Group Blog
 
<<
เมษายน 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
23 เมษายน 2552
 
All Blogs
 
ลัทธิชาตินิยม ไทย-สยาม กับ กัมพูชา ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

คอลัมน์ สุวรรณภูมิ สังคมวัฒนธรรม


*คัดตัดทอนจากหนังสือที่ระลึก การแสดงปาฐกถาพิเศษ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครั้งที่ 11 โดย อ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

     การเขียนประวัติศาสตร์ "ใหม่" พร้อมด้วยวาทกรรม "การเสียดินแดน" จะอยู่ในบริบทเดียวกันของการเขียนอดีตของไทยว่าด้วยความยิ่งใหญ่ของ "ชนเชื้อชาติไทย" ที่มีความเก่าแก่ถึง 5 พันปี มีสถานะที่เป็น "พี่เอื้อยของจีน" (C. Dodd : Thai Race : The Elder Brother of Chinese) อพยพโยกย้ายมาจาก "ภูเขาอัลไต" และหลบหนีภัยมาจาก "อาณาจักรน่านเจ้า" จนเข้ามาถึง "แหลมทอง" หรือ "สุวรรณภูมิ"

วาทกรรมดังกล่าวจะได้รับการเผยแพร่ผ่านตำราเรียนของนายทองใบ แตงน้อย (ซึ่งก็ไม่สู้ได้รับความสนใจจากนักประวัติศาสตร์หรือนักวิชาการไทยกระแสหลักเท่าไรนัก) ดังนั้น จึงขอสรุปเพียงสังเขปไว้ ณ ที่นี้ เพื่อให้เราเห็นถึงบริบทของวาทกรรมสำคัญดังกล่าวข้างต้น

     ทองใบ แตงน้อย มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ.2454-2529 ถ้าจะเทียบกันแล้ว ก็คือ 1 รอบนักษัตรหลังคนรุ่นขุนวิจิตรมาตรา (2440-2523) เจ้าของผลงาน "หลักไทย" ที่กล่าวถึงกำเนิดของชนชาติไทยในเทือกเขาอัลไต และหลวงวิจิตรวาทการ (2441-2505) ผู้สร้างวาทกรรมดังกล่าวข้างต้น ทองใบเป็นอาจารย์ใหญ่จากปราจีนบุรี หนังสือเล่มสำคัญของท่าน ก็คือ "ภูมิศาสตร์ประเทศไทย" หนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2506 หรือเกือบครึ่งศตวรรษมาแล้ว และฉบับที่ผู้เขียนได้นำมาเพื่อประกอบการวิเคราะห์ครั้งนี้ พิมพ์เป็นครั้งที่ 42 (โดย ทวพ. จำนวนพิมพ์ 3 หมื่นเล่ม) ผู้เขียนเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้ของทองใบ แตงน้อย เป็นหนังสือที่ทรงพลังสะกดจิตคนไทย (หรือคนที่เชื่อว่าตนเองเป็นคนไทย) มากที่สุดเล่มหนึ่ง และอาจจะเป็นหนังสือที่ซึมลึกที่สุดในจำนวนเพียงไม่กี่เล่มก็เป็นได้

     หากมีใครสักคนตั้งคำถามขึ้นมาลอยๆ ว่า "คนไทยเป็นใคร" และ "คนไทยมาจากไหน" หนังสือของทองใบก็จะเป็นหนังสือที่ตอบคำถามที่ว่านั้นได้เป็นอย่างดี เสน่ห์และมนต์สะกดของหนังสือของทองใบอยู่ที่การเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ไทยด้วย "แผนที่" ดังนั้น ในบทต่างๆ ของแผนที่ประวัติศาสตร์ไทย ก็ทำให้เราเห็นภาพ "แหล่งกำเนิดของไทยแต่โบราณ" ที่เทือกเขาอัลไตในมองโกเลีย เห็นเส้นทางของการอพยพเคลื่อนย้ายของคนไทยที่ถูกจีนรุกราน หนีข้ามแม่น้ำฮวงโห ข้ามกำแพงเมืองจีน ลงมาตั้ง "อาณาจักรลุง อาณาจักรปา" แล้วก็ต้องหนีข้ามแม่น้ำแยงซีลงมาอีก ตั้ง "อาณาจักรน่านเจ้า" ที่เมือง "หนองแส" หรือ "ต้าลี่/ตาลี" ในยูนนาน


