พระราชประสงค์ที่แท้จริงในการเสด็จฯ ยุโรปครั้งที่ ๒ ของรัชกาลที่ ๕ โดย พ.อ.ผศ.ดร.ศรศักร ชูสวัสดิ์ (3)
สำหรับหนังสือซึ่งสถานทูตไทยมีไปยังประเทศและแคว้นต่างๆ ในยุโรปนั้น แจ้งแค่ว่า รัชกาลที่ ๕ จะเสด็จฯ ทรงรักษาพระองค์ แต่ไม่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับพระอาการประชวร
...Having been suffering for some time past from an indifferent health and in order to effect a radical cure, my physicians advised me to go out of the tropics to a terperate and dry climate. I have therefore decided to proceed strictly incognito to Europe about the end of March next...
ข้อเท็จจริงข้างต้นยืนยันว่า รัชกาลที่ ๕ มีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จฯ ทรงรักษาพระองค์อย่างแท้จริง ยังไม่มีเรื่องการเมืองใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง
โดยสรุป หลักฐานชั้นต้นของไทยยืนยันว่า การเตรียมการเสด็จฯ ยุโรปของรัชกาลที่ ๕ ในเรื่องต่างๆ นั้นมุ่งที่การรักษาพระองค์ โดยเฉพาะการเตรียมจัดหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญไว้ล่วงหน้า เตรียมถวายการตรวจรักษาทันทีที่เสด็จฯ ถึงเมืองซันเรโม ประเทศอิตาลี ที่ประทับแห่งแรกที่จะประทับรักษาพระองค์
ดังนั้น พระราชประสงค์ที่แท้จริงของรัชกาลที่ ๕ เมื่อตกลงพระทัยเสด็จฯ ยุโรปนั้นเพื่อรักษาพระองค์
การรักษาพระองค์ในยุโรป
หลักฐานชั้นต้นของไทย โดยเฉพาะพระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ต่างๆ ยืนยันชัดเจนว่า การรักษาพระองค์คือพระราชประสงค์ที่แท้จริงของรัชกาลที่ ๕ ในการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๒ และเป็นสาเหตุให้รัชกาลที่ ๕ ตกลงพระทัยเสด็จฯ ยุโรป ดังได้กล่าวมาแล้ว
อย่างไรก็ดี จากการถวายการรักษาของนายแพทย์โบห์แมร์ ทำให้พระอาการดีขึ้นมาก ไม่นานก่อนที่จะเสด็จฯ ออกจากกรุงเทพฯ ทรงเขียนเล่าว่า พระอาการประชวรดีขึ้นเป็นลำดับกว่าที่เคยทรงรักษาพระองค์ ′ในเวลานี้ฉันรู้สึกตัวฉันว่า สบายกว่า ๓ ปีที่ล่วงมาแล้ว เสมอชั้น ๔ ปี ๕ ปีก่อนหน้านั้น′ กระนั้นก็ตาม
เมื่อเสด็จฯ ถึงยุโรป รัชกาลที่ ๕ ก็ทรงรักษาพระองค์ตามที่ตั้งพระทัยไว้ เมื่อศึกษาพระราชนิพนธ์ไกลบ้าน อย่างละเอียดพบว่า ตลอดระยะเวลาที่ประทับอยู่ในยุโรป พระองค์ทรงให้ความสำคัญแก่การรักษาพระองค์มาก และทรงปฏิบัติตามคำกราบบังคมทูลของแพทย์ อย่างตั้งพระทัยและเคร่งครัด
รัชกาลที่ ๕ เสด็จฯ ออกจากกรุงเทพฯ ในวันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ถึงเมืองเนเปิลส์ ประเทศอิตาลีในวันที่ ๒๕ เมษายน เมื่อเสด็จฯ ถึงเมืองซันเรโมในวันที่ ๒๘ เมษายน โปรดให้คณะแพทย์ที่ทรงนัดไว้ถวายการตรวจพระวรกายเกือบจะทันทีในวันที่ ๒๙ และ ๓๐ เมษายน
