อาทิตย์สาดส่อง..ความจริงจักปรากฎทั่วปฐพี!!!
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
11 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
นพดล ปัทมะ: คำต่อคำกรณีปราสาทพระวิหารและการลาออก


นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวบริเวณโถงห้องวิเทศสโมสร ที่กระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2551 เวลา 14.00 น. ชี้แจงกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และประกาศลาออกจากตำแหน่ง


000

ผมเพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศอังกฤษถึงประเทศไทย ในช่วงเช้านี้ หลังจากที่เดินทางไปร่วมประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ที่เมืองควิเบก ประเทศแคนนา วันนี้ผมขออนุญาตแถลงข่าวนิดหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ การตัดสินใจของผมในวันนี้เป็นเรื่องที่ตัดสินใจเอง ผมขออนุญาตอ่านแถลงการณ์ของผมนะครับ

พี่น้องชาวไทยที่เคารพ กระผมภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทยและที่ได้เกิดมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดช กระผมมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้รับพระราชทานทุนอนันทมหิดล ตั้งแต่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กระผมมุ่งมั่นทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และขยันขันแข็ง โดยมุ่งผลสำเร็จของงานเป็นที่ตั้ง การทำงานที่ผ่านมา 5 เดือนเศษของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลไทยได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในการต่างประเทศ โดยดำเนินการทูตเชิงรุก การทูตที่รวดเร็ว เราได้เร่งฟื้นฟูภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของไทยในเวทีโลกกลับคืนมา หลังจากที่ได้สูญเสียไปในการยึดอำนาจใน ปี 2549 จนความเชื่อมั่นจากประเทศพันธมิตรที่สำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และสหภาพยุโรปกลับคืนมา ได้สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย ไม่ว่า ลาว พม่า กัมพูชา มาเลเซีย จนความสัมพันธ์กับประเทศเหล่านี้ดีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เราได้ทำหน้าที่ให้บทบาทของไทยในเวทีโลกมีความโดดเด่นและได้รับความยอมรับโดยเฉพาะเป็นผู้นำในการให้ความช่วยเหลือเหยื่อไซโคลนนาร์กีส ร่วมกับอาเซียนและสหประชาชาติ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมเป็นประธานอาเซียนในปลายเดือนนี้ ผมได้มุ่งเน้นการทูตเพื่อเศรษฐกิจ โดยหาโอกาสการค้าและการลงทุนให้กับคนไทย โดยใช้สถานทูตเป็นทัพหน้าของประเทศ ในการหาโอกาสทางการค้าและการลงทุน โดยจะจัดตั้งศูนย์ข้อมูลทางธุรกิจ ในสถานทูตในจีน และที่สภาพยุโรป โดยในการปกป้องผลประโยชน์ของคนไทย ผมได้เตรียมที่จะจัดตั้งสถาบันหรือศูนย์ประชาไมตรีที่กรุงเทพฯ เพื่อให้คำแนะนำแก่คนไทยในด้านกฎหมาย การเดินทางและการทำงานในต่างประเทศ

แต่พี่น้องที่เคารพครับนอกจากงานที่ได้เริ่มใหม่เพื่อรับใช้ประชาชนแล้ว ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องเร่งแก้ไข คือ การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชาที่เป็นปัญหาที่รัฐบาลที่ผ่านมาแก้ยังไม่สำเร็จ และตกทอดมายังรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งผมต้องเร่งแก้ไขให้ได้ เพราะคำขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชาที่ยื่นในปี 2549 นั้น รวมผนวกเอาพื้นที่ที่ไทยอ้างอธิปไตยหรือที่เรียกว่า พื้นที่ทับซ้อน ถ้าหากมีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารที่ผ่านมารวมเอาพื้นที่ทับซ้อนเข้าไปด้วย ย่อมสุ่มเสี่ยงที่ไทยจะเสียอธิปไตยในพื้นที่ดังกล่าว เพราะกระทรวงการต่างประเทศได้ประเมินแล้วว่า คณะกรรมการมรดกโลกคงไม่ยอมให้เลื่อนการพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 32 ที่แคนนาดา ในระหว่างวันที่ 2 - 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพราะที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกเคยมีมติการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 31 ที่ประเทศนิวซีแลนด์ว่า เห็นชอบในหลักการว่า ปราสาทพระวิหารควรได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก รวมทั้งไทยและกัมพูชา ได้เห็นพ้องกันว่า กัมพูชาจะเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการในสมัยประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 32 ของคณะกรรมการมรดกโลกในปี 2551