*ณ บริเวณนี้แหละ ที่ชนชาติไทยซึ่งก็ยังถูกรุกรานโดยจีนครั้งแล้วครั้งเล่า ได้แตกขยายสาขาตามเส้นทางแม่น้ำสาละวินเข้าไปอยู่ในรัฐฉานของพม่า ในอัสสัมของอินเดีย ตามเส้นทางแม่น้ำโขงเข้าไปในสิบสองปันนา เข้าไปในสิบสองจุไท (เวียดนาม) ในลาว และในสยามประเทศ

ณ ที่นี้ในสุวรรณภูมิชนชาติไทยได้รุกเข้ามาในอาณาจักรขอม (เขมร) ช่วงชิงมาได้ก็สถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้น ตามมาด้วยอยุธยา (ธนบุรี) และรัตนโกสินทร์ ทั้งหมดนี้กินเวลาพันปีมาแล้วจากจุดกำเนิดที่ภูเขาอัลไต

     นี่เป็นภาพรวมที่แบบเรียนของทองใบสามารถจะสรุปเรื่องราวอันยืดยาวซับซ้อน ที่เสนอโดยผู้นำของรัฐไทย/สยาม นับตั้งแต่รัชกาลที่ 6 สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ หลวงวิจิตรวาทการ ขุนวิจิตรมาตรา พระยาอนุมานราชธน ตลอดจนนายธนิต (กี) อยู่โพธิ์ อันจะเป็นฐานทางความคิด และการสร้างปรัชญาทางการเมืองว่าด้วย "ชาตินิยม" ที่ดำเนินสอดคล้องไปกับวาทกรรมว่าด้วย "การเสียดินแดน" แม้ว่าในระยะหลังๆ ทฤษฎีหรือแนวความคิดดังกล่าวจะได้รับการตั้งคำถามหรือท้าทายจากนักวิชาการ นักคิดนักเขียนกระแสรอง อย่างเช่น จิตร ภูมิศักดิ์ หรือ สุจิตต์ วงษ์เทศ (ดู "ความเป็นมาของคำสยาม..." ของท่านแรก และหนังสือ "แผนที่ประวัติศาสตร์และแผนที่วัฒนธรรม" ของท่านหลัง 2551) แต่วาทกรรมเหล่านี้ก็ยังคงอยู่กับเรา และอาจจะอยู่ไปอีกนานแสนนาน

     เรื่องของ "การเสียดินแดน" ในมโนทัศน์ของบรรดา "รัฐชาติ" ทั้งหลายในอุษาคเนย์ ที่ไม่ได้มีเฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ทั้งในลาวและในกัมพูชาก็มีวาทกรรมเรื่องเดียวกันนี้ ขอยกตัวอย่างมาสักหนึ่ง คือที่พระราชวังกรุงพนมเปญ มีศาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (จำลอง) ตั้งอยู่ที่ทางออกที่นักท่องเที่ยวจะต้องผ่าน เราทราบกันดีว่ากัมพูชานับถือบูชากษัตริย์พระองค์นี้เพียงไหน ด้านหลังของพระรูปเป็นแผนที่อาณาจักรของพระองค์

ปัจฉิมลิขิต

     ผู้เขียนได้รับเชิญไปร่วมสัมมนาระดับของนักศึกษาปริญญาตรีที่ มธ. ในหัวข้อ "การสัมมนาอุษาคเนย์ครั้งที่ 6" วันที่ 30 มกราคม 2552 ในประเด็นว่าด้วย "อคติที่แอบแฝง สู่ความขัดแย้งไม่รู้จบ"


*ผู้เขียนรู้สึกทึ่งต่อหัวข้อนี้ที่ดูจะเข้ายุคสมัยมาก ดูจะเกาะกระแสไปกับปัญหาการเมืองระหว่างประเทศภาค "ทวิภาคี" ของไทยและกัมพูชา แต่ก็สอดคล้องกับเรื่องของ "พหุภาคี" กล่าวคือ เรื่องของการประชุมสุดยอดอาเซียน ที่ย้ายแล้วย้ายอีก และท้ายที่สุดจะต้องย้ายไปจัดประชุมกันเขตที่เอาพระบารมีเป็นที่พึ่ง "หัวหิน" ในปลายเดือนกุมภาพันธ์