ข้อเท็จจริงนี้ยืนยันอีกครั้งว่า การเสด็จฯ ประทับที่เมืองซันเรโมเป็นไปตามที่แพทย์ชาวตะวันตกที่กรุงเทพฯ กราบบังคมทูลตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ และอยู่ในหมายกำหนดการเสด็จฯ ตั้งแต่แรก เยอรมนี โดยเฉพาะเมืองบาดฮัมบูร์ก ไม่ใช่ที่หมายแรกที่รัชกาลที่ ๕ จะเสด็จฯ ทรงรักษาพระองค์แต่อย่างใด
หลังจากการตรวจรักษาที่เมืองซันเรโมแล้ว รัชกาลที่ ๕ โปรดให้แพทย์ถวายการตรวจพระวรกายครั้งใหญ่ อีก ๓ ครั้ง ณ สถานที่ต่างกัน รวมเป็น ๔ ครั้ง๘๗ สรุปการตรวจพระวรกายครั้งใหญ่ ๔ ครั้งดังกล่าวได้ดังนี้
ครั้งแรก วันที่ ๒๙ และ ๓๐ เมษายน ที่วิลลาโนเบล เมืองซันเรโม แพทย์ที่ถวายการตรวจได้แก่ นายแพทย์ไฟลเนอร์ (Fleiner) มีนายแพทย์ฟิสเตอร์ (Pfister) เป็นผู้ช่วย นายแพทย์ไฟลเนอร์เป็นแพทย์เยอรมันประจำพระองค์แกรนด์ดุ๊กแห่งบาเดน และผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยไฮเดลแบร์ก ประเทศเยอรมนี
ทั้งคู่ถวายการตรวจพระวรกายในวันที่ ๒๙ เมษายน และเช้าวันที่ ๓๐ เมษายน ต่อมา เซอร์แพตทริก แมนซัน (Sir Patrick Manson) แพทย์ชาวอังกฤษ ผู้เชี่ยวชาญโรคเขตร้อนและโรคมาลาเรียถวายการตรวจในวันที่ ๓๐ เมษายนตอนบ่าย
วันรุ่งขึ้นคณะแพทย์มีคำวินิจฉัยว่า ไม่มีพระอาการประชวรร้ายแรงประการใด นอกจากพระโลหิตจาง อ่อนพระกำลัง พระกระเพาะอาหารพิการเรื้อรัง และมีพระสิงฆานิกา (เสมหะ) ทางพระศอและพระนาสิกออกมามากและเรื้อรัง การบรรทมไม่หลับมานานหลายปีมีสาเหตุมาจากทรงงานหนัก
แพทย์จึงกราบบังคมทูลว่า ควรเสด็จฯ ประทับรักษาพระองค์ที่เมืองบาเดน-บาเดน (Baden-Baden) เมืองอาบน้ำแร่ทางใต้ของเยอรมนี ดังที่มีพระราชโทรเลขถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) ดังนี้
′หมอทั้งนี้ [ทางนี้] แนะนำให้พ่อไปที่เมืองบาเดนบาเดนซึ่งมีบ่อน้ำแร่เปนที่รักษาโรคอย่างนี้ เพื่อไปพักรักษาตัวที่นั้นให้เต็มตามวิธีที่เขารักษากัน′ การเสด็จฯ เมืองบาเดน-บาเดนนี้ทำให้ทรงต้องปรับหมายกำหนดการ ′โปรแครมจำต้องเปลี่ยนไปตามคำแนะนำของหมอ′ ทั้งนี้เป็นไปตามที่ทรงคาดไว้ตั้งแต่แรกดังได้กล่าวมาแล้ว
ครั้งที่ ๒ วันที่ ๖ มิถุนายน ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยไฮเดลแบร์ก ไฮเดลแบร์ก ระหว่างประทับรักษาพระองค์ที่เมืองบาเดน-บาเดน (๒๙ พฤษภาคม-๑๘ มิถุนายน) รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสเมืองไฮเดลแบร์ก และเสด็จฯ ไปโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย
ซึ่งมีนายแพทย์ไฟลเนอร์ ผู้ถวายการตรวจที่เมืองซันเรโมเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล นายแพทย์ไฟลเนอร์ถวายการตรวจพระวรกาย ได้แก่ พระศอ พระโลหิต และพระหทัย มีการถวายการตรวจด้วยเครื่องเอ็กซเรย์ด้วย แพทย์พบว่าพระอาการดีขึ้นเป็นที่น่าพอใจ
จากนั้นเสด็จฯ กลับบาเดน-บาเดนเพื่อรักษาพระองค์ต่อ แล้วเสด็จฯ ต่อไปฝรั่งเศส อังกฤษ เบลเยียม เยอรมนี เดนมาร์ก นอร์เวย์ ตามลำดับ (๒๑ มิถุนายน-๑ สิงหาคม)
