อาทิตย์สาดส่อง..ความจริงจักปรากฎทั่วปฐพี!!!
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
12 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 
สนธิลิ้ม เปิดใจไทยโพสต์ "ทุกฝ่ายกลัวเรา"(๒)

ถ้าพูดอย่างให้ความเข้าใจ เวลานั้นเหมือนทำสงคราม พันธมิตรต้องปฏิเสธความเห็นต่างเพื่อไม่ให้ไขว้เขว แต่เมื่อเป็นพรรคการเมือง จะเป็นพรรคของพันธมิตรหรือพรรคของมวลชน ถ้าเป็นพรรคมวลชนก็ต้องเปิด

"เราเปิดกว้างแน่นอน แต่เราเปิดกว้างบนพื้นฐานที่อุดมการณ์เราไม่เปลี่ยนแปลง อุดมการณ์เสียสละ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ ทำงานเป็น เราไม่เปลี่ยนแปลง"


พันธมิตรจะพลิกจากผู้ตรวจสอบมาเป็นพรรคการเมืองต้องถูกตรวจสอบ

"เราจะถูกตรวจสอบโดย 2 ฝ่าย ฝ่ายแรกคือสังคมทั่วๆ ไป สองโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เราพร้อมที่จะให้ตรวจสอบ จุดยืนเราพร้อมให้ตรวจสอบ การกระทำเราก็พร้อมให้ตรวจสอบ เราจะเป็นคนซึ่งยอมให้ตรวจ
สอบมากกว่าพรรคการเมืองทุกพรรค รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ด้วย"

การตรวจสอบคงไม่ใช่เรื่องทุจริต แต่จะเป็นการถกเถียงเรื่องแนวคิด

"เราพร้อม แต่ว่าตราบใดก็ตามการตรวจสอบอันนี้ไม่ทำให้หลักการเราเปลี่ยนแปลง เพราะถ้ามาตรวจสอบหลักการเรา เรายืนบนหลักการที่ถูกต้อง และเราก็จะยืนหยัดอยู่อย่างนี้"


ถ้าเปรียบว่าผ่านช่วงทำสงครามมาแล้ว ตอนนี้ต้องอ่อนท่าทีลงไหม

"ผมไม่อยากใช้คำว่าการอ่อนท่าที ผมอยากจะใช้คำว่าเปิดกว้างรับแนวร่วมมากขึ้น แต่จะเปิดกว้างอย่างไรก็ตาม ก็ยังยืนหยัดอยู่บนหลักการ 4 ข้อ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะพรรคการเมืองใหม่ต้องไม่ซ้ำรอยเดิมพรรคพลังธรรม ซึ่งพรรคพลังธรรมมาได้ครึ่งทางแล้ว พรรคพลังธรรมที่ผิดพลาดที่สุด พี่ลองเองก็ยอมรับ คือการไปเอาทักษิณมาเป็นหัวหน้าพรรค เพราะรู้จักคนรู้จักหน้าไม่รู้จักใจ เราจะไม่มีทำความผิดพลาดนั้น แต่เราจะยอมรับฟังความเห็นมากขึ้น แน่นอนที่สุด"


ชีวิตไม่ใช่ของผมส่วนตัวรู้ไหมว่ามีจุดอ่อนเยอะ

"มีเยอะ แต่วันนี้มีหน้าที่สร้างพรรค ผมมีหน้าที่สมานความสามัคคีในกลุ่มพันธมิตรด้วยกัน พันธมิตรเรามี 76 จังหวัด แต่ละจังหวัดนี่ไม่ยอมใครทั้งสิ้น ผมหน้าที่ทำให้ทุกคนหลอมความคิดหลอมอุดมการณ์เข้าไป จุดอ่อนของผมมี

กร้าว

ผมไม่ยอมคน ผมคิดอะไรผมพูดไปอย่างนั้น ในวงการสื่อมวลชนเกลียดขี้หน้าผม ช่วยไม่ได้ แต่วันที่ผมตายไป เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อพวกเขามองย้อนหลังแล้วเขาจะเสียใจที่สังคมไทยไม่มีคนอย่างผม"


คุณสนธิเป็นคนที่คนรักก็รักมาก คนเกลียดก็...(พูดยังไม่จบ)

"เกลียดมาก ผมไม่แคร์ เพราะผมไม่ใช่คนกลางๆ เพราะผมมีจุดยืนที่ชัดเจน"


แล้วจะเป็นอุปสรรคต่อการเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองไหม

"เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือถึงที่สุดแล้วคนที่รักผมเขาศรัทธาในตัวผม เขาจะทุ่มเทให้ผม คนที่เกลียดผมนี่เกลียดผมจริงๆ แต่ถ้าเป็นคนที่เกลียดด้วยปัญญา และเป็นคนที่มีสติมีปัญญา ในที่สุดผ่านไประยะเวลาหนึ่ง... อย่าลืมนะปี

2548 กว่าผมจะมาถึงวันนี้ได้ กว่าคนจะยอมรับผมได้ ผมต้องทำให้คนที่ไม่ไว้ใจผมและเกลียดผม เริ่มค่อยๆ พลิกทีละนิด เออมันสู้จริงโว้ย เฮ้ยมันของจริงไม่ใช่ของปลอม เพราะจะเริ่มด้วยว่าสนธิ-คำพูดที่เป็นมาตรฐานที่ทุกคนใช้ ทุกรัฐบาลใช้ ก็คือ-มันขอเขาไม่ได้มันถึงด่าเขา เฮ้ยพอมันไม่ได้ดังใจมันก็เล่นงานเขา นี่เป็นคำพูดทุกครั้ง แม้กระทั่งในพรรคประชาธิปัตย์ พอผมเริ่มวิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์เขาหาว่าผมไปขอโครงการแล้วเขาไม่ให้ คนของพรรคประชาธิปัตย์พูด คนของพรรคเพื่อไทยพูด"