     หัวข้อดังกล่าวของนักศึกษาดูจะบรรลุวุฒิภาวะเป็นอย่างยิ่ง ต่างกับผู้ใหญ่ "บรรดาอำมาตยเสนา ข้าราชการ กับนักการเมือง และกับนักวิชากระแสหลัก" ที่ดูจะกลายเป็น "เด็กเกเร" งอแง ไม่ยอมโต ไม่รู้แพ้รู้ชนะ ที่ข้ออ้างของ "ความรักชาติ" กำลังกลายเป็น "ล้าหลัง คลั่งชาติ" และกำลังกลายเป็นผลเสียต่อประโยชน์ของประเทศไทย ทั้งในความสัมพันธ์ทวิภาคีและ/หรือพหุภาคี สร้างความร้าวฉานในหมู่ประเทศอาเซียน และที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชนคนไทยด้วยกัน ด้วยการแบ่งออกเป็น "เสื้อเหลือง" และ "เสื้อแดง" ด้วยการทุบตีทำร้ายชีวิตร่างกายกัน

และที่เห็นได้ชัด แต่คนชั้นกลางในเมืองหรือคนกรุงอาจไม่สังเกตนักก็คือ ความแตกต่างระหว่างความรักชาติ หรือชาตินิยมของผู้คนที่หมู่บ้านภูมิซรอล จังหวัดศรีสะเกษ ชายแดนเชิงเขาพนมดงรัก กับผู้คนที่ประท้วงกันอยู่ที่สะพานมัฆวานฯ ใน กทม."

     นักศึกษา (ใครก็ไม่รู้) ที่ตั้งประเด็นและหัวข้อของการสัมมนาครั้งนี้ว่า "อคติที่แอบแฝง สู่ความขัดแย้งไม่รู้จบ" นั้น ดูจะเข้าใจเป็นอย่างดีว่าปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชานั้น มีรากฐานมาจาก "อคติ" ที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่และผลิตซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยนักลัทธิชาตินิยม ทั้งโดยรัฐและโดยเอกชน และเป็นการสร้าง ดำรงอยู่ กับการผลิตซ้ำแล้วซ้ำอีก ในมิติที่เป็น "ลบ" เป็นการ "สร้างความเกลียดชัง" เป็นการ "สร้างศัตรู" และเป็นการ "ทำลาย" ที่สามารถจะไปไกลได้ถึงการสู้รบ การใช้กำลัง เกิดเป็นสงครามขึ้นได้

แทนที่จะสร้าง ดำรงไว้ และผลิตซ้ำ ในมิติที่เป็น "บวก" ให้เป็นการสร้างความรัก ความสมานฉันท์ ความพยายามที่จะอยู่ร่วมกันโดยสันติ สร้างนโยบายเพื่อนบ้านที่ดี ร่วมกันทำมาหากิน สร้างความรัก มากกว่าสร้างสงคราม ดังในคำภาษาอังกฤษที่ว่า Make love not War with Our Neighbors

     กล่าวโดยย่อ "อคติ" ด้านลบที่ว่านี้ เกิดมาจากไหน ผู้เขียนคิดว่าเราคงหนีไม่พ้นเรื่องของ "ลัทธิชาตินิยม" ในเวอร์ชั่นต่างๆ ที่สาธยายมานานแล้วข้างต้น แต่ลัทธิดังกล่าวนี้ก็สามารถจะพัฒนาให้เป็น "บวก" ให้เป็นสิ่งดีงาม ทำให้เราเกิดความรัก ความสมานฉันท์ที่จะอยู่ร่วมกับมนุษย์โลกโดยไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนา ผิวพรรณ วรรณะได้ไม่ใช่หรือ

     แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ด้าน "ลบ" ของมันจะถูกนำมาใช้แล้วใช้อีก และผู้ใช้ส่วนใหญ่ ก็คือ "ผู้ปกครอง" หรือ "ผู้กุมอำนาจรัฐ" ส่วนใหญ่คือคนระดับบนสูงศักดิ์ ที่ใช้ไล่ลงไปร่วมกับคนระดับกลาง คนชั้นกลาง คนในเมือง และคนที่มีการศึกษาตามระบบโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ลัทธิชาตินิยม "ลบ" และ "คับแคบ" และ "อประชาธิปไตย" นี้ มักจะไม่ค่อยพบในคนระดับล่าง บรรดารากหญ้าชาวไร่ชาวนา ผู้หาเช้ากินค่ำ หรือคนที่อยู่บริเวณรอยต่อของชายแดน

     ดังนั้น "คดีปราสาทเขาพระวิหาร" จึงเป็นการปะทะกันระหว่าง "ลัทธิชาตินิยมไทย" และ "ลัทธิชาตินิยมกัมพูชา" เป็นการปะทะกันของ "อำมาตยาเสนาชาตินิยม" กับ "ปราสาทศิลาชาตินิยม" ในยกของปี พ.ศ.2505 ที่จบลงด้วยการที่กัมพูชาได้ปราสาทเขาพระวิหารไป