ซึ่งท้ายที่สุดการประเมินของกระทรวงการต่างประเทศก็ถูกต้อง ในการประชุมครั้งที่ผ่านมาที่แคนาดา แม้ว่าเราจะพยายามขอเลื่อนไปอย่างไรก็ตาม คณะกรรมการมรดกโลก ก็ไม่เลื่อนและก็มีมติขึ้นทะเบียนตัวทะเบียนตัวปราสาทพระวิหารจนได้

พี่น้องชาวไทยที่เคารพครับ ผมกล่าว ย้ำอีกครั้งว่า การดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศนั้น

1.ได้ดำเนินการอย่างแข็งขัน ในการปกป้องไม่ให้ไทยเสียดินแดน และอธิปไตย เพราะได้พยายามสกัดกั้นไม่ให้กัมพูชาลุกล้ำและรวมเอาพื้นที่ทับซ้อนเข้าไปขึ้นทะเบียนด้วย

2. ได้ดำเนินการอย่างโปร่งใสตามขั้นตอน เพราะได้มีการหารือและได้ร่วมเจรจากับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ กรมเอเชียตะวันออก กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และกรมแผนที่ทหาร

3. การดำเนินการมิได้เร่งรีบ แต่เป็นไปตามขั้นตอน หลังจากที่มีการหารือ กับข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ก็ได้นำเรื่องเข้าสู่สภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งมีรัฐมนตรีหลายกระทรวงและมี ผบ.หลายเหล่าทัพ และเลขาธิการสภาการความมั่นคงแห่งชาติ เข้าร่วมประชุมด้วย

ต่อมาได้นำเรื่องเข้าเสนอต่อการประชุมคณะรัฐมนตรี และเมื่อคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติ ผมจึงได้ไปลงนามในนามของรัฐบาล


ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่า การดำเนินการมีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือมีการแลกผลประโยชน์กันนั้น เป็นความเท็จทั้งสิ้น เพราะจะเห็นได้ว่า ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 32 เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา ที่แคนาดา แม้เราจะคัดค้านและเจรจาอย่างหนักของกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงประธานคณะกรรมการว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกของไทย คือ คุณปองพล อดิเรกสาร กัมพูชาก็สามารถขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารได้ เพราะคุณสมบัติของตัวปราสาทของกัมพูชาเอง ไม่ใช่เพราะการสนับสนุนของไทย หรือไม่ใช่เพราะคำแถลงการณ์ร่วม เนื่อจากไทยขอไม่ให้นำคำแถลงการณ์ร่วมเข้ามาสู่การพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 32 ดังที่เพื่อนสื่อมวลชนได้ทราบอย่างดีแล้ว

นอกจากนี้ ผมยังได้แถลงปฏิเสธเอกสารและแผนผังของกัมพูชา ประท้วงไม่ให้คณะกรรมการมรดกโลก นำแถลงการณ์มาร่วมมาประกอบการพิจารณา และยังยืนยันการสงวนสิทธิ์ ของไทย ที่ได้ระบุในหนังสือของพ.อ. ถนัด คอร์มันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ส่งถึงเลขาธิการสหประชาชาติ ในปี 2505 อีกด้วย

พี่ น้องที่เคารพครับ สื่อมวลชนที่รักครับ สิ่งที่เพื่อนข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ และกรมแผนที่ทหาร ตลอดจนสภาความมั่นคงแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี ได้ดำเนินการด้วยความสุจริต โปร่งใส ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน แต่ในทางตรงกันข้าม เป็นการปกป้องดินแดนและอธิปไตยของไทย

เราได้ทำดีที่สุดแล้ว แต่สิ่งที่น่าเสียดายและน่าเสียใจคือ มีการนำการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร มาปลุกเร้ากระแสชาตินิยมจนเกินสมควร และทำเป็นประเด็นเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริง และความถูกต้อง

ผมอยากจะเห็นคนไทยรักกันครับ และผมอยากจะเห็นคนไทยรักเพื่อนบ้าน เพราะความมั่งคั่ง มั่นคงของเพื่อนบ้าน คือความมั่งคั่ง มั่นคงของไทย ประเทศไทยยิ่งใหญ่พอที่จะชื่นชมความสำเร็จของประเทศเพื่อนบ้านได้ ด้วยความเต็มใจ

พี่น้องครับ ในส่วนที่เกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เกี่ยวข้องกับแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ซึ่งออกมาในวันที่ 8 ก.ค. ที่ผ่านมา ขอเรียนว่า เคารพในคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่า คำแถลงการณ์ร่วมกัมพูชา ลงวันที่ 18 มิ.ย. 2551 เป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ ปี 2550 แต่คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นกรณีศึกษา ที่นักนิติศาสตร์ นักกฎหมาย และผู้สนใจ จะสนใจใช้ศึกษา และพิจารณาต่อไปอย่างกว้างขวาง