ครั้งที่ ๓ วันที่ ๔ สิงหาคม ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี หลังจากรัชกาลที่ ๕ เสร็จสิ้นการเสด็จประพาสนอร์เวย์เพื่อทอดพระเนตรพระอาทิตย์เที่ยงคืนแล้ว เสด็จฯ ลงยุโรปใต้ ระหว่างเสด็จประพาสเยอรมนี (๒-๑๔ สิงหาคม) และประทับที่กรุงเบอร์ลินในวันที่ ๔ สิงหาคม รัชกาลที่ ๕ โปรดให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ๔ คน ซึ่งทรงนัดไว้ล่วงหน้า ถวายการตรวจพระวรกายอีกครั้ง
พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะทรงทราบว่า จะทรงต้องรักษาพระองค์อีกหรือไม่ คณะแพทย์มีคำวินิจฉัยว่า พระอาการยังไม่ปกติดี ขอให้ทรงงดเสด็จประพาส และเสด็จฯ ทรงรักษาพระองค์ที่เมืองบาดฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี
ครั้งสุดท้าย วันที่ ๑๒ กันยายน ระหว่างประทับรักษาพระองค์ที่เมืองบาดฮัมบูร์ก (๒๓ สิงหาคม-๒๒ กันยายน) รัชกาลที่ ๕ เกิดมีพระโรคแทรกในวันที่ ๒ กันยายน คือ พระกล้ามเนื้อคัด ทั้งนี้เป็นผลข้างเคียงจากพระโอสถถวาย
วันรุ่งขึ้น ทรงปวดพระนาภีอย่างหนัก และวันที่ ๘ กันยายน ทรงพระประชวรด้วยพระโรคบิด วันที่ ๑๒ กันยายน แพทย์ถวายการตรวจพระวรกายอย่างละเอียด หลังจากทรงหายจากพระอาการประชวรแล้ว รัชกาลที่ ๕ เสด็จฯ ออกจากบาดฮัมบูร์ก ลงยุโรปใต้ (ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และอิตาลี, ๒๓ กันยายน-๑๔ ตุลาคม) เพื่อเสด็จฯ กลับไทย
จุดหมายสุดท้ายในยุโรปคือ เกาะมอลตาของอังกฤษในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (๑๕-๑๗ ตุลาคม) พระองค์เสด็จฯ ถึงกรุงเทพฯ วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน
โดยสรุป ตลอดระยะเวลาประทับอยู่ในยุโรป รัชกาลที่ ๕ ทรงให้ความสำคัญกับการตรวจและรักษาพระองค์ การถวายการตรวจและรักษามีขึ้นเกือบจะทันทีเมื่อเสด็จฯ ถึงเมืองซันเรโมของอิตาลี หลังจากนั้น โปรดให้มีการตรวจครั้งใหญ่อีก ๓ ครั้งในเวลาและสถานที่ต่างกัน
คำวินิจฉัยของแพทย์ในครั้งแรกและครั้งที่ ๓ ทำให้เสด็จฯ ไปประทับรักษาพระองค์ด้วยวิธีวารีบำบัด (สปา) ที่เมืองอาบน้ำแร่ในเยอรมนี ๒ ครั้งด้วยกัน เป็นเวลาหลายสัปดาห์ ได้แก่ เมืองบาเดน-บาเดน (๒๙ พฤษภาคม-๑๗ มิถุนายน) และเมืองบาดฮัมบูร์ก (๒๓ สิงหาคม-๒๒ กันยายน)
ในการรักษาพระองค์ รัชกาลที่ ๕ ตั้งพระทัยและทรงปฏิบัติตามคำกราบบังคมทูลแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ข้อเท็จจริงเหล่านี้ยืนยันว่า การรักษาพระองค์ คือพระราชประสงค์ที่แท้จริงของรัชกาลที่ ๕ ในการเสด็จฯ ครั้งที่ ๒
สรุป
จากหลักฐานชั้นต้นของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ ๕ ยืนยันชัดเจนว่า สาเหตุที่ทำให้รัชกาลที่ ๕ ต้องเสด็จฯ ยุโรปครั้งที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๔๔๙-๕๐ นั้นมาจากพระอาการประชวรเรื้อรัง ซึ่งกำเริบขึ้นประมาณกลางเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๙