"มันต้องใช้เวลาช่วงหนึ่ง คนที่ขมขื่นที่สุดต้องอดทนที่สุดคือผม ผมก็ต้องอดทนมาตลอด จนกระทั่งผ่านมาถึงปี 2552 จากกลุ่มพันธมิตรหลายกลุ่มที่ไม่ไว้ใจผมเริ่มไว้ใจผม เชื่อใจผม ตอนที่เราเริ่มพันธมิตรใหม่ๆ ไม่มีใครไว้ใจผม พี่พิภพก็ไม่ไว้ใจผม พี่สมศักดิ์ก็ไม่ไว้ใจผม ไอ้ใสก็เช่นเดียวกัน มีพี่ลองคนเดียวที่เชื่อใจผม แต่มาวันนี้ทุกคนยอมรับผม ทุกคนยอมรับความจริงใจผม ทุกคนยอมรับความสัตย์ซื่อและความกล้าหาญของผม เพราะฉะนั้นจากนี้ไป อีก 2-3 ปีข้างหน้าก็เป็นภารกิจซึ่งผมต้องอดทน อดทนให้คนที่เกลียดผมเขามีความรู้สึกว่าในที่สุดแล้ว ถ้าเขามีปัญญามีสติเขาจะบอก เฮ้ย-เรามองสนธิผิดไป มันอาจจะดีก็ได้ แต่คนที่เกลียดเพราะสติมันแตก เพราะว่าความโมหะของมัน อันนั้นผมช่วยไม่ได้แล้ว ในโลกนี้จะต้องมีคนประเภทนี้อยู่ตลอดเวลา ผมต้องยอม นี่คือความเจ็บปวดของผมไง นี่คือคำตอบที่บอกว่าผมไม่อยากเป็นแต่ผมต้องเป็น เพราะเป็นแล้วมันต้องเจอหอกเจอดาบเจอธนูอยู่ตลอดเวลา ต้องอดทน ต้องอดทนเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่คือทำอย่างไรเพื่อให้สังคมไทยได้ปัญญา"


การเป็นสื่อมวลชนทำให้ถูกตั้งคำถามมากด้วย

"แน่นอนที่สุด ซึ่งผมก็เฉยๆ ผมยังขำ ผมขำในเชิงที่เป็นวิชาชีพของสื่อมวลชน เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องที่ใหญ่เทียมฟ้า สื่อมวลชนต่างประเทศมันยังแข่งกันทำ มันไม่ได้สนใจว่าใครเริ่มก่อน ผมยังจำได้สมัยคดีวอเตอร์เกท
ประธานาธิบดีนิกสัน สองคนแรกที่ทำเรื่องนี้คือบ็อบ วู้ดเวิร์ด กับคาร์ล เบิร์นสไตน์ วอชิงตันโพสต์ พอมันตีข่าวไปวันแรก สิ่งแรกที่เขาทำคือวอชิงตันไทม์ นิวยอร์คไทม์ แอลเอไทม์ ทุกฉบับมันประชุมใหญ่ เฮ้ยทำไมวอชิงตันโพสต์ได้ฉบับเดียว ทุกคนมัน fight กันหมดเลย เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้ชนะวอชิงตันโพสต์ ปัญหาใหญ่ระดับชาติหลายปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาไทยกำลังจะเสียดินแดน ซึ่งใหญ่มาก แทนที่ทุกคนจะบอกว่าเฮ้ยทำไมผู้จัดการได้ไปคนเดียว คือทุกคนไม่ได้พูดว่าทำไมผู้จัดการได้ไปคนเดียว แต่ส่วนใหญ่จะบอกว่าเฮ้ยผู้จัดการลง อย่าไปลงแม่-มัน อันนี้คือข้อผิดพลาดของสื่อมวลชน หรือแม้กระทั่งการยิงผม มีอยู่ไม่กี่ฉบับที่สนใจ นอกนั้นแล้วช่างมัน ให้มันตายซะก็ดี"


พูดแบบนี้สื่อฟังก็ยิ่งจะไม่ชอบ หัวหน้าพรรคการเมืองต้องพึ่งสื่อนะ

"มันไม่ใช่ผม ผมเอาความจริงมาพูด ผมเอาธรรมมาพูด ถ้าผมต้องเปลี่ยนตัวผมเองเพียงเพื่อผมต้องการเอาใจสื่อ นี่ไม่ใช่การเมืองใหม่ เพราะผมถือว่าความจริง ความดีที่ผมทำ ถ้าสื่อเมืองไทยเห็น สื่อเมืองไทยให้การสนับสนุน ถือว่าเป็นบุญเป็นกุศลสังคมไทย แต่ถ้าสื่อเมืองไทยยังไม่เห็น ผมถือว่าเป็นความโชคร้ายของสังคมไทย ผมก็ต้องสู้ต่อไป เพราะว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชินซะแล้วกับการสู้อย่างโดดเดี่ยว แต่ว่ามันได้ผล เพราะถึงจุดจุดหนึ่งก็เริ่มมีคนเห็นใจ เริ่มมีคนเข้าใจเรามากขึ้น"


ที่บอกว่าคนรักมากเกลียดมาก บางด้านก็เหมือนกับทักษิณ

"ถูก แต่คุณทักษิณเวลาคนเกลียดคือเกลียดการกระทำของคุณทักษิณ ของผมที่เกลียดเกลียดเพราะหมั่นไส้"

ทักษิณแม้ไม่พูดถึงเรื่องผลประโยชน์ นิสัย ปาก ก็ทำให้คนหมั่นไส้

"ก็เพราะว่าเป็นอย่างนั้น แล้วพอบวกผลประโยชน์เข้าไปด้วย แต่ว่าผมมันไม่มีผลประโยชน์ ฉะนั้นผมจะโดนเกลียดอยู่บนพื้นฐานของโคลน ของผมถูกเกลียดก็เพราะว่าจิตใจมันเกลียดไม่ใช่เหตุผลในการเกลียด"


ที่บางคนเกลียดเพราะเหมือนกับว่าพูดแล้วคนต้องเชื่อ ถูกทุกอย่าง เหมือนเป็นศาสดา

"ผมไม่เคยพูดแล้วขอให้ทุกคนเชื่อ ถ้าผมพูดอะไรแล้วไม่จริง ปี 2548-2552 สี่ห้าปีมันพิสูจน์ได้แล้วว่าสิ่งที่ผมพูดคุณมีสิทธิไม่เชื่อได้ แต่ทำไมคุณเชื่อ เพราะว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริงทั้งนั้น"


บางคนอาจจะมองว่าต้องรักสนธิ ต้องเกลียดสนธิ แต่บางคนอาจจะมองว่าเป็นอาวุธอย่างหนึ่ง มีจุดเด่นจุดด้อย การที่เขามาร่วมกับพันธมิตรเขาอาจไม่ได้ศรัทธาคุณสนธิ แต่เพราะเขาต้องการไล่ทักษิณ