กระผมขอกราบเรียนแต่เพียงว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการตามความเห็นของกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศมาโดยตลอด และไม่มีใครจงใจกระทำการผิดกฎหมาย

พี่น้องที่เคารพครับ ในเมื่อปราสาทพระวิหารถูกนำมาเป็นประเด็นทางการเมืองทั้งในสภา และนอกสภา และมีกลุ่มบุคคลไม่หวังดีนำประเด็นดังกล่าวไปรังแก ระรานพี่สาวของผมที่ จ.นครราชสีมา ผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่รู้อิโหน่ อิเหน่ ไม่มีทางสู้ จนชาวบ้านต้องออกมาช่วย

มีการนำประเด็นนี้มาปลุกเร้าความเกลียดชังและแตกร้าวของคนในชาติ ระหว่างไทยกับกัมพูชา

ผมมั่นใจครับ เมื่อควันและฝุ่นจางลง ความจริงจะปรากฎขึ้น ชัดเจน เมื่อเหตุผลเข้ามาแทนอารมณ์ เวลาจะตัดสินสิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศและผมได้กระทำไป เพราะพวกเราได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อปกป้องดินแดนและประโยชน์ของไทยครับ

พี่น้องชาวไทยครับ ผมไม่ได้ขายชาติครับ ผมรักชาติเท่ากับคนไทยทุกคน ขอยืนยันอีกครั้งว่า กระผมไม่ได้ทำให้ประเทศเสียหาย ผมอยากให้รัฐบาลเอาเวลาไปแก้ไขปัญหาบ้านเมือง และความเดือดร้อนของประชาชน แทนที่จะเสียเวลาแก้ไขปัญหาการเมือง

ทั้งนี้ เพื่อให้ความทุกข์ยากของประชาชนได้รับการแก้ไข ผมอยากเห็นความปรองดองสมานฉันทน์ ของทุกภาคส่วน เพื่อให้ประเทศไทยที่เป็นที่รักของเรา ได้เดินหน้าต่อไป เพราะว่าบ้านเมือวงของเรา มีความสำคัญกว่าตำแหน่งทางการเมืองของผม

และแม้ว่า ผมขอย้ำนะครับ และแม้ว่า ผมไม่ได้ทำอะไรผิดก็ตาม แต่ผมขอแสดงสปริตและความรับผิดชอบโดยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นไป

ผมขอกราบขอบพระคุณ ท่านนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช เพื่อข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ทหารในกรมแผนที่ทหาร ท่าน ผบ.ทบ. ในความเป็นมืออาชีพ และความกล้าหาญที่จะยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง แม้ในวันที่พายุทางอารมณ์พัดรุนแรง และกระแสทางการเมืองที่เชี่ยวกราก ขอให้ทุกท่านเป็นหลักให้บ้านเมืองต่อไป

ผมขอขอบคุณพี่น้อง เพื่อน ประชาชน ที่แสดงความเห็นใจผมในยามที่มรสุมทางการเมืองพัดกระหน่ำ มีบุคคลมากมายที่รักผม และให้กำลังใจผม โดยทางโทรศัพท์ และส่งเอสเอ็มเอส

ผมขอกราบขอบพระคุณเพื่อนสื่อมวลชนและคอลัมนิสต์ทั้งหลายคนที่เขียนด้วยปัญญาและปราศ จากอคติ ผมซาบซึ้งในความเป็นมนุษย์ของท่านที่ได้ให้แสงสว่างในคืนที่มืดมิด

ผมขอสัญญาครับว่าผมจะเป็นคนดีดังที่ผมเป็นมาและจะทำงานต่อไปเพื่อประชาชนเพื่อความถูกต้อง เพื่อความเป็นธรรมและเพื่อความจริง ผมจะทำงานต่อไปเพื่อสถาบันชาติศาสนา พระมหากษัตริย์และแม้จะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกป้องความถูกต้องและหลักการ ผมก็พร้อมจะต่อสู้เพื่อประชาชนและประเทศชาติตลอดไปขอบคุณครับ
------------

ที่มา นสพ.ไทยโพสต์




Create Date : 11 กรกฎาคม 2551
Last Update : 11 กรกฎาคม 2551 18:06:51 น. 1 comments
Counter : 884 Pageviews.

 
เกลียดมัน
(ขอประทานอภัยเจ้าของบล็อก)


โดย: HastaLaVista วันที่: 11 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:27:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สุริยาอัสดง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




เปิดโลกด้วยแสงแห่งปัญญา
Thaiflood
Friends' blogs
[Add สุริยาอัสดง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.