กุมภาพันธ์ 2554

 
 
1
3
6
7
8
10
13
15
18
20
21
24
25
26
27
28
 
 
All Blog
วิธีลดทอนความเสี่ยงการลงทุน
เพราะไม่มีใครอยากเผชิญหน้ากับ "ความเสี่ยง"

แต่ ถ้าไม่มีทางเลี่ยง ก็ต้องเตรียมรับมือกับความเสี่ยงอย่างบ่ายเบี่ยงไม่ได้ ยิ่งถ้ารักที่จะลงทุนด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งต้องหาทางรู้เท่าทันความเสี่ยงที่อยู่รายล้อม ถ้าคุณเป็นนักลงทุนคนหนึ่งที่ชอบเอาเงินกระจุกไว้ในตลาดหุ้นอย่างเดียว หรือคุณอีกนั่นแหละ ที่ชอบลงทุนแค่ช่วงสั้น ๆ เพราะกะจะหาจังหวะเก็งกำไร

ขณะ ที่หลายคนอาจจะชอบซื้อๆ ขายๆ พึงรู้ไว้เถอะว่าพฤติกรรมเหล่านี้นี่แหละ ที่ทำให้คุณอยู่ใกล้ความเสี่ยงเข้าไปทุกที ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป ถ้าคุณอยากจะลดทอนความเสี่ยงง่ายๆ ด้วยตัวเอง Fundamentals ฉบับนี้ รวบรวม วิธีการคร่าวๆ เกี่ยวกับการลดทอนความเสี่ยงมานำเสนอ

การรู้จักการ บริหารความเสี่ยงเป็นแนวทางในการลดความเสี่ยงให้น้อยลง แต่มิใช่วิธีการกำจัดให้ความเสี่ยงหมดไปซะทีเดียว แต่ก็ดีไม่น้อยถ้าคุณจะทำความรู้จักกับวิธีลดทอนความเสี่ยงเอาไว้บ้าง เผื่อว่า จะได้ช่วยกรองความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับพอร์ตการลงทุนของคุณ ประการแรก คุณควรจะรู้ก่อนว่า "ไม่มีการลงทุนประเภทใดที่ไร้ซึ่งความเสี่ยง"

พอ พูดถึง "ความเสี่ยงในการลงทุน" โดยมากนักลงทุนมักเข้าใจว่า นั่นคือความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินต้นเพียง อย่างเดียว ทั้งที่จริงแล้วความเสี่ยงมีหลายประเภท และการลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยงทั้งสิ้น แต่อาจมากน้อยต่างกันไป โดยการฝากเงินเป็นการลงทุนที่ความเสี่ยงต่ำที่สุด ( ตราบใดที่รัฐบาลยังค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ยอยู่)ในขณะที่ตราสารหนี้ มีความเสี่ยงปานกลาง และการลงทุนในหุ้น มีความเสี่ยงสูงสุด

ดังนั้น หัวใจสำคัญของการลงทุน คือ การผสมผสานระหว่าง"ความเสี่ยง"และ"ผลตอบแทน"ให้เหมาะสมกับผู้ลงทุนที่สุด เนื่องจากการลงทุนที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง ย่อมมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินต้นสูง เช่นกัน

Fundamentals ได้รวบรวมกลวิธีที่จะช่วยลดทอนความเสี่ยงจากผู้จัดการกองทุนหลายราย เผื่อว่าคุณจะหยิบไปใช้กับพอร์ตการลงทุนของคุณได้บ้าง


1.กระจายการลงทุน

เส้นทางลงทุนของคุณอยู่ห่าง จากความเสี่ยงได้ ถ้าไม่มุ่งเน้นลงทุนในหลักทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ ตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไป ถ้าคุณจัดการกระจายพอร์ตการลงทุนไปในหลักทรัพย์หลายประเภท ไม่กระจุกตัวอยู่ในช่องทางใดช่องทางหนึ่ง นั่นก็เท่ากับว่าช่วยลดทอนความเสี่ยงให้ตัวเองไปได้ระดับหนึ่ง