"ของธรรมดา ถ้าคุณยกตัวอย่างอย่างนี้มันมีหมดทุกอย่าง แต่สิ่งที่ผมพยายามจะพูดคือผมไม่เคยคิดว่าผมเป็นศาสดา ผมพูดนี่เชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่ว่ากัน ทุกครั้งที่การชุมนุมตั้งแต่ปี 2548 มาผมยังจำได้ เวลาผมเปิดแถลงข่าว นักข่าวถามผมคำแรก เป็นคำถามที่คลาสสิคที่สุด คุณสนธิคิดว่าจะมีคนมาชุมนุมกี่คน ตลอดเวลา และผมก็จะตอบคำถามด้วยคำตอบที่คลาสสิคตลอดเวลา ผมบอกผมไม่สนใจว่าจะมีกี่คน จะมีร้อยคนผมก็จะขึ้นพูด เพราะผมเชื่อในสิ่งที่ผมทำ และผมก็มามองดูองค์ประกอบของพันธมิตรแล้ว องค์ประกอบพันธมิตรเป็นคนที่เรียนหนังสือสูง จบปริญญาตรี 60-70% ปริญญาโทก็เยอะ คนพวกนี้ไม่ใช่คนที่ผมไปซี้ซั้วพูดได้ แรกๆ เขาก็ไม่เชื่อ อย่างผมพูดเรื่องบ่อน้ำมันในเขมรในอ่าวไทย สมัยที่ผมออกรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ที่สวนลุม รู้ไหมใครที่พูดว่าผมเพ้อฝัน มล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ ท่านเป็นคนพูดเองว่าสนธิเพ้อฝัน แต่วันนี้ท่านมายอมรับว่าผมพูดจริง และจะพูดอีกเร็วๆ นี้ เรื่องเขาพระวิหาร ซึ่งหลายคนบอกว่าผมเพ้อฝัน"

"บางครั้งคุณพูดความจริง ที่คุณพูดความจริงเพราะคุณมีความเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น เพราะหนึ่งองค์ความรู้คุณบอกคุณ สองการที่คุณสัมผัสมามาก อ่านหนังสือมามากเห็นมามาก สามสัญชาตญาณคุณบอก 3-4 สิ่งรวมกันแล้วทำให้เมื่อพูดออกไปแล้วมันยังไม่เป็นจริง มันต้องใช้เวลาสักพักพิสูจน์ คำถามคือคุณจะยืนหยัดได้อย่างไร ในช่วงจากตรงนี้ถึงตรงนี้ ทนต่อไปเพื่อให้มาถึงตรงนี้และให้ความจริงมันเกิดขึ้น ตรงนี้คือความอดทนที่ต้องมี ผมไม่ได้สนใจหรอก ผมเชื่อว่าวันที่ผมตายไปแล้วเด็กรุ่นหลังเมื่อมาอ่านข้อเท็จจริง อ่านสิ่งที่ผมสู้มา เปรียบเทียบ เด็กรุ่นหลังเขาจะเป็นคนตัดสินเอง ว่ามันเป็นอย่างนี้เองหนอ ใช้คำพระก็คือมันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละ"


เขาอาจจะไม่ได้มองว่าเป็นผู้ร้ายหรือเป็นวีรบุรุษ แต่เป็นอาวุธของสังคม

"เป็นอาวุธของใครล่ะ ถ้าเป็นอาวุธของประชาชนผมเต็มใจให้เป็น ไม่เสียหายนี่"

คนจำนวนหนึ่งที่มาร่วมพันธมิตร เขาอาจจะไม่ได้เชื่อคุณสนธิ แต่เขาเห็นว่าล้มทักษิณได้ ถึงวันนี้เขาอาจจะรู้สึกว่าคุณสนธิควรหมดบทบาทแล้ว

"ก็เป็นสิทธิที่เขาจะคิดอย่างนั้นได้ ผมไม่ห้าม และเขาไม่อยากสนับสนุนพรรคการเมืองใหม่ผมก็ไม่ว่า เพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ใช่องค์กรที่ตายตัว มันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณเป็นเรื่องความศรัทธา มีไหมคนที่ไม่ศรัทธาผม มี ผมแคร์ไหม ผมเฉยๆ ผมเพียงแต่หวังว่าเมื่อเขาทราบความจริงแล้วเขาจะเปลี่ยนใจ และผมไม่ต้องการให้เขามาศรัทธาผม มาศรัทธาผมทำไม ผมไม่ใช่เทพเจ้าผมไม่ใช่ศาสดา ไม่ต้องมาศรัทธาผม แต่ว่าเชื่อในสิ่งที่ผมทำหรือเปล่า และสิ่งที่ผมทำมันตรงใจคุณหรือเปล่า ถ้าตรงใจก็โอเค ถ้าคุณคิดว่าผมเป็นเครื่องมือในการล้มทักษิณ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วคุณไม่เชื่อผมอีกต่อไป ก็เป็นเรื่องของคุณอีกเหมือนกัน ผมไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ถ้าอย่างนั้นคุณไปตามเส้นทางคุณ ผมไปตามเส้นทางผม คือเดินตามเส้นทางของมวลชนส่วนใหญ่ที่เขาต้องการให้ผมมาทำการเมือง ถ้าคุณไม่เชื่อสิ่งที่ผมทำก็ไม่ต้องสนับสนุนผม"


กลุ่มฮาร์ดคอร์เป็นคนกลุ่มที่เชื่อคุณสนธิมาก พอเป็นหัวหน้าพรรคกลุ่มนี้อาจขยายบทบาท มันจะเป็นอุปสรรคกับกลุ่มที่สาม กลุ่มพลังเงียบที่พูดถึงไหม

