ตอน เสียสมดุล
ว่ากันว่าจิตใจที่ดีต้องอยู่ในร่างกายที่ดี ในทางกลับกัน ร่างกายที่ดีก็ต้องอยู่ในจิตใจที่ดีเช่นกัน แล้วถ้าทั้งสองอย่างที่ว่ามามันไม่ดีอย่างเดิมล่ะ ทั้งร่างกายและจิตใจเกิดย่ำแย่ในเวลาไล่เลี่ยกัน คุณจะมีวิธีตั้งรับมันยังไง เมื่อไม่นานมานี้ฉันเสียความรู้สึกให้หลายๆเรื่องในชีวิต ที่ใครรู้อาจจะดูว่าไม่เห็นสำคัญตรงไหน แน่นอนล่ะว่าเรื่องสำคัญในชีวิตคนเราอาจจะแตกต่างกันไป เรื่องของฉันก็เช่นกันมันอาจดูไร้ค่าเกินกว่าจะเก็บเอามาคิดให้ปวดหัวเล่น แต่กับบางเรื่องฉันก็ให้ความสำคัญมันจนเกินคำว่าพอดี แล้วประเด็นมันอยู่ที่ว่าเรื่องที่ทำให้ฉัน จิตตก มันดันกลายเป็นเรื่องของคนอื่นที่เอาเข้าจริง ฉันอาจจะแค่ไม่ต้องสนใจ ใส่ใจกับมันก็ได้ ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นผ่านไป เมื่อเรื่องของคนอื่นมันยังเป็นของคนอื่นอยู่วันยันค่ำแต่ดันไปเก็บเอามาทำให้ความรู้สึกดีๆถูกลดทอนลงไปซะอย่างงั้น จิตใจฉันพักนี้มันเลยย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ ฉันอาจคิดแปลกๆไปบ้างในบางเวลา แต่ส่วนลึกของฉันยังคงต้องการคำตอบว่าสิ่งที่ฉันเจออยู่ตอนนี้ เป็นเพราะฉันแคร์คนอื่นมากเกินไปหรือเปล่า เวลาฉันจะคบใครสักคน เหตุผลอันดับต้นๆที่ฉันมันจะเอามาเป็นข้ออ้างให้กับตัวเองว่าฉันคบไว้ทำไม นั่นก็คือ ฉันถูกชะตา ถัดไปก็เป็นเรื่องของเวลาแล้วล่ะว่าจะนำเอาเหตุผลไหนมาให้ฉันรู้สึกว่าฉันคบคนถูกแล้ว ไม่ว่ากี่คนที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของฉัน พอฉันคบเค้าไว้สักพักฉันก็จะเริ่มนับญาติกับคนๆนั้นทันที จะเรียกพี่ เรียกน้อง ก็ดูเอาตามหนังหน้า หรือถ้าจะให้สะดวกและง่ายกว่านั้นก็นับเอาตามเวลาตกฟากแล้วกัน ภายนอกดูฉันจะโผงผาง โวยวาย ชอบสังคมเรื่อยไปจนไร้สาระอย่างออกนอกหน้า เอาเข้าจริงๆฉันก็แค่คนธรรมดาที่ชอบอยู่เงียบๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา ชอบอ่านหนังสือ ทำกับข้าว อยู่กับบ้าน ทุกอย่างลับหลังบรรดาคนที่อยู่นอกบ้านฉัน ฉันมักจะเป็นคนละคน แต่พูดให้ตาย เพื่อนๆฉันมันก็บอกว่าไม่เชื่อ เวรกรรม ! ตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับตา ฉันมักจะได้เจอเรื่องแปลกๆใหม่ๆ บ้างก็ทำให้ฉันตื่นเต้นเร้าใจ บ้างก็ทำให้ฉันเศร้าสุดๆได้เหมือนกัน แต่ในทุกๆเรื่องมันจะเข้ามาบันทึกความทรงจำเอาไว้ให้วันนึงฉันคอยระลึกนึกถึงได้เสมอ เรื่องดีฉันก็เก็บ เรื่องที่ทำให้เจ็บก็เก็บเหมือนกัน เพราะฉันไม่รู้ว่าเรื่องราวแบบนี้จะเข้ามาอีกเมื่อไหร่ อย่างน้อยวันนี้ เมื่อวานนี้ ฉันได้เจอมาหมดแล้ว ในวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง ฉันก็จะรวบรวมความรู้สึกของวันที่ผ่านเอามากลั่นกรอง แล้วยอมรับความเป็นจริงที่จะเจอให้ได้ หลายคืนที่ฉันนอนไม่หลับ หรือ หลับไม่สนิท ฉันรู้สึกว่ามันทรมาน เพราะมัวแต่คิดเรื่องนี้ กับการที่จะทำใจให้ได้กับการที่บางอย่างในชีวิตหายไป นั่นเป็นการยกตัวอย่างเรื่องง่ายๆที่ฉันมักทำให้จิตใจฉันเสียสมดุล มันก็คงเหมือนกับการที่น้ำในหูของคนเราไม่เท่ากัน สมดุลในร่างกายเลยสูญเสียไปชั่วขณะ ส่วนฉันพอเจอเรื่องกระทบจิตใจแล้ว ก็ถึงกับเดินเซไปบ้างเหมือนกัน ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะรักษาระดับจิตใจให้กลับมาอยู่ในภาวะปกติ นั่นเพราะฉันแค่วางความรู้สึกของคนอื่นที่ฉันดันไปแบกเอาไว้เท่านั้นเอง แค่ขอพักก่อนสักแป๊บ ฉันยังรอความรู้สึกดีๆให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม แม้ว่าจะนานแต่ยังไงก็จะรอ รอจนถึงที่สุด รอจนกว่าจะหมดความอดทนไปเอง เมื่อจิตใจฉันตกอยู่ในภาวะเสียสมดุล ร่างกายฉันก็ตามมาติดๆ หลายครั้งที่ฉันมักบ่นกับเพื่อนๆว่าพักนี้ร่างกายฉันไม่สู้ดีนัก จะด้วยวัยหรืออะไรก็ตาม พักหลังฉันมักมีเรื่องที่ทำให้ต้องพึ่งยาบ่อยๆ ปวดหัว ปวดหลัง อาหารไม่ย่อย สุดแล้วแต่โรคไหนจะกำเริบ ล่าสุดฉันต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะฉันปวดท้องขนาดหนัก ถ้าใครรู้จักฉันจะเข้าใจดีว่าฉันเป็นพวกไม่ชอบหมอ ไม่ชอบกินยา แรกๆก็อาศัยอดทนอดกลั้น วันสองวันโรคเหล่านั้นก็แพ้ทางฉันไปเอง แต่มันก็เหมือนการสะสมระเบิดเอาไว้ในตัว และแล้วมันก็ บูม ! ระเบิดออกมาในที่สุด กลางดึกในคืนนึงที่พึ่งจะได้หลับตาไปไม่ถึง 3 ชั่วโมง สัญญาณบางอย่างบ่งบอกให้ ฉันต้องรีบลุกเข้าห้องน้ำโดยด่วน แรกๆก็ยังสู้ที่จะข่มตานอน แต่ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำด้วยอาการปวดท้องอย่างหนัก คิดในใจคงแค่ปวดหนัก เดี๋ยวไปเอาออกคงดีขึ้น แต่แล้วขณะที่นั่งอยู่ในห้องน้ำ อีกสองสามอาการก็แสดงตัว เริ่มแน่นหน้าอก หายใจไม่ทั่วท้อง ตัวเริ่มร้อน ผ่านไปเกือบชั่วโมงฉันยังคงนั่งอยู่ในห้องน้ำ ฉันนั่งตัวงอบิดไปบิดมา คราวนี้ฉันแน่ใจแล้วล่ะว่าร่างกายไม่ปกติ ฉันใช้เวลากับการอยู่ในห้องน้ำชั่วโมงกว่านิดหน่อย ในที่สุดก็ต้องฝืนลุกออกมาจากห้องน้ำ เดินตรงมาหายาบรรเทา อาการ หยิบยาแก้ปวดท้องใส่ปากไป 2 เม็ด กระดกน้ำตามก่อนจะเอนตัวลงนอนตัวงอๆ ต่อไป นาฬิกาบอกเวลาตี 5 ที่บ้านเริ่มเปิดไฟตื่นนอนกันหมด ฉันเองก็เช่นกันที่ทนนอนต่อไปไม่ไหว