เกี่ยว กับเรื่องนี้ "ธีระ ภู่ตระกูล" ประธานกรรมการ บลจ.ฟินันซ่า บอกว่า ความเสี่ยงมากับผลตอบแทนที่เราคาดหวัง ความเสี่ยงเป็นโอกาสที่จะทำให้เราทำกำไรได้ แล้ววิธีการจัดการกับความเสี่ยงไม่ว่าจะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์ใดก็ตาม คือเราต้องกระจายความเสี่ยง เช่นเดียวกับการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัว ลงทุนยาก แล้วราคาผันผวน จนหลายคนเข้าใจผิดว่าสินค้าโภคภัณฑ์นั้นเสี่ยงกว่าหุ้น

แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะไปลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ในลักษณะใด ถ้าไปลงทุนในทองคำ หรือน้ำมันเพียงอย่างเดียว ตรงนั้นอาจจะมีความเสี่ยงก็ได้

แต่วิธีหนึ่งที่จะลงทุนแล้วไม่เสี่ยง คือเราต้องกระจายการลงทุนออกไป ไม่ใช่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว เช่นการเข้าไปลงทุนในดัชนีของสินค้าโภคภัณฑ์ Rogers International Commodity Index (RICI) ซึ่งประกอบด้วยสินค้าโภคภัณฑ์ 38 ชนิด ในสัดส่วนที่แตกต่างกันไป จะช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี

"เพราะ วงจรของสินค้าโภคภัณฑ์แต่ละชนิดนั้น ก็มีวงจรชีวิตที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์กับหุ้นและตราสารหนี้น้อยมาก ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน หรือกรณีของนักลงทุนไทยเองการจะออมและลงทุนในสกุลเงินบาทเพียงอย่างเดียวก็ ได้ แต่ถ้าจะมีการกระจายการลงทุนไปในสกุลเงินต่างประเทศผ่านกองทุนที่ไปลงทุน ต่างประเทศบ้างบางส่วนก็จะเป็นเรื่องที่ดีเช่นเดียวกัน"

"อรุณศักดิ์ จรูญวงศ์นิรมล"หัวหน้าผู้จัดการกองทุน บลจ.เอสซีบีควอนท์ แนะวิธีหลีกเลี่ยงความเสี่ยงง่ายๆ ที่ นักลงทุนทุกคนสามารถทำได้ว่า เบื้องต้นคงต้องกระจายความเสี่ยง เช่นลงทุนในหลักทรัพย์แตกต่างกันไป แต่ประเภทสินทรัพย์เหมือนกัน หรือในพอร์ตควรจะมีประเภทสินทรัพย์แตกต่างกันไป

"ผู้ลงทุนควร วิเคราะห์และคาดการณ์ก่อนลงทุน ทั้งดำเนินการด้วยตัวเอง และขอความช่วยเหลือ เช่น ว่าจ้างกองทุนบริหาร หรือซื้อหน่วยในกองทุนรวม ขณะเดียวกัน ควรกำหนดเป้าหมายการลงทุนก่อนลงทุน กำหนดกรอบเวลาการลงทุน เช่น ระยะการลงทุนในระยะยาว ลงทุนในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงยอมรับได้ นอกจากนี้ การเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นบลูชิพ ไม่ใช่หุ้นเก็งกำไรก็ช่วยลดความเสี่ยงได้ และจะต้องไม่ลืมทบทวนพอร์ตการลงทุนของตัวเองสม่ำเสมอ และควรสร้างสมดุลการเงิน เช่น ซื้อในราคาต่ำยอมรับได้ ทำกำไรในระดับน่าพอใจ ทั้งหมดที่ว่านี้ จะช่วยลดทอนความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง"