"ไม่รู้สิ แต่ผมรู้อยู่อย่างเดียวว่าเวลาผมไปต่างจังหวัดพี่น้องประชาชนก็ยังให้การต้อนรับผมอยู่เหมือนเดิม ผมไปหนองคาย เดินไปเที่ยวตลาดอินโดจีน พี่น้องก็วิ่งออกมา ถ่ายรูปกับผม กอดผม คุณป้าคุณย่าคุณยาย ลูกหลานเขาพาผมไปกราบท่านผมก็ไป ผมเป็นคนธรรมดา คือผมไม่ได้ยี่หระจากการซึ่งคนมีความรู้สึกว่าผมยิ่งใหญ่ไม่น่าเคารพนับถือ ผมวางเฉยมาก ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำผมทำดีให้ชาติบ้านเมือง ผมทำดีให้ส่วนรวม วันนี้ไม่เห็นคุณค่าผมวันหน้าก็ต้องเห็น และจริงๆ ผมก็ไม่อยากทำด้วยนะ ผมไม่อยากมาอยู่ในจุดนี้ ถามว่าย้อนหลังกลับไป ผมอยากจะทำอะไร ย้อนหลังกลับไปผมไม่อยากอยู่เมืองไทย ผมไม่อยากรับรู้สิ่งที่คุณทักษิณทำกับประเทศไทย แต่ถ้าผมรับรู้แล้วไม่ว่าผมอยู่ที่ไหนผมก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน"

"จริงๆ แล้วประชาชนไม่ควรเลือกผม 70% ที่เลือกผมจากการชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ไม่ควรเลือกผมเป็นหัวหน้าพรรค ถ้าเขาเลือกให้พี่พิภพ อ.สมเกียรติ พี่ลองเป็น หน้าที่ผมก็จบแล้ว แต่วันนี้ผมไม่มีสิทธิ ที่ผมไม่มีสิทธิเพราะถ้าผมปฏิเสธปัง อ้าว! แล้วมึงมาตั้งพรรคทำไม มึงมาถามความเห็นกูว่าควรจะตั้งพรรคหรือไม่ควร แล้วกูให้ความเห็นว่าควร มึงเสือกมาถามว่าใครควรเป็นหัวหน้าพรรค กูบอกว่ามึงควรเป็นแล้วมึงเสือกไม่เป็น ผมตอบคำถามเขาไม่ได้ เพราะผมไม่เคยมีชีวิตที่เป็นของผมเอง"

"นับตั้งแต่ผมเข้ามาร่วมชุมนุม ชีวิตผมถูกกำหนดโดยมวลชน มวลชนกำหนดผมเอง ถ้าผมถอยออกมา ในอนาคตข้างหน้าถ้ามีอะไรไม่ดีขึ้นมากับชาติบ้านเมือง และถ้าผมต้องการที่จะออกมาเพื่อสู้ เขาก็บอกเฮ้ยไม่ไหวไอ้นี่มันสู้ครึ่งๆกลางๆ มันไม่ใช่นะ มันมีข้อต่ออีกหลายข้อต่อที่ผมต้องคำนึงถึง เอ้าเหมือนผมติดคุกหรือไม่ติดคุก ถ้าผมแก้กฎหมายให้ตัวเองไม่ติดคุก สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นคืออะไร ลูกชายผมเดินไปถนนต้องเอาปี๊บคลุมหัว ลูกน้องผมทั้งASTV ทั้งผู้จัดการ มันก็จะอายเพราะมันเคยสู้มา มันบอกว่านายมันเก่ง ซื่อสัตย์ นักเลงใจกล้า มีคุณธรรม สุดท้ายขบวนการประชาชนจะล่มสลาย ฉะนั้นก็ถามกลับ ชีวิตผมเป็นของผมหรือเปล่าล่ะ ไม่เป็นแล้ว ผมมีชีวิตอยู่เพื่อส่วนรวมเพื่อมวลชน"

"เพราะฉะนั้นในมวลชนนั้นก็จะมีทั้งคนชอบผมมาก และจำนวนมากด้วยที่ชอบผม ไอ้ฮาร์ดคอร์นี่แน่นอน แต่นอกจากฮาร์คอร์แล้วคุณอย่าประมาท ยังมีคนชอบผมอีกเยอะมาก ส่วนคนไม่ชอบผม ต้องมี ถ้าไม่มีมันผิดปกติ เพียงแต่ว่าผมใส่ใจมากไหม ผมก็ใส่ใจ อะไรที่เขาไม่ชอบผมผมก็พยายามแก้ แต่ถ้าผมแก้ถึงจุดจุดหนึ่งผมแก้ไม่ได้เพราะมันผิดหลักการผม เหมือนกับถ้าคุณบอกว่าผมจะต้องเดินขึ้นสำนักงานหนังสือพิมพ์ทุกฉบับแล้วเอาดอกไม้ไปให้เขาเพื่อบอกว่าช่วยหน่อย ผมทำไม่ได้ เมื่อผมทำไม่ได้ผมก็ทำไม่ได้ อยากกระทืบผมก็กระทืบไปสิ เพราะทุกวันนี้พวกคุณก็กระทืบผมอยู่แล้ว ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย ไอ้คนที่โดนมา 200 กว่านัดแล้วมันฟื้นจากความตายมันไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วนะ"


แบบนี้แหละที่เขาเรียกว่าศาสดา

"ก็ไปตั้งว่าศาสดา ที่ผมต้องพูดอย่างนี้เพราะว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้น ที่ผมต้องพูดอย่างนี้เพราะผมไม่ต้องการทำลายความศรัทธาของประชาชนเขา ผมไม่ต้องการว่าบอกว่าหลงตามมันนึกว่ามันจะแน่ ในที่สุดมันก็ของปลอม"