ต้องลุกมาหยิบยาตัวเดิมกินอีก 2 เม็ด พ่อแม่เริ่มถามไถ่อาการ แล้วพ่อและแม่สรุปกันไปในทางเดียวกัน แม่ - พักนี้แม่ไม่เคยเห็นจะถ่ายหนักกะเค้าบ้างนิ พ่อ - อย่างงี้เค้าเรียกธาตุหนัก, หายยัง อ้วน พ่อถามขณะที่ฉันพลิกตัว ฉัน - ยัง ! คำตอบสั้นๆที่ฉันพอจะตอบได้ตอนนั้นหลุดจากปากออกมาทันทีที่พ่อถาม หลังจากที่ฉันผ่านช่วงเวลาที่แย่ที่สุดมาได้ 7 โมงเช้าก็ได้ยินเสียงพ่อเรียกกินข้าว ปกติก็เป็นคนกินน้อยอยู่แล้ว ที่บ้านก็จะตักให้ตรงข้ามกับหุ่น แต่ครั้งนี้ฉันฝืนกินเข้าไปได้ไม่เกิน 3 คำ ก็ต้องวางช้อน ล้มตัวลงนอนต่อกะว่าอีกเดี๋ยวมันคงหาย เพราะกินยาเข้าไปห่างกันไม่ถึง 4 ชั่วโมง ยาคงกำลังออกฤทธิ์อยู่ รู้สึกตัวอีกทีอาการร้อนๆหนาวๆ ปวดตามข้อก็ปรากฏ จะตายมั๊ยว่ะเนี่ย บ่นพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็หลับยาวไปนานเท่าไรก็ไม่รู้ ตื่นมาอีกทีตอน 4 โมงเย็น ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำอีกที ออกมาคราวนี้พ่อแนะนำให้ไปหาหมอ ลากน้องชายเอาไปเป็นเพื่อนกันสลบบนรถมอไซค์ ขับรถไป (เอง) ไม่ถึง 10 นาทีก็มาถึงโรงพยาบาล ทำเรื่อง ยื่นบัตร ก่อนจะมานั่งรอหมอเรียก เกือบครึ่งชั่วโมงที่นั่ง กระสับกระส่าย จนน้องชายหันมาบอกว่า หลับไปก่อน เดี๋ยวหนูเรียก โถ่ ใครจะหลับลงล่ะ คนเยอะแยะ ช่วงที่รอหมอเรียกก็เดินเข้าเดินออกห้องน้ำอีกครั้งสองครั้ง
ถึงเวลาเข้าห้องตรวจ หมอก็เริ่มถามอาการฉันก็เล่าๆ ขึ้นไปนอนบนเตียงครับ หมอสั่ง ขึ้นไปนอนบนเตียงหมอก็เอาหูฟังเย็นๆมาวางที่พุงกระทิของฉัน เหลือบมองที่หมอเขียนในประวัติของฉันเป็นภาษาอังกฤษยุกยิกๆยาวเหยียด สุดท้ายหมอก็วินิจฉัยออกมาว่า หมอ - โรคที่หนูเป็นเรียกว่า โรคบิด มันมี 2 อย่างที่มีเชื้อกับไม่มีเชื้อ หมอจะให้ยาไปกิน ถ้า 2-3 วันอาการ ไม่ดีขึ้นกลับมานอนโรงพยาบาลนะ พยาบาล - หมอนัดมาตรวจอีกครั้ง วันอังคาร 5 โมงเย็นนะคะ
รับบัตรนัด เดินออกมาจากห้องมานั่งรอยา จำได้ว่าเข้าโรงพยาบาลครั้งสุดท้ายก็ปีกว่าๆมาแล้ว กลับมาคราวนี้อาการหนักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน กลับมาถึงบ้านกรอกยาทั้งหมดที่ได้มาใส่ปาก ล้มตัวลงนอนตามเคย หลับไปตั้งแต่ทุ่มกว่าๆ ฟื้นอีกทีวันรุ่งขึ้น แล้วกิจวัตรก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอด 3 วันที่หยุดไป 2 เหตุการณ์ที่ฉันเสียสมดุล บางสมดุลก็สามารถรักษาหายได้ด้วยยา แต่บางสมดุลก็ยากเกินกว่าจะหายาขนานไหนมาเยียวยา งั้นคงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาแล้วกัน