมือนบางประเทศ ทุกคนมีสิทธิ์ในการครอบครองอาวุธปืนเพื่อการปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง หลายคนมักบอกว่าปืนไม่ได้ฆ่าคน คนต่างหากที่ฆ่าคน ดาราตลก คริส ร็อค กลับบอกว่า ปืนไม่ได้ฆ่าคน กระสุนปืนต่างหากที่ฆ่าคน คุณต้องไปเพิ่มภาษีกระสุนปืน ให้สูง ๆ คนจะได้ไม่ซื้อกระสุนมาใส่ปืนฆ่ากัน
เรื่องที่สองของความเป็นอเมริกันจังเลยที่ผมได้ดูคือ Crossing over
หาก American gun เป็นหนังที่ประกาศก้องว่า "กูคืออเมริกัน" เรื่องนี้ก็คงเป็นหนัง "ตบหน้าอเมริกัน" ได้อย่างเจ็บแสบ หนัง ว่าด้วยเรื่องของคน "อยากเป็นอเมริกัน" "คนอเมริกัน" และ "คนที่ไม่ได้เป็นอเมริกัน" ได้อย่างเป็นอเมริกันที่สุด
แฮริสัด ฝอร์ด เล่นเป็น ตม. ไล่จับคนแม็กสิกันส่งกลับประเทศ แต่เป็นเหมือนพ่อพระให้โรบินฮู้ดจนเพื่อนร่วมงานเอาไปล้อ คู่หูของเขาเป็นอาหรับโอนสัญชาติ ทำหน้าที่ ตม. ส่งคนหนีเข้าเมืองกลับประเทศเช่นกัน ครอบครัวของ ตม. สัญชาติอาหรับมีลูกสาวที่ทำตัวเป็นอเมริกันจ๋า และทางบ้านไม่ยอมรับเพราะขัดประเพณี แฟนหนุ่มของสาวอาหรับรับจ้างทำเอกสารปลอมให้คนต่างด้าว ทั้งใบขับขี่และกรีนการ์ด กรีดการ์ดใบหนึ่งที่ทำปลอมนั้นเป็นของหญิงผิวขาวชาวออสเตรเลียผู้อยากเป็น "อเมริกัน" จนต้องยอมแลกกับทุกอย่าง แฟนหนุ่มของสาวออสซี่เป็นยิวผู้ยอมทำทุกอย่างแม้กระทั่งเสแสร้งเป็นผุ้ศรัทธาในศาสนาเพื่อแลกกับกรีนการ์ด เจ้าหน้าที่ผู้จัดการทุกอย่างที่สาวออสซี่ต้องการมีภรรยาเป็นทนายจำเลย ว่าความให้คนต่างสัญชาติ ทนายจำเลยผู้นั้นรับว่าความคดีหนึ่งที่เด็ก หญิงมุสลิมปากีสถานต้องถูกจับเนื่องจาก Free speech แต่ไ่ม่ถูกใจรัฐบาลสหรัฐ ฯ เด็กหนุ่มหน้าอ่อนชาวเกาหลีผู้เข้าร่วมแกงค์ปล้นร้านสะดวกซื้อเป็นครั้งแรกต้องพบกับ ตม. สัญชาติอาหรับผู้ทุกข์ใจและสับสน
เหตุการณ์ขมวดปมเข้ามาหากันในคืนก่อนวันปฏิญาณตัวเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกาไปจนถึงเมื่อนักร้องรับเชิญร้องเพลงชาติจบ และหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นอเมริกันจังเลยก็จบลงพร้อมกับเพลงชาติที่ทุกคนยืนร้องพร้อมยกมือขวาขึ้นแตะที่หัวใจ
หนัง "โปร" อเมริกันด้วยมาตรฐานของความซื่อสัตย์ การทำหน้าที่ ความตรงไปตรงมา และย้อนกลับมาตบหน้าทุกคนด้วยเรื่องความเป็นอเมริกันที่ไม่เหมือนชาติใดในโลก (OK ... เหมือนบางประเทศที่ไม่เหมือนประเทศใดในโลกและไม่แพ้ชาติใดในโลกเช่นกัน)
มี ใครรู้มั่งว่าเขาทำ green card กันยังไง
Create Date : 19 กรกฎาคม 2553 |
|
1 comments |
Last Update : 19 กรกฎาคม 2553 10:46:11 น. |
Counter : 985 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
สองเรื่องที่ว่าผมยังไม่เคยดู
แต่เคยดู Bowling for Columbine กับ Elephant แล้วครับ
จากเมื่อก่อนตอนเด็กๆที่ผมอยากไปอเมริกาเป็นนักหนา
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าประเทศนี้เป็นประเทศที่อยู่ด้วยความกลัว และความรู้สึกไม่ปลอดภัยอยุ่ตลอดเวลาเลยครับ
เดี๋ยวจะไปหาสองเรื่องนั้นมาดูบ้าง