เดี๋ยวก็มีคนบอกว่าคุณสนธิเป็นอะไรไปไม่ได้เลย ถ้าเป็นอะไรไปภาคประชาชนก็ล่มสลาย

"มันไม่ล่มสลายหรอก แต่ผมมีความรู้สึกว่าเขาจะท้อถอย ผมไม่อยากให้เขาท้อถอย ถ้าผมทำให้เขาท้อถอยผมจะเป็นคนบาปของเขา ผมทำไม่ได้ มันไม่ง่าย แต่มันก็ไม่ยาก มันขึ้นอยู่กับเรา ใจเราอยู่ที่ไหน ถ้าใจเรานิ่ง ทุกวันนี้มีชีวิตอยู่ได้เพราะผมคิดว่าทุกอย่างที่มีอยู่เป็นเรื่องสมมติทั้งนั้น ถามพี่เปลวดูสิ กฏไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุขขัง อนัตตา และในที่สุดมันก็ไม่มีอะไร วันนี้พัชรวาทมีอะไรไหม วันนี้ทักษิณมีอะไรไหม วันนี้จอมพลถนอมมีอะไรไหม วันนี้ พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร ตายไปอยู่ที่ไหนแล้ว ระหว่างมีอะไรถ้าทำคุณให้แผ่นดินทำได้มากเท่าไหร่ ยิ่งทำยิ่งดี ผ่านไปแล้วมันเป็นเรื่องสมมติหมด พี่เปลวกับผมก็ผ่านมาเยอะแล้ว เห็นมามาก คุณบุญชู โรจนเสถียร มีอะไร ม.ร.ว.คึกฤทธิ์มีอะไร คุณปรีดี พนมยงค์ มีอะไรไหม มีอยู่อย่างเดียวสุดท้ายแล้วเมื่อไม่มีอะไรแล้ว คนรุ่นหลังเขาพูดถึง พูดถึงคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์อย่างดี พูดถึงคุณสุภา (ศิริมานนท์) อย่างดี อย่างน้อยที่สุดผมก็เชื่อว่าเมื่อผมไม่มีอะไรแล้วสักวันหนึ่งคนรุ่นหลังจะพูดถึงผมในแง่ดีมากกว่าแง่ร้าย ส่วนไอ้ที่มาให้ร้ายผมหรือหมั่นไส้ผม ผมช่วยไม่ได้ ผมเพียงแต่สงสารเขา ที่เขาไม่มีวันเข้าใจ ว่าอะไรถูกอะไรผิด ที่ร้ายที่สุดคือเขาไม่ได้ทำบทบาทของเขาในฐานะสื่อมวลชน ที่ควรจะเป็นอย่างจริงจัง เขาเอาความหมั่นไส้เป็นตัวคั้ง ก็เลยทำให้วิชาชีพเขาพังทลายไปหมด ทำให้วิชาชีพเขาเดินไปด้วยมายาคติและมีอคติ"


ความสมดุล

พรรคการเมืองใหม่จะเป็นพรรคการเมืองที่ลงเลือกตั้ง แล้วอุดมการณ์การเมืองใหม่จะไปด้วยกันอย่างไร ในเมื่อพันธมิตรเคยพูดถึงการเมืองใหม่ว่าจะต้องรื้อระบบรัฐสภา

"เรายึดถือ 2 ระบบ คือระบบรัฐสภาและระบบการเมืองภาคประชาชนด้วย เราให้ความสำคัญเท่ากัน เราไม่ปฏิเสธ ทั้งคู่ต้องไปด้วยกัน เหมือนกับว่าปัญหาของชาติบ้านเมืองที่ไม่ได้รับการแก้ไขทางสภา และประชาชนเขาเดือดร้อนและรวมตัวกัน"

เป้าหมายสูงสุดไม่ได้บอกว่าต้องการเปลี่ยนระบบเป็น ส.ส.สรรหาหรือ

"(หัวเราะ) อันนี้ยาว คุณอย่ามาถามผมตรงนี้เลย เอาเป็นว่าโดยสรุปผมมีความเชื่อว่าการที่จะทำการเมืองให้ดี ไม่จำเป็นเสมอไปที่จะต้องมาจากการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว ไอ้ 70:30 เป็นเพียงตุ๊กตาที่ตั้งเอาไว้ แต่คนมาอ้างว่าเราจะทำอย่างนั้น ไม่ใช่ ผมกำลังบอกว่าจะทำอย่างไร ที่จะทำให้คนทุกภาคส่วนได้มีสิทธิส่วนในผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ที่ให้เกิดความสมดุลกัน ไม่มีใครได้เปรียบมากเกินไปและไม่มีใครเสียเปรียบมากเกินไป เพราะฉะนั้นแล้วตราบใดก็ตามที่เรายังยึดถือระบบการเลือกตั้งเป็นวิธีเดียวของระบบประชาธิปไตย ผมถือว่าผิด นี่คือกระบวนทัศน์ของผม อาจารย์รัฐศาสตร์ก็จะบอกว่าถ้าไม่ใช่กระบวนการเลือกตั้งแล้วจะมีอะไรล่ะ เขาจะต้องถามอยู่ตลอดเวลา ผมก็ตอบว่ามันมีสิ มานั่งคิดกันสิ คุณอย่าเพียงเอายี่ห้อของการเป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์มา แล้วก็มานั่งธรรมาสน์มาเทศน์ เพราะว่าเป็นอาจารย์รัฐศาสตร์คุณต้องเชื่อผม ไม่ใช่อย่างนั้น"

"เพราะเหตุการณ์ตั้งแต่ปี 2548 มา คุณทักษิณมีข้อดีอย่างหนึ่ง คุณทักษิณทำให้เกิดการเมืองภาคประชาชน และการเมืองภาคประชาชนวันนี้คุณนึกดูจากศูนย์เมื่อปี 2548 มาเป็นล้านๆ คนในปี 2552 แล้วพรรคการเมืองใหม่ตั้งอยู่บนฐานล้านๆ คนในปี 2552 ให้เวลามันอีก 3 ปี 5 ปี 10 ปี ฐานนี้ต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตำถามคือว่าระบบการเลือกตั้งอย่างเดียวมันไม่เพียงพอ แม้กระทั่งถึงแม้เราจะได้เป็นรัฐบาลก็ตาม สมมตินะ ผมก็ไม่ได้เชื่อว่าการเป็นรัฐบาลด้วยเสียงข้างมากคือคำตอบของการสร้างความสมดุลในประเทศไทย เพราะขณะเดียวกันมันก็จะมีฝ่ายค้าน ขณะเดียวกันมันก็จะมีปัญหาอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเขาไม่ได้รับการดูแล เพียงเพราะว่าผมได้เสียงข้างมากในสภา ทำอย่างไรให้เขามีสิทธิมีส่วนเข้ามาร่วมแบ่งปันผลประโยชน์ เพื่อไม่ให้มีใครได้มากเกินไปและไม่ให้มีใครเสียมากจนเกินไป ต้องมาช่วยกันคิด แต่ถ้าใครคิดว่าระบบการเลือก ลงคะแนนเสียง เท่านั้นเองเป็นทางออก ผมขอปฏิเสธว่าไม่ใช่ครับ"


สรุปว่าเป้าหมายไม่ใช่เพื่อให้คุณสนธิเป็นนายกในระบอบรัฐสภา ได้เสียงข้างมาก แต่เป้าหมายคือการเมืองใหม่

"ที่ทุกคนมีส่วนร่วม ที่สร้างความสมดุลให้กับสังคมไทย"