ทั้งนี้แพทย์ชาวตะวันตกมีคำวินิจฉัยว่า ทรงเป็นพระโรคมาลาเรียเรื้อรัง ซึ่งมีผลต่อพระอวัยวะภายในพระวรกาย หากไม่ทรงรีบรักษา พระโรคอาจร้ายแรงขึ้นได้ แพทย์จึงกราบบังคมทูลว่า ควรเสด็จฯ เขตที่มีอากาศแห้งเพื่อเปลี่ยนอากาศ นั่นคือยุโรป
และที่หมายแรกที่ควรเสด็จฯ คือเมืองซันเรโม ประเทศอิตาลี การเตรียมการเสด็จฯ ตั้งแต่ต้นยืนยันว่า เพื่อการรักษาพระองค์เป็นสำคัญ ข้อเท็จจริงสำคัญก็คือการติดต่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญไว้ล่วงหน้าเพื่อถวายการตรวจรักษาที่เมืองซันเรโม
และเมื่อเสด็จฯ ถึงยุโรป รัชกาลที่ ๕ ก็ทรงให้แพทย์ถวายการตรวจพระวรกายเกือบจะทันที หลังจากนั้น โปรดให้แพทย์ถวายการตรวจครั้งใหญ่อีก ๓ ครั้ง คำวินิจฉัยของแพทย์ในครั้งแรกและครั้งที่ ๓ ทำให้รัชกาลที่ ๕ เสด็จฯ ไปประทับรักษาพระองค์ที่เมืองอาบน้ำแร่ของเยอรมนี ๒ เมือง ตามลำดับ
ได้แก่ เมืองบาเดน-บาเดน เมืองอาบน้ำแร่ของเยอรมนี (๒๙ พฤษภาคม-๑๗ มิถุนายน) และเมืองบาดฮัมบูร์ก เยอรมนี (๒๓ สิงหาคม-๒๒ กันยายน) ระหว่างรักษาพระองค์ทั้ง ๒ แห่ง ก็ตั้งพระทัยปฏิบัติตามการรักษาอย่างเคร่งครัด
นอกจากนั้น หลักฐานของไทยยังยืนยันว่า เยอรมนีไม่ใช่ที่หมายแรกที่รัชกาลที่ ๕ จะเสด็จฯ ไปประทับรักษาพระองค์แต่อย่างใด การเสด็จฯ ทรงรักษาพระองค์ที่เยอรมนีทั้งที่เมืองบาเดน-บาเดนและเมืองบาดฮัมบูร์ก มีที่มาจากคำกราบบังคมทูลของแพทย์ ซึ่งถวายการตรวจรักษาในยุโรป
ไม่ใช่แพทย์ชาวตะวันตกในเมืองไทย หรือมาจากคำทูลเชิญของพระเจ้าไกเซอร์วิลเฮล์มที่ ๒ แห่งเยอรมนี เพราะฉะนั้น การเสด็จฯ เยอรมนีของรัชกาลที่ ๕ ไม่น่าจะเป็นเรื่องการเมือง อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ต้องศึกษาในรายละเอียด
กระนั้นก็ตาม ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การเสด็จฯ ยุโรปครั้งที่ ๒ ของรัชกาลที่ ๕ มีงานราชการเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยคือ การลงพระปรมาภิไธยให้สัตยาบันสนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศส พ.ศ. ๒๔๔๙ เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๐ เพื่อยุติปัญหาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสที่ยืดเยื้อมานาน
โดยเฉพาะความต้องการของฝรั่งเศส ที่จะได้มณฑลบูรพาหรือเขมรส่วนใน อย่างไรก็ตาม การเจรจาจริงจังกระทั่งมีการทำสนธิสัญญาเกิดขึ้นระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ เป็นเรื่องที่เข้ามาหลังจากตกลงพระทัยเสด็จฯ ยุโรปแล้ว
แท้ที่จริง ข่าวว่า รัชกาลที่ ๕ จะเสด็จฯ ยุโรปซึ่งเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ อาจเป็นตัวเร่งให้ฝรั่งเศสเริ่มรุกเพื่อเจรจากับไทย กัมพูชาก็เร่งรัดฝรั่งเศสด้วย