     ในยกหลัง การขึ้นทะเบียนมรดกโลกกับยูเนสโก กัมพูชาก็ได้คะแนนเสียงจากตัวแทน 22 ประเทศ ที่ถูกนำมาใช้เป็นประเด็นทางการเมืองระหว่างไทยกับกัมพูชา และการปะทะกันจนบาดเจ็บล้มตายที่ชายแดน กลายเป็นเรื่องที่น่าวิตกอย่างยิ่งไม่เพียงเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่าง "ทวิภาคี" สองประเทศนี้เท่านั้น แต่ยังกระทบกระเทือนต่อ "พหุภาค" ขององค์การอาเซียนอีกด้วย และที่น่าวิตกและใกล้ตัวของเรามากกว่านั้นก็คือ ปัญหาความแตกแยกขัดแย้งกันในการเมืองภายในของคนในชาติ ความแตกแยกของ "เสื้อเหลือง" และ "เสื้อแดง" ฯลฯ

     ท้ายที่สุด คำถามของเราก็คือ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่บ้านเมืองของเราจะมี "ชาตินิยม" เวอร์ชั่นใหม่ที่เป็นของประชาชน และเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เป็น "ประชาชาตินิยม" ที่มาจากระดับและระนาบเดียวกัน (ที่มิใช่เป็น top down โดยอภิสิทธิ์ชน") เป็นชาตินิยมของความมีสิทธิเสรีภาพ เสมอภาค และความสมานฉันท์แห่งภราดรภาพ


สุวิมล เชื้อชาญวงศ์: รายงาน

ขอขอบคุณ
ที่มา :
มติชนออนไลน์ 16 เมษายน 2552 หน้า 20


H O M E




Create Date : 23 เมษายน 2552
Last Update : 23 เมษายน 2552 0:13:00 น. 6 comments
Counter : 1361 Pageviews.

 


โดย: baareeraa วันที่: 23 เมษายน 2552 เวลา:0:57:20 น.  

 
ทองใบ.มีส่วนจริงบางส่วนที่พิสูจน์ได้ที่ตัวบุคคลตัวอักษรและภาษา รอบบ้านเขาชาตินิยม เราก็ต้องเอาบ้าง


โดย: แตกหัก IP: 118.172.175.227 วันที่: 24 มิถุนายน 2552 เวลา:15:53:08 น.  

 
ทักกี้เขาบอกว่า พวกเราคือนักโทษแห่งประวัติศาสตร์ ก็มีส่วน รัฐไทยรักไทยจึงยื่นมือให้ลาวขแมร์ม่าน นั่นคือข้อผิดพลาดของคนไม่สนใจอดีด อดีดจึงซ้ำรอย..


โดย: แตกหัก IP: 118.172.175.227 วันที่: 24 มิถุนายน 2552 เวลา:16:05:10 น.  

 
ความเป็นจริงในปัจจุบันคือ ชายแดนไทยทุกด้าน เต็มไปด้วยฝ่ายต่อต้านเพื่อนบ้าน ทั้งหนีคอมมิวนิสต์ หนีเผด็จการ หนีอาณานิคม และคนจีนที่หนีจากเวียดนามเขมร และคนเหล่านี้คือนักรบอิสระยุคใหม่.


โดย: แตกหัก IP: 118.172.175.227 วันที่: 24 มิถุนายน 2552 เวลา:16:18:48 น.  

 
ที่เห็นว่าไทยมีเหลือง แดง นั่นคือความงามของไทย ที่มีการโต้แย้งกันเสมอ คนส่วนใหญ่ของเราสนใจเรื่องปากท้อง นี่คือเรื่องน่าวิตก. เราต้องไว้ใจกองทัพและรัฐบาลขวาชิดขอบของมาร์ค ชาตินิยมของ ดร.ป๋วยคือสังคมนิยม ที่ประชาชนมีชั้นเดียว ไม่ใช่ไม่ดีแต่ต้นตำหรับเขายังเลิกลาไปแล้ว..


โดย: แตกหัก IP: 118.172.175.227 วันที่: 24 มิถุนายน 2552 เวลา:16:38:31 น.  

 
whenever you felt that your heart is going to breakdown
feel it with the love of God ask for his and then you will
find out what is the truth love in Your life as he does for me!

GOD always forgive your mistake
the one that you cant even forget,
he always does it and always being with us
to help and blesss us for us whose heart is full of him


โดย: da IP: 124.122.247.144 วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:22:40:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.