2.เน้นลงทุนระยะยาว

อย่างที่รู้กันว่า การลงทุนระยะยาว จะเป็นเครื่องมือช่วยกรองความเสี่ยงไปในตัว ยิ่งในสภาพตลาดปัจจุบันที่ค่อนข้างอ่อนไหวกับกระแสข่าว ทำให้การลงทุนเต็มไปด้วยความผันผวน และความเสี่ยงมักติดสอยห้อยตามความเสี่ยงมาด้วยเสมอ ยิ่งถ้าเป็นตลาดหุ้นด้วยแล้ว ยิ่งมีความผันผวนมาก หากการลงทุนของคุณยิ่งสั้นเท่าไหร่ ก็มักจะมีความเสี่ยงได้เสมอ

หาก คุณลงทุนในระยะยาว ก็จะพบว่า ถึงแม้มีเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลง หรือเกิดสถานการณ์ที่ทำให้ตลาดเกิดความปั่นป่วนระยะสั้น แต่ถ้าลงทุนระยะยาว เราก็ไม่ต้องตื่นตระหนกเทขายหุ้น นั่นทำให้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยง

3. อย่าลงทุนโดยเก็งทิศทางตลาด

การ เก็งทิศทางตลาดเป็นการลงทุนระยะสั้น ซึ่งมักอาศัยโชคมากกว่าความสามารถที่จะกำหนดทิศทางได้จริงโอกาสที่จะได้รับ ผลตอบแทนอย่างที่คาดไว้ จึงมีค่อนข้างน้อย แต่การลงทุนโดยเน้นพิจารณาจากพื้นฐานของตราสารหรือหลักทรัพย์แต่ละประเภท จะสามารถทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว

4.ไม่ซื้อขายบ่อย

การ ลงทุนที่ดี ไม่ควรทำการซื้อขายบ่อยครั้ง หรือซื้อขายตามภาวะที่มีการขายด้วยความตื่นตระหนก(Panic Selling) เนื่องจากอาจทำให้เกิดการขาดทุนได้ และการซื้อขายบ่อยทำให้เกิดค่าใช้จ่าย ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนสุทธิจากการลงทุนลดลงแทน

มีตัวอย่างของนักลงทุน ประเภทซื้อๆ ขายๆ อยู่ตลอดเวลา ได้กำไรบ้างขาดทุนบ้าง แต่โดยรวมๆ แล้ว ได้อะไรไม่เป็นน้ำเป็นเนื้อเท่าไร เพราะมัวซื้อขายบ่อย เลยต้องเจียดกำไรไปเป็นค่าธรรมเนียมให้โบรกเกอร์หรือบริษัทจัดการ

5. ลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน

ตามทฤษฎี Dollar Cost Averaging ถือเป็นการออมระยะยาว โดยลงทุนสม่ำเสมอเป็นงวดๆ(รายเดือนหรือรายไตรมาสแล้วแต่กำหนด) ซึ่งในกรณีที่ราคาหลักทรัพย์ หรือ หน่วยลงทุนลดลงก็จะถือเป็นการเฉลี่ยต้นทุนที่ได้ลงทุนไปแล้วให้มีราคาต้นทุน ที่ต่ำลงด้วย อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีดังกล่าวต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

"ปฐมา พร ไชยกูล" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ เคยพูดถึงการลงทุนด้วยวิธีที่เรียกว่า Dollar Cost Averaging ว่า การจัดพอร์ตการลงทุนด้วยวิธีนี้ ถือว่าเป็นวิธีที่น่าทำตามวิธีหนึ่ง เพราะนอกจากจะไม่ต้องเสียเวลามาคอยติดตามภาวะการลงทุนแบบใกล้ชิด ชนิดตาไม่กะพริบแล้ว ยังเป็นวิธีการลงทุนที่มีวินัยมากอีกด้วย

เพราะการลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging มีหลักการเดียวกัน คือ ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อมุ่งหวังผลตอบแทนในระยะยาว