พบหลักฐานว่า ไม่กี่วันหลังจากหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่ารัชกาลที่ ๕ จะเสด็จฯ ยุโรป พระเจ้าศรีสวัสดิ์มีพระราชหัตถเลขา ถึงผู้ว่าราชการฝรั่งเศสในกัมพูชาลงวันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๙ แสดงความต้องการ ให้การปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ที่กำลังดำเนินการอยู่คำนึงดินแดนของไทยที่มีชาวกัมพูชาอาศัยอยู่ ไม่ใช่แค่มณฑลบูรพา เช่น ศรีสะเกษ สุรินทร์ ตราด จันทบุรี
กล่าวอีกทางหนึ่งก็คือ พระเจ้าศรีสวัสดิ์ต้องการได้ดินแดนที่มีชาวกัมพูชาอาศัยอยู่จากไทย
อีก ๒-๓ เดือนต่อมาจึงมีการเจรจาระหว่างไทยกับฝรั่งเศส กระทั่งมีการลงนามในสนธิสัญญา พ.ศ. ๒๔๔๙ อย่างไรก็ดี การเจรจาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสกระทั่งมีทำสนธิสัญญา พ.ศ. ๒๔๔๙ ไม่ได้มีขึ้นระหว่างที่พระเจ้าศรีสวัสดิ์เสด็จฯ เยือนฝรั่งเศสใน พ.ศ. ๒๔๔๙ เช่นที่มีผู้สรุปไว้แต่อย่างใด
เพราะฉะนั้น เรื่องการทำสนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสข้างต้น จึงเป็นเรื่องที่เข้ามาภายหลังจากที่รัชกาลที่ ๕ ตกลงพระทัยว่าจะเสด็จฯ ยุโรปแล้ว
นอกจากนั้น มีหลักฐานยืนยันว่า เมื่อตกลงพระทัยที่จะเสด็จฯ ยุโรปนั้น รัชกาลที่ ๕ ทรงคาดว่า จะไม่มีงานราชการเข้ามาเกี่ยวข้อง "ฉันให้เข็ดหลาบในการที่ไปครั้งก่อนที่ต้องเกี่ยวในราชการ เกือบชีวิตรจะออกจากร่าง ซึ่งได้พิเคราะห์ดูเวลาที่จะไปครั้งนี้ เห็นว่าปลอดโปร่งดีนักหนา"
แสดงว่า ในเวลานั้นยังไม่มีเรื่องราชการสำคัญใด ที่จะต้องทรงทำในยุโรป กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า พระองค์จะไม่ทรงห่วงกังวลถึงความเป็นไปของบ้านเมือง ระหว่างที่พระองค์ไม่ประทับอยู่ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส
เพราะในเวลานั้น คณะกรรมการปักปันเขตแดนผสมไทย-ฝรั่งเศสกำลังปักปันเขตแดนระหว่างชายแดนไทยกับตราด ซึ่งฝรั่งเศสได้ไปแทนจันทบุรีตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๗
แต่สนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศส พ.ศ. ๒๔๔๙ มีความสำคัญต่อการเสด็จฯ เนื่องจากสนธิสัญญาดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ต่อเมื่อทั้ง ๒ ฝ่ายแลกเปลี่ยนสัตยาบันกันก่อน
กรณีของฝรั่งเศส ต้องให้รัฐสภาให้สัตยาบันก่อนจึงจะดำเนินการได้ เนื่องจากการพิจารณาให้สัตยาบันของรัฐสภาฝรั่งเศสอาจจะมีขึ้นในระหว่างที่รัชกาลที่ ๕ เสด็จฯ ยุโรป
ถ้ารัฐสภาฝรั่งเศสให้ความเห็นชอบกับสนธิสัญญาดังกล่าว รัชกาลที่ ๕ ก็ทรงลงพระปรมาภิไธยให้สัตยาบันได้ในยุโรป การพิจารณาให้สัตยาบันสนธิสัญญาดังกล่าวของรัฐสภาฝรั่งเศส จึงกลายเป็นงานราชการสำคัญที่ทำให้รัชกาลที่ ๕ ต้องทรงติดตามระหว่างเสด็จประพาสยุโรปในช่วงแรก
กล่าวอีกทางหนึ่งก็คือ หากรัชกาลที่ ๕ ไม่ทรงพระประชวร ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเสด็จฯ ยุโรปเพียงเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยให้สัตยาบันสนธิสัญญาดังกล่าว มีหลักฐานชัดเจนว่า รัชกาลที่ ๕ เคยตั้งพระทัยว่า จะไม่เสด็จฯ ยุโรปอีก ยกเว้นทรงพระประชวร