ฉะนั้นพรรคการเมืองใหม่คือเครื่องมือในการเดินงานมวลชน

"พรรคการเมืองใหม่เป็นเครื่องมือหนึ่งของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หนึ่งในเครื่องมือซึ่งยังจะมีอีกหลายเครื่องมือออกมา"

เป็นเครื่องมือในการสร้างฐานมวลชน แต่วันหนึ่งคนจะถามว่าถ้าพรรคการเมืองใหม่มีสมาชิก 5 ล้าน ไม่ได้ต้องการชนะเลือกตั้งหรอก แต่คราวนี้ยึด NBT ยึดทำเนียบใหม่อีกทีชนะแน่

"(หัวเราะ) คงไม่ใช่อย่างนั้น คุณไปสรุปอย่างมีอคติ คือคุณตั้งธงมาแล้วว่าคุณจะต้องเอาเรื่องนี้ให้ได้ มันไม่ใช่หรอก ถ้าเรามีสมาชิก 5 ล้านคน คือทุกวันนี้สมาชิกเราสมาชิกตัวจริง เมื่อใดก็ตามเรามีสมาชิก 5 ล้านคน เมื่อนั้นประเทศไทยเปลี่ยน เพราะสมาชิกของเรามีเยอะมาก เพียงแต่เขาไม่แสดงตัว ถามว่าคนมีอุดมการณ์ร่วมกับเราเยอะไหม เยอะมาก แต่คนที่กล้าพอที่จะมาลงชื่อเป็นสมาชิกอาจจะมีไม่ถึง 5 แสนคนด้วยซ้ำในที่สุด"

"ผมอุปมาอุปไมยให้ฟังดีกว่า การเมืองใหม่เหมือนกับเรากำลังทำตัวอย่างให้ดูว่าเฮ้ยการเมืองใหม่ในวิสัยทัศน์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมันต้องเป็นอย่างนี้ เป็นการเมืองที่สะอาด จะได้ ส.ส.มากี่คนเราไม่สนใจ เป็นการเมืองที่ไม่โกงกิน ไม่ติดกับกิเลส ก็เหมือนกับที่ผมบอกว่าในที่สุดแล้ว พันสองพันคนในอำเภอที่เป็นของเราจะถูมิใจเรา และ 8 พันคนที่ไม่เลือกเราและมันเอาคนอื่นเข้าไปแทนจะเริ่มตั้งข้อสงสัยกับคนที่เลือกเข้าไป แล้วเขาก็หันมามองเรา อย่างน้อยที่สุดถ้าเราเป็นตัวแปร ตัว catalyst ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในที่สุด ถ้าการเมืองใหม่มันเริ่ม work คนเริ่มชอบ พรรคประชาธิปัตย์มันเปลี่ยนตัวมันเอง พรรคชาติไทยมันเปลี่ยนตัวมันเอง พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย ผมคิดว่าผมสำเร็จแล้ว ผมไม่ได้มีอัตตาว่าผมจะต้องเป็นใหญ่ที่สุด ถ้าตัวผมเป็นเหตุทำให้มีการเปลี่ยนแปลง ผมไม่ต้องเป็นอะไรผมก็พอใจ เพราะผมอยากจะกลับไปกินก๋วยเตี๋ยวของผมง่ายๆ ไม่ต้องมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง ผมพอใจผมแค่นี้"

"ถามว่าผมคิดอย่างนี้ได้ตอนไหน ผมเริ่มคิดได้หลังจากที่ผมเข้ามาสู้หลายปีแล้ว และผมคิดตกผลึกวันที่ผมถูกยิงแล้วผมฟื้นขึ้นมา ผมเกิดใหม่แล้วผมบอกว่าเฮ้ยชีวิตผมไม่ใช่เป็นของผมอีกต่อไปแล้ว ชีวิตผมเป็นของสังคม มีชีวิตอยู่ส่วนที่เหลือจะต้องทำอันนี้ให้สำเร็จ ทำสำเร็จแล้วไม่ว่าจะเป็นอะไรไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องเป็นอะไรก้พอใจ พอใจที่สุดคือไม่ต้องเป็นอะไร"

เมื่อกี้ตั้งคำถามแบบ extreme แต่สมมติพรรคการเมืองใหม่มีสมาชิก 5 ล้านคน ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้มี 20 ล้านแล้วชนะการเลือกตั้งเข้ามา แต่ว่าผลักดันการเมืองให้เปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง จะใช้วิธีไหนก็ได้ เพื่อผลักดันการเมืองไปสู่เป้าที่ต้องการคือไม่เอาระบบเลือกตั้งอย่างเดียว

"เป้าที่ต้องการของผมคือให้สังคมสงบสุข ให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ให้ประเทศชาติแข็งแรง ให้ศาสนาเจริญ ให้พระมหากษัตริย์มั่นคง เป้าผมอยู่เพียงแค่นี้ การเลือกตั้งเป็นวิธีหนึ่ง แต่ต้องมีวิธีที่ผสมผสานกันระหว่างการเลือกตั้งกับ
หลายๆอย่าง ซึ่งถามผมว่าอะไร ไม่ทราบ จะทราบเมื่อมีปัญหาแล้วแก้ปัญหา"

มองประชาธิปัตย์อย่างไร ผลจากการโค่นล้มรัฐบาลตัวแทนทักษิณ รัฐบาลประชาธิปัตย์มีอะไรดีขึ้น

"ประชาธิปัตย์ติดกับดักตัวเอง กับดักของการอยากเป็นรัฐบาลแค่นั้นเอง พอติดกับดักตัวเองก็เลยทำให้ตัวเองหรี่ตาข้างหนึ่งในสิ่งซึ่งตัวเองเคยคิดว่าเป็นอุดมการณ์ตัวเอง ซึ่งจริงๆ แล้วไม่มี ประชาธิปัตย์ก็เลยกลายเป็นหนูติดกับ ดิ้นอยู่ตอนนี้ ไม่รู้จะดิ้นไปอย่างไร ผมมีแต่ความสงสารเขา"


ที่ตั้งพรรคเพราะมองว่าเขาไปไม่รอดหรือเปล่า

"ไม่ใช่ การตั้งพรรคการเมืองใหม่ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขาไปไม่รอดหรืออะไร การตั้งพรรคการเมืองใหม่เป็นเพราะว่ามันเป็นอีกอีกก้าวหนึ่งของขบวนการภาคประชาชนที่ต้องเดินหน้าต่อไป"