วิธี การลงทุนก็ไม่ยุ่งยาก ขอเพียงแค่มีความตั้งใจที่จะลงทุนเสียก่อน จากนั้น ก็ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ด้วยเงินลงทุนเท่าๆ กัน โดยความถี่ในการลงทุนอาจเป็นรายเดือน รายสองเดือน หรือรายไตรมาส ตามแต่ความสะดวก มิหนำซ้ำ ในยุคสมัยนี้ เรายังสามารถใช้เทคโนโลยี และบริการของธนาคารพาณิชย์เข้ามาช่วยเป็นเครื่องมือในการลงทุนได้เสียอีก เช่น การสั่งหักบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นรายเดือน เพื่อนำเงินไปซื้อหน่วยลงทุน ผู้ลงทุนที่ลงทุนด้วยวิธีนี้ จะได้รับประโยชน์จากการกระจายการลงทุนในช่วงเวลาต่างๆ กัน ตลอดทั้งปี แทนที่จะมากระจุกการลงทุนอยู่เพียงแค่ช่วงใดช่วงหนึ่งของปีเท่านั้น

ตัวอย่าง เช่น คนที่ประสงค์จะลงทุนในกองทุน LTF ซึ่งสามารถนำไปใช้หักลดหย่อนภาษีได้ อาจจะใช้ประโยชน์จากวิธี Dollar Cost Averaging โดยสั่งหักบัญชีธนาคาร เพื่อลงทุนในกองทุน LTF ด้วย จำนวนเงินที่เท่ากันทุกเดือน ดังนั้น เดือนใดที่ตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง จำนวนหน่วยลงทุนที่ได้รับก็จะมากขึ้นกว่าเดือนที่ตลาดหลักทรัพย์มีการปรับ ตัวสูงขึ้น และเมื่อนำมาถัวเฉลี่ยทั้งปี ผู้ลงทุนอาจจะพบกับความประหลาดใจ ที่พบว่ากระจายการลงทุนใน LTF ทั้งปีแบบนี้ให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนแบบชอตเดียวจบในช่วงปลายปี

6. ใช้อนุพันธ์ในการบริหารความเสี่ยง

ในอดีต การใช้อนุพันธ์ในการบริหารความเสี่ยงนั้นมักจะมีอยู่เฉพาะในกลุ่มของนัก ลงทุนสถาบันเท่านั้น แต่หลังจากที่มีตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) เกิดขึ้น ก็จะเป็นเครื่องมืออีกตัวหนึ่งที่จะช่วยให้นักลงทุนรายย่อยสามารถที่จะใช้ บริหารความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ "เกศรา มัญชุศรี" กรรมการผู้จัดการ บริษัทตลาดอนุพันธ์ (ประเทศ ไทย) บอกว่า ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่จัดการได้ เวลาที่คุณซื้ออนุพันธ์ แปลว่าคุณต้องการจัดการกับความเสี่ยงโดยใช้อนุพันธ์เป็นเครื่องมือในการ บริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะผู้ที่ลงทุนในหุ้นถ้าไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นจะตกหรือไม่ อาจจะไปขาย (Short) สัญญา SET50 Index Futures เอาไว้

ถ้าหุ้นตกจริงๆ อย่างที่คาด ก็จะขาดทุนในฟิวเจอร์ส แต่ได้กำไรในหุ้น บวกลบกันไปพอร์ตการลงทุนก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากการที่หุ้นตกแต่ประการใด นี่เป็นการใช้อนุพันธ์เข้ามาช่วยในการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน คือการเข้ามาใช้ฟิวเจอร์สในทิศทางตรงข้ามกับการลงทุนที่มีอยู่เดิม

"อนุพันธ์ เป็นสิ่งที่คุณจัดการได้ ถ้าเกิดคุณรู้จักมัน เป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพในการจัดการ จะช่วยให้คุณบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น แต่คุณต้องมีวินัย เพราะความเสี่ยงเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้และมีอยู่ในชีวิตประจำวันของ เรา แต่คุณสามารถที่จะบริหารจัดการให้ความเสี่ยงลดลงได้ด้วยการใช้อนุพันธ์"

7. ลงทุนในสิ่งที่ตัวเองรู้จักและเข้าใจ

"ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" อุปนายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย บอกว่า การที่ตัวเองลงทุนในหุ้น 99% สำหรับตัวเองแล้วคิดว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย ในขณะที่คนอื่นอาจจะมองว่าคุณเสี่ยงมาก