ดังความในพระราชหัตถเลขา พระราชทานหม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤดากร หลังตกลงพระทัยเสด็จฯ ยุโรปครั้งที่ ๒ ว่า "ถ้าหากว่าไม่จำเปน ข้าจะไม่ไปอีกเลย ได้พูดไว้แต่คราวก่อนแล้วว่า เว้นไว้แต่ที่เจ็บไข้จำเปนจึงจะไป" ดังนั้น การเสด็จฯ ยุโรปครั้งที่ ๒ จึงเป็นเรื่องการรักษาพระองค์โดยแท้ แต่เมื่อจะเสด็จฯ จริงๆ ก็ทรงมีงานราชการให้ทรงต้องติดตาม
กระนั้นก็ตาม รัชกาลที่ ๕ ยังทรงดำรงความมุ่งหมายที่จะรักษาพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเสด็จฯ ไปประทับรักษาพระองค์ที่เมืองซันเรโม และการทรงปฏิบัติตามคำกราบบังคมทูลของแพทย์ต่างๆ เพราะฉะนั้น จึงไม่อาจตีความได้ว่า รัชกาลที่ ๕ ไม่ให้ความสำคัญแก่การรักษาพระองค์ หรือทรงอ้างพระอาการประชวรเป็นการลวงในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ
เมื่อพิจารณาเหตุการณ์ต่างๆ โดยรวมแล้ว สรุปได้แน่นอนว่า พระอาการประชวรเรื้อรังซึ่งกำเริบขึ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ กระทั่งทำให้รัชกาลที่ ๕ ทรงวิตกว่า อาจร้ายแรงถึงขั้นเป็นเหตุให้เสด็จสวรรคตได้ เช่นกรณีพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว คือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้รัชกาลที่ ๕ ตัดสินพระทัยเสด็จฯ ยุโรปครั้งที่ ๒
ดังนั้น พระราชประสงค์ที่แท้จริง คือการรักษาพระองค์ให้หายขาดจากพระอาการประชวรที่เรื้อรังมานาน
อย่างไรก็ตาม หลังจากเสด็จฯ กลับจากยุโรปได้เพียง ๓ ปี รัชกาลที่ ๕ ก็เสด็จสวรรคตด้วยพระวักกะพิการ (ไต) พระโรคนี้เกี่ยวโยงกับพระโรคเมื่อเสด็จฯ ยุโรปครั้งที่ ๒ หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาในรายละเอียดต่อไป
คำตอบที่ได้อาจตอบคำถามที่ว่า แพทย์ซึ่งถวายการตรวจรักษาที่เมืองซันเรโม เป็นครั้งแรกที่ยุโรปนั้น วินิจฉัยพระอาการประชวรผิดหรือไม่ หรือแพทย์วินิจฉัยถูก แต่รัชกาลที่ ๕ ไม่โปรดให้เผยแพร่คำวินิจฉัยทั้งหมด เช่นที่รัชกาลที่ ๖ ทรงเล่าไว้ว่า
...แต่ในรายงานที่โปรดเกล้าฯ ให้ลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษานั้น หาได้ลงตลอดตามที่หมอตรวจและออกความเห็นไม่, มีแต่ว่ามีพระอาการประชวรเล็กน้อยที่ช่องพระนาสิกและพระศอ, กับว่าพระเส้นประสาทไม่ค่อยจะแขงแรงเพราะทรงทำงานกลางคืน และทรงพระโอสถสูบมากเกิน,
ส่วนความเห็นของหมอที่ว่ามีพระอาการพระวักกะพิการเรื้อรัง, ซึ่งแท้จริงเป็นพระอาการสำคัญอันต้องวิตกนั้น, หาได้ลงพิมพ์ให้ผู้ใดทราบไม่
ขอขอบคุณ
ข่าวสดออนไลน์ พ.อ.ผศ.ดร. ศรศักร ชูสวัสดิ์
ภุมวารสวัสดิ์วัฒนาค่ะ
Create Date : 21 มิถุนายน 2554 |
|
0 comments |
Last Update : 21 มิถุนายน 2554 22:26:22 น. |
Counter : 894 Pageviews. |
|
|
|