ช่วยรักษากายและใจให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมทีเถอะ แค่อยากเป็นคนเดิมก่อนที่ใครๆจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงเท่านั้นเอง สาระวันละนิดกับ บก. โรคบิด ( Dysentery ) สาเหตุ ดังนี้ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดบาซิลลัส นิยมเรียกว่าบิดไม่มีตัว เกิดจากเชื้อโปรโตซัวชนิดอะมีบยา นิยมเรียกว่าบิดมีตัว อาการ บิดไม่มีตัว ไม่มีอาการเลย แต่รู้สึกไม่สบายท้อง เพราะมีชื้อแบคทีเรียอยู่ในลำไส้ มีอาการน้อย ถ่ายเหลวเป็นมูกเลือด และปวดบิดแต่ไม่มาก มีอาการรุนแรง ปวดท้องบิดอย่างรุนแรง มีไข้สูง อาเจียน ถ่ายมีมูกเลือดและหนองปน ถ่ายน้อยแต่บ่อยมาก ถ้าร่างกายอ่อนแอมีโอกาสชักได้ โรคแทรกซ้อน เชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เลือดเป็นพิษ อาจช็อกจนเสียชีวิตได้,ลำไส้ใหญ่มีอาการอักเสบอย่างรุนแรง เกิดอาการเสียน้ำมากจนช็อกและเสียชีวิตได้ บิดมีตัว ไม่มีอาการเลย แต่รู้สึกไม่สบายท้อง ถ้าไปตรวจจะพบเชื้ออะมีบาในอุจจาระ มีอาการชนิดเฉียบพลัน ปวดบิด ถ่ายอุจจาระเหลว อุจจาระมีกลิ่นคล้ายหัวกุ้งเน่า อาการไม่รุนแรงเท่าบิดไม่มีตัว ถ้าผู้ป่วยมีความต้านทานโรคน้อย อาจมีไข้สูงและถ่ายเป็นมูกเลืดบ่อยมาก มีอาการเรื้อรัง เป็นผลมาจากบิดชนิดเฉียบพลัน แล้วไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง เชื้ออะมีบาจึงตายไม่หมด ทำให้อาการไม่หายขาด และเป็นอยู่เรื่อยๆ โรคแทรกซ้อน ลำไส้ทะลุ เกิดแผลที่ลำไส้ใหญ่,เป็นฝีที่ตับ เพราะเชื้ออะมีบาเข้าไปในกระแสเลือดและไปที่ตับทำให้ตับอักเสบและเป็นฝี ฝีนี้อาจแตกทะลุเข้าปอด ทำให้เป็นฝีที่ปอดด้วย การป้องกัน เมื่อมีอาการสงสัยว่าจะเป็นโรคบิด ควรรีบไปพบแพทย์ รับประทานอาหารที่สุก สะอาด ขอบคุณข้อมูลจาก : //www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/4-5/no12/rokbit.html ร้อยเรียงเรื่องราว โดย ช้างน้อย นำเสนอ โดย บูเก้ Apple & Bouquet Productions... |
ฝากนี่หน่อยนะคะ
A change for-ever Love
ยอมแลกได้... ให้นายคนเดียว
กระจกลึกลับสามารถเปลียนแปลงสิ่งที่สะท้อนในกระจกให้สมตามความปรารถนาได้ในแบบครึ่งๆ กลางๆ จากชายหน้าเห่ยจึงกลายเป็นหญิงแท้ที่สวยสุดๆ เรื่องราวความรักที่น่าประทับใจจึงเกิดขึ้น!! อย่างไม่ตั้งใจ
นิยายรักแนวนิยายแปลซีรีย์เอเชียที่กำลังติดท๊อปผลงานฮิตในเว็บDek-Dอยู่ตอนนี้ ลองอ่านกันดูนะคะ
//my.dek-d.com/pond/story/view.php?id=384441 เข้าลิ้งค์นี้เลยค่ะ บล๊อคแก๊งเราไม่ได้อัพแล้ว