แกนนำพันธมิตรรวมทั้งคุณสนธิเป็นนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยมาก่อน เคยต่อต้านเผด็จการ ต่อต้านฝ่ายอำมาตยา แต่ต้องร่วมมือกับเขาในช่วงตอนไล่ทักษิณ พอมาถึงตอนนี้ฝ่ายผู้มีอำนาจนอกระบบ เขามีประชาธิปัตย์แล้ว เขาจะยังสนใจพรรคการเมืองใหม่หรือ

"ผมแก้คำถามนิดหนึ่ง คนอื่นผมไม่รู้นะ แต่ผมไม่เคยร่วมมือกับใคร ด้วยความสัตย์จริงในการประท้วงครั้งแรกๆ ไล่ทักษิณก็มีคนติดต่อผมมา จะให้ใช้ความรุนแรง ผมปฏิเสธ ไม่เอา มีคนบอกให้ผมไปเผาโน่นเผานี่ เอาประชาชนไปแล้วทหารจะออกมา ผมไม่เอา ผมไม่ยุ่ง เพราะฉะนั้นนั้นการร่วมมือผมก็เชื่อว่าพี่น้องไม่ได้ร่วม ผมยิ่งไม่ร่วมใหญ่"


เอาว่าเป็นแนวร่วม

"ใครจะมาเป็นแนวร่วมผมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ใครจะมาร่วมขึ้นเวทีใครจะมาร่วมนั่งฟัง แต่ว่าจะมาใช้พวกเราไปทำอย่างนั้น เราไม่เคยคิด"

"พอมาวันนี้แล้วคำว่าอำมาตยาธิปไตยคุณต้องแบ่ง ถ้าถามว่าอำมาตยาธิปไตยเขามีความคงอยู่ในสังคมมานานหรือยัง นานแล้ว เราปฏิเสธเขาได้ไหม ไม่ได้ ก็เหมือนกับกลุ่มนายทุนใหญ่ ก็ปฏิเสธเขาไม่ได้ กลุ่มนายทุนน้อยก็ปฏิเสธเขาไม่ได้ นี่คือปัญหาของการสร้างความสมดุลในสังคมไทยว่าทำอย่างไร ให้ทุกภาคส่วนเขามีสิทธิมีเสียงในการร่วมบริหารประเทศหรือในการแบ่งสรรปันส่วนผลประโยชน์ของประเทศ ตรงนี้ต่างหากที่ผมมอง เพราะฉะนั้นพอมาร่วมครั้งนี้แล้ว คุณอนุพงษ์ คุณประวิตร จะไปจับมือคุณเนวิน จับมือประชาธิปัตย์ ก็เป็นเรื่องของเขา แต่เขาจะจับมืออะไรก็ตามเขาต้องคำนึงถึงหลักการใหญ่ที่สุดก็คือทำอย่างไรให้ชาติแข็งแรง ศาสนาเจริญรุ่งเรือง พระมหากษัตริย์มั่นคง เท่าที่ผมดูอยู่เขาไม่ได้ทำให้ชาติแข็งแรง เขาไม่ได้ทำให้ศาสนาเจริญ และเขาไม่ได้ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์มั่นคง ฉะนั้นปัญหาคือเขาติดกับตรงความต้องการในอำนาจเขามากเกินไป จนกระทั่งเขาลืมหน้าที่ของเขา ถ้าเขากลับมายึดถือหน้าที่ของเขา เขาย่อมไม่โกงกิน เขาย่อมไม่มีโครงการบ้าๆ บอๆ อย่างนี้ ก็แสดงว่าสิ่งที่เขาก้าวเข้ามา เขาก้าวเข้ามาบนการหลอกลวงประชาชน และหลอกลวงสังคม เขาก็ไม่ต่างจากสมัยถนอม-ประภาส เท่าไหร่"

อำมาตยาคงไม่จำกัดแค่ประวิตรหรืออนุพงษ์ แต่เราพูดถึงอำนาจนอกระบบที่เรารู้กัน ถึงวันนี้เขาจะเลือกใครระหว่างประชาธิปัตย์กับเรา

"คุณต้องระวังตรงนี้นิดหนึ่ง คำว่าอำนาจนอกระบบคุณหมายถึงสถาบันกษัตริย์หรือเปล่า ถ้าคุณหมายถึงสถาบันกษัตริย์ผมปฏิเสธ ไม่ใช่ เพราะผมเนี่ย วันนี้สู้มาคือสู้เพื่อให้เมืองไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนกษัตริย์จะเป็นพระองค์ใดผมยินดี ตราบเท่าที่องค์นั้นมีทศพิธราชธรรม เน้นตรงนี้นะ ตราบเท่าที่องค์นั้นมีทศพิธราชธรรม ผมยังเห็นว่าเมืองไทยต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์"

"เพราะฉะนั้นอำนาจนอกระบบในสายตาที่คุณจะถามผม ผมต้องตัดสถาบันพระมหากษัตริย์ออกว่าไม่ใช่ ถ้าอำนาจนอกระบบคุณจะหมายถึงองคมนตรีหรือ ผมคิดว่าคงมาทำอะไรเราไม่ได้หรอก เพราะผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมสู้นั้นเขาต้องเห็นด้วย เพียงแต่ว่าเขาเห็นด้วยในลักษณะไหนอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนการที่เขาจะมาแทรกแซงเราได้ไหม ผมไม่คิดว่าเขาแทรกแซงเราได้ เขามาแทรกแซงเขาก็ต้องเจอพี่พิภพ เจอพี่สมศักดิ์ อ.สมเกียรติ หรือเจอผมหรือเจอพี่ลอง คือผมอยากเรียนอย่างนี้ดีกว่า แกนนำทั้ง 5 คนรุ่นแรกวันนี้ไม่ใช่แกนนำเมื่อปี 2549 อีกต่อไปแล้ว พวกเรา 5 คนความคิดตกผลึกหมด และมีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งเนื้อเดียวกัน เพราะฉะนั้นข้อที่หนึ่งมาทำให้เราแตกแยกทำไม่ได้อยู่แล้ว ข้อที่สองจะมาแทรกแซงอะไรไม่มีสิทธิ พวกเราไม่เคยมีความลับกัน สมัยที่อยู่ 193 วันคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ให้ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ติดต่อผมขอคุยด้วย ผมเอาข้อความนี้มาเล่าให้พี่ลอง พี่พิภพ พี่สมศักดิ์ อ.สมเกียรติ ทุกคนรับรู้หมด ทุกคนบอกสนธิคุยสิแล้วดูว่าเขาจะว่ายังไง เพราะฉะนั้นแล้วผมมั่นใจว่าอำนาจนอกระบบจะมายุ่งอะไรกับเราไม่ได้"

