เมื่อก่อนเคยสงสัย ทำไมเวลาที่มามิปอกส้ม
มักจะมีส้มส่วนนึงกองไว้ต่างหาก
แยกห่างจากส่วนที่ปลอกไว้ให้ลูกๆกิน
พอถาม มามิก็ให้คำตอบว่า กองนั้นแม่เก็บไว้เอง ไม่เหมาะกับลูก แม่แกะให้ลูกๆก็กินไปตามนี้เถิด
มักเป็นแบบนี้บ่อยๆ จนฉันและน้อง ต้องแอบเอื้อมมือไปหยิบบางชิ้นในกองที่มามิเก็บแยกไว้
ใส่เข้าปากอย่างรวดเร็ว แล้วก็... มามิก็ยิ้มขำ....
วันนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไม ในวันนั้นมามิจึงทำแบบนั้น
ยามที่ฉันปอกส้มให้คนรัก เจอลูกไหนไม่หวาน จืดสนิท หรือฝ่อ ฉันเก็บลูกนั้นไว้กินเอง
แยกไว้ไกลมือเขา กลัวเขาจะพิเรนท์เอื้อมมือมาใส่เข้าปากเหมือนตอนฉันเป็นเด็กๆ
อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เขา อยากให้เขาได้กินแต่ของอร่อย
ฉันไม่เคยปอกลิ้นจี่ให้ใคร ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ง่ายหากปอกเข้าปากตัวเอง
แต่ไม่ใช่เลย การบรรจงปอกเป็นโดยอัตโนมัติด้วยใจที่อยากทำให้!
ไม่ให้มันแฉะ ไม่ให้ผิวมันเสีย เลือกส่วนที่เสียทิ้งไป
น่าแปลกมากมาย ทั้งที่สภาพใจฉันเศร้าหมองเต็มที่ แต่ฉันก็ยังยิ้มได้กับเรื่องนี้
และเป็นงานที่พบว่า ฉันทำมันได้ดีเสียด้วย
การเต็มใจรัก เต็มใจทำให้คนที่รัก มันรู้สึกแบบนี้เอง ไม่มีใครบังคับ บ้าไปเอง ไม่มีอะไรที่ต้องแก้ตัว
ถ้าวันนี้จำเป็นที่ต้องเดินหันหลังให้ความรัก ให้เขากลับไปอยู่ในที่ของเขาน่าจะเหมาะสมกว่า
ฉันก็ไม่สมควรเสียใจ ส่งยิ้มบอกลาให้เขาไป เหลือไว้เพียงน้ำตาที่กอดไว้ยามคิดถึงเขาก็ไม่เป็นไร
บันทึกเรื่องดีๆที่ยิ้มไว้ก่อนหลับตา ๑๙ พ.ค. ๒๕๕๖