ไฟฟ้า + ศัลยศาสตร์
วันนี้ตอนเช้าเราได้ศึกษาหลักการทางไฟฟ้าในวิชาการรักษาด้วยเครื่องกระตุ้นทางไฟฟ้าอาจารย์สอนทั้งทฤษฎีกระแสตรงและสลับตลอดจนการใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าเพื่อลดอาการบวมและเจ็บปวดไฟฟ้าความถี่ต่ำเช่น 10 เฮิตร์ซ จะใช้ลดบวมถ้าใช้ความถี่สูงเช่น 100 เฮิตร์ซจะใช้ลดปวด โดยการกระตุ้นจะมีขั้วอยู่ 2 ขั้วหลักคือบวกกับลบขั้วลบจะให้ผลกระตุ้นแรงกว่าขั้วบวกสิ่งที่ต้องระวังคือ อย่าให้ขั้วทั้งสองกระตุ้นผ่านหัวใจเพราะหัวใจมีน้ำเป็นองค์ประกอบมากจึงมีความต้านทานไฟฟ้าต่ำถ้ากระตุ้นแล้วอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ อีกสิ่งหนึ่งที่อาจารย์เน้นก็คืออย่าปล่อยให้ผู้ไม่มีความเข้าใจในการใช้ได้ใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าตามลำพังเพราะอาจเกิดอันตรายได้ ตอนบ่ายไปเรียนวิชาศัลยศาสตร์มีการศึกษาในเรื่องประวัติความเป็นมาเริ่มตั้งแต่สมัยยุคหินที่มนุษย์รักษาอาการปวดศีรษะด้วยการเจาะกะโหลก เพื่อไล่ปีศาจออกไปต่อมาก็มีอารยธรรม 3 อย่างคือ เมโสโปเตเมีย อียิปต์ และอินเดียมารวมกันเป็นอารยธรรมกรีกมีแพทย์ผู้สำคัญได้แก่ ฮิปโปเครติสได้เปิดโรงพยาบาลขึ้นในสมัยนั้น ส่วนอินเดียในสมัยพุทธกาลก็มีหมอชีวกที่ในบ้านเรานับถือท่านเป็นบรมครูทางการแพทย์ อารยธรรมจีนก็มีหมอฮัวโต๋ในสมัยสามก๊กผู้ผ่าตัดรักษากวนอูที่ถูกธนูยิงแขนขวาสมัยนั้นไม่มียาสลบ จึงใช้วิธีให้ทานเหล้าเข้าไปเพื่อให้ลืมความเจ็บปวด ในที่สุดก็รักษาได้สำเร็จต่อมาหมอฮัวโต๋ไปรักษาอาการปวดศีรษะให้โจโฉท่านเสนอให้ใช้วิธีเจาะกะโหลกโจโฉสงสัยว่าท่านมีเจตนาคิดร้าย จึงจับไปขังจนเสียชีวิตทำให้วิชาแพทย์บางส่วนสูญหายไป น่าเสียดายจริงๆ ยุคต่อมาเป็นยุคมืด การแพทย์ตกอยู่ในมือของบาทหลวงการรักษาเป็นไปตามคำสอนของศาสนจักรทำให้การแพทย์ในยุคนี้ไม่พัฒนาเท่าที่ควร ยุคต่อมาคือยุคฟื้นฟูหรือยุคเรเนสซอง ที่อังกฤษพระเจ้าเฮนรี่ได้นำเอาการตัดผมกับวิชาศัลยศาสตร์มารวมกันเป็นวิชาเดียวร้านตัดผมจึงเป็นคลินิกไปในตัวมีผ้าชุบเลือดพันเกลียวรอบเสาสีขาวเป็นสัญลักษณ์เป็นที่มาของไฟเกลียวหมุนสีแดงขาวที่เราพบเห็นหน้าร้านตัดผมในปัจจุบันนั่นเองศัลยศาสตร์ในอังกฤษจึงพัฒนามากับการตัดผมด้วยเหตุนี้ ต่อมาก็คือยุคปัจจุบัน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมาได้มีการพัฒนาการทำศัลยกรรมโดยใช้ยาสลบในระยะแรกจะใช้พวกแก๊ส เช่น อีเทอร์ ฉีดให้ดมต่อมาจึงปรับเปลี่ยนเป็นยาสลบที่ใช้ในปัจจุบันนอกจากนี้ยังมีการผ่าตัดเพื่อปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไตและการตัดต่อร่างกายด้วยเทคนิคต่างๆ ด้วย จากนั้นอาจารย์ได้สอนในเรื่องการตอบสนองของร่างกายต่อการบาดเจ็บซึ่งมี 2 อย่างคือ การตอบสนองเฉพาะที่เช่น การถูกเสี้ยนตำ แล้วมีเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายร่างกายจะนำเม็ดเลือดขาวมาต่อสู้กับผู้รุกรานซึ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณที่มีแผลเท่านั้น อีกอย่างคือการตอบสนองของระบบทั้งร่างกายเช่น ได้รับบาดเจ็บสาหัสร่างกายจะตอบสนองใน 4 ด้านคือระบบประสาทส่วนกลาง ระบบต่อมไร้ท่อการสร้างหรือสลายพลังงาน และภูมิคุ้นกันซึ่งจะเกิดขึ้นกับทุกส่วนในระบบของร่างกาย ส่วนบทบาทของนักกายภาพบำบัดที่มีต่อวิชาศัลยศาสตร์จะเป็นยังไงคงต้องติดตามกันต่อไปในคราวหน้าแล้วอย่างน้อยวันนี้เราก็ได้รับความรู้ใหม่ๆ เป็นอันมากที่จะทำให้เราได้สนุกกับการศึกษาเรียนรู้กันต่อไป
--- วิทยายุทธ มิตรภาพ ความรัก บุญคุณ ความแค้น สิ่งเหล่านี้มิอาจหลีกเลี่ยงได้จริง ๆ ---
ปล. วิชาที่คุณเรียนท่าทางจะสนุกนะครับ
อ่านแล้วเพลินจัง....