แต่อำนาจนอกระบบ อำมาตยา รัฐราชการ เขาก็ต้องชอบประชาธิปัตย์ซึ่งว่านอนสอนง่ายกว่าพรรคการเมืองใหม่

"ปัญหาใหญ่ของเราคืออะไรรู้ไหม คือทุกฝ่ายกลัวเราหมด แต่ที่สำคัญคือประชาชนไม่กลัว มวลชนเรากลับไม่กลัว ถ้ามองให้ลึกเลย พวกเรานี่คือจุดเปลี่ยนของสังคมไทยนะ เพราะพวกเราคือพลังศีลธรรมที่จะโค่นล้มปรับเปลี่ยนรากเหง้าเดิมๆ ที่ผูกขาดอำนาจมา ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะเข้ามาแล้วบอก เฮ้ย! จากนี้ไปขอให้มีความสมดุลในสังคมได้ไหม อย่างที่ผมได้พูดไปว่าขอไม่ให้มีใครได้มากเกินไปได้ไหม และอย่าให้ใครเสียมากเกินไป ขอแค่นี้ ตรงนี้กระเทือนหมดทุกคนเลย กระเทือนธุรกิจใหญ่ๆ กระเทือนกลุ่มอำมาตยาธิปไตยบางกลุ่ม กระเทือนข้าราชการเก่าบางกลุ่ม มันกระเทือนหมด กระเทือนนักการเมืองชั่วๆ บางกลุ่ม กระเทือนทหารชั่วๆ บางกลุ่ม นั่นคือส่วนหนึ่งที่ผมโดนยิงไงล่ะ"


ก็ใช่ คนถึงว่าคุณสนธิเป็นเหมือนนั่งร้าน

"แต่เมื่อผมฟื้นมาแล้วผมก็บอกว่าเฮ้ยสิ่งที่กูทำนี่ไม่ผิดนี่หว่า ต้องเดินหน้าต่อไป จะมาทิ้งกลางคันได้อย่างไร ถ้าการตายของผม ถ้าจะมีการตายอีกครั้ง ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้จริง มันก็คุ้ม เพราะวันนี้การตายสำหรับผมมันไม่มีความหมายอีกแล้ว"


ที่ถามเพราะอำนาจบางส่วนที่เคยหนุนพันธมิตร เขาอาจจะไม่เอาด้วยกับพรรคการเมืองใหม่

"ผมไม่ทราบจริงๆ และผมไม่แคร์"


ทุนใหญ่ประเภทเหล้าขาวที่พูดถึง ตอนนี้เขาอุ้มประชาธิปัตย์ดีกว่า

"ผมก็ไม่แคร์"


ถ้าอย่างนั้น พรรคการเมืองใหม่ต้องฟันฝ่าเยอะมาก

"มันเคยมีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ง่ายบ้างล่ะ ไม่มี"


ผู้สนับสนุนจะลดลง

"เราใช้มวลชนเป็นคนสนับสนุนเรา เราใช้เงินค่าสมาชิก เราใช้คนซึ่งต้องการการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ นักธุรกิจระดับเล็กระดับกลางที่อยากจะเห็นอะไรดีขึ้น และเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นเบี้ยล่าง เขาจะเข้ามาสนับสนุนเรา แทนที่เราจะ
เอาผู้สนับสนุน 3-4 รายแบบพรรคการเมืองใหญ่ๆ ที่เขาทำกัน เราเอาผู้สนับสนุนสักพันราย"


อาจจะไม่ใช่แค่ทุน อำนาจอื่น

"อำนาจพวกนี้จะปฏิเสธเสียงของมวลชนไม่ได้ ไม่มีทาง"


แต่เขาเลือกประชาธิปัตย์ก่อน

"ก็เลือกไปสิ เลือกแล้วเขาได้อะไรไหมล่ะตอนนี้ วันนี้ผมคิดว่าเขาคงนั่งก่ายหน้าผากว่ากูคิดถูกหรือเปล่าวะเนี่ย เขาเลือกพันธมิตรมีข้อเสียอย่างเดียวคือพันธมิตรสั่งไม่ได้ แต่ถ้าเขาเลือกเราเพียงอยู่บนพื้นฐานของศีลธรรม เขาก็เลือกไม่ผิด และถ้าเขาอยู่บนพื้นฐานจริยธรรมและศีลธรรม ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่เลือก และถ้าเขายืนอยู่บนพื้นฐานมโนธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะทำงานกับเขาไม่ได้ เท่านั้นเอง ถ้าเขาเสียสละด้วย ซื่อสัตย์ด้วย กล้าหาญด้วย ก็จบ พูดภาษาเดียวกันก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าพูดต่างภาษาแล้วจะบังคับให้ผมพูดภาษาเดียวกับเขา ผมไม่เอา เท่านั้นเอง"





Create Date : 12 ตุลาคม 2552
Last Update : 12 ตุลาคม 2552 18:14:25 น. 2 comments
Counter : 757 Pageviews.

 
กลัวปากที่สามารถเปลี่ยนดำเป็นขาว เปลี่ยนขาวเป็นดำมากกว่า


โดย: tem IP: 118.172.138.151 วันที่: 12 ตุลาคม 2552 เวลา:22:47:05 น.  

 
ผมอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์และฟังข่าวจากวิทยุเกี่ยวกับบ้านเมืองของเรามีแต่ความวุ่นวายทำไมผู้ที่มีความสามารถและรัฐบาลไม่จับมือกันเพื่อทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองมีความเจริญก้าวหน้าประชาชนจะได้มีความสุข กินดีอยู่ดี


โดย: ปรีชา รัตนประสิทธิ์ IP: 113.53.189.44 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:51:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สุริยาอัสดง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




เปิดโลกด้วยแสงแห่งปัญญา
Thaiflood
Friends' blogs
[Add สุริยาอัสดง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.