ทั้งนี้ ก็เพราะว่าคนอื่นไม่รู้ คนทั่วไปอาจจะมองว่าหุ้นเป็นตราสารที่ราคาเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ มันอันตราย ถ้าลงมากถือว่าเสี่ยงมาก เขาคิดว่าคนที่ชอบเสี่ยงจะต้องลงทุนในหุ้นมาก ถ้าคอนเซอร์เวทีฟก็ลงทุนในหุ้นน้อย แต่นั่นคือความหมายของคนทั่วไป แต่ไม่ใช่ในความหมายของเขา

เวลาลงทุนในหุ้น เขาไม่เคยนึกว่าราคาหุ้นเป็นสิ่งที่บอกว่าเสี่ยงหรือไม่เสี่ยง แต่ตัวที่จะบอกว่าเสี่ยงหรือไม่เสี่ยงคือ กิจการที่ลงทุนเป็นอย่างไร เสียหายหรือกำไรตกลงมากมั้ย นั่นคือความเสี่ยงในแง่ของดร.นิเวศน์ ซึ่งดูแล้ววิธีการลงทุนในหุ้นของตัวเองก็ไม่ได้เสี่ยงอะไร นี่คือความแตกต่าง เหมือนกับคนทั่วไปให้ไปจับสายไฟฟ้าก็อาจจะไม่กล้าจับเพราะกลัว แต่ถ้าคุณเป็นช่างไฟฟ้า คุณรู้จักไฟฟ้า คุณก็จะสามารถที่จะจับสายไฟฟ้านั้นได้ เพราะว่าคุณมีความเข้าใจ การลงทุนในหุ้นก็เหมือนกัน

"อย่าไปเอาเรื่องราคามาบอกว่ามันเสี่ยง หรือไม่เสี่ยง เพราะว่าผมไม่ขายมันจะเดือดร้อนอะไร ผมจะกินปันผล ผมจะรอกำไร มองในด้านแบบนี้ก็ไม่เห็นว่าจะเสี่ยงอะไร ผมเป็นนักลงทุนที่เน้นคุณค่า (Value Investor) พันธุ์แท้ เวลาพูดคำว่าหุ้นมันดูเหมือนว่าคุณกำลังลงทุนอย่างเดียว คือคำว่าหุ้น แต่ถ้าคุณแยกออกไป จะเห็นว่าสิ่งที่ผมลงทุนมันตั้ง 20 อย่าง เพราะว่าหุ้นแต่ละตัวเป็นตัวแทนของกิจการแต่ละอย่าง

การที่ผมบอกว่า ลงทุนในหุ้น 99% ไม่ ได้แปลว่าผมเสี่ยง ไม่ได้แปลว่าผมมีไข่ใบเดียว คือไข่ที่เรียกว่าหุ้น ไม่ใช่ ในความคิดของผม ผมไม่ได้ลงทุนซื้อหุ้น ผมลงทุนซื้อกิจการ และกิจการผมมีตั้ง 20 อย่าง แล้ว 20 อย่างตรงนี้ เป็น 20 อย่างที่ไม่เหมือนกันเลย แตกต่างกันเยอะ เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่ไข่ใบเดียว มันเป็นไข่ที่กระจายไปตั้ง 20 แห่ง เพราะฉะนั้นความเสี่ยงมันไม่ได้มากอย่างที่ทุกคนมองกัน"

อาจไม่ใช่ทุกวิธีที่คุณทำได้ แต่ถ้าทำได้ทุกวิธี เชื่อเถอะว่า ความเสี่ยงไม่เข้ามาทักทายพอร์ตการลงทุนของคุณแน่นอน

ที่มาจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
//www.bangkokbiznews.com



Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2554 11:53:49 น.
Counter : 1225 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

coffee4you
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]



พูดคุยติดตามเรื่องราวเทคนิคการเล่่นหุ้น
Free Ebook