ลิขิตพุทธทาสถึงน้องชายโดยธรรม
มีโอกาสไปฟังเสวนาดีๆที่สวนโมกข์ กรุงเทพ ใกล้ๆสวนรถไฟ ข้างตึก ปตท. เมื่อบ่ายวันเสาร์ ฟ้าฝนขรึมเทา แต่ยังมีแดดอ่อนทอเรือง
นับตั้งแต่ร่วมฟังเสวนาการก่อตั้งสวนโมกข์ กรุงเทพเมื่อสองสามปีก่อน ยังไม่เคยได้มาย่างกรายสถานที่นี้เป็นเรื่องเป็นราว ครานี้ได้โอกาสเหมาะ เลยสัมผัสทุกตารางนิ้วของสวนโมกข์ กรุงเทพฯ เต็มที่
นอกเหนือจากหัวใจของกิจกรรมวันนี้คือ การเสวนาแล้ว ยังมีเวลาชมนิทรรศการ นิพพานลิ้มลอง (ก็คือการเตรียมตัวตายก่อนตาย) และ งานศิลปะทางปริศนาธรรมของ 2 นักปราชญ์คือ ท่านพุทธทาสและ ติช นัท ฮันห์ (ท่านหลังกำลังจะมาเยือนประเทศไทยและร่วมกิจกรรมทางพุทธปัญญาในอาทิตย์หน้า)
สวนโมกข์ กรุงเทพ จำลองรูปแบบจากสวนโมกข์ ไชยา ด้วยเนื้อที่ที่จำกัดกว่าและอยู่ในใจกลางเมือง เลยออกแบบเป็นสถาปัตยกรรมทรงโมเดิร์น เพื่อใช้ประโยชน์ทางการศึกษาสูงสุด มีทั้งหอหนังสือที่รวบรวมผลงานทางพุทธปรัชญาเพื่อจำหน่าย มีมุมให้อ่านเล่นก่อนด้วย ห้องนิทรรศการ ห้องเสวนาทางความคิด และลานกว้างอเนกประสงค์ เพื่อจัดเวทีเสวนา สัมมนาอย่างไม่เป็นทางการ (มีเก้าอี้นั่งทรงโมเดิร์นของบริษัทเฟอร์นิเจอร์ชื่อเดียวกัน) บรรยากาศโปร่งโล่ง ด้านซ้ายคือทะเลสาบใหญ่เคียงข้าง ตอนฝนโปรยเห็นลายละเอียดของลูกน้ำกระเพื่อมเป็นริ้วเหมือนถักพรม
มาถึงหัวข้อเสวนาชื่อเต็ม ลิขิตพุทธทาสถึงน้องชายโดยธรรม กรุณา กุศลาสัย สำหรับท่านพุทธทาส พวกเราคงรู้จักบรมครูทางพุทธปรัชญาเป็นอย่างดี แต่อาจารย์กรุณา กุศลาสัย หากไม่ใช่ผู้ที่สนใจภารตะวิทยา อาจจะไม่ค่อยคุ้นเคย เลยขอเล่าประวัติเล็กๆน้อยๆพร้อมผลงานให้รับรู้
อาจารย์กรุณา กุศลาสัย มีกำเนิดชาติที่ยากลำบาก กำพร้าตั้งแต่เด็กๆ ต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงตัวให้อยู่รอด แต่ด้วยความมุ่งมั่นและปัญญา ท่านบวชเรียนหนังสือตั้งแต่เด็ก และมีโอกาสไปศึกษาต่อที่ประเทศอินเดีย ตั้งใจจะเข้าเรียนต่อที่ ศานตินิเกตัน มหาวิทยาลัยสงฆ์ของอินเดีย ซึ่งก่อตั้งโดยนักปรัชญารางวัลโนเบล ระพินทร์นารถ ตะกอร์ แต่เพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ต้องสละครองสภาวะสามเณรเป็นสามัญชน มิหนำซ้ำยังถูกจับเป็นเชลยศึก (อินเดียอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร-อังกฤษ) จนสงครามสิ้นสุด ท่านถูกส่งกลับทางเรือในสภาพที่สิ้นไร้ไม้ตรอก หากสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ก็คือ ภูมิปัญญาของภารตะวิทยา ซึ่งได้ถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานชิ้นเอกให้อนุชนรุ่นหลังได้ซึมซาบ ผลงานเด่นๆก็คือ การแปลกวีนิพนธ์ของ ระพินทร์นารถ ตะกอร์ "คีตาญชลี" (ภายหลังมีวงดนตรีเพื่อชีวิตเอาชื่อนี้ไปตั้ง) งานแปลของมหาตมะคานธี"เมื่อข้าพเจ้าทดลองความจริง" และนายกรัฐมนตรีเนห์รู "พบถิ่นอินเดีย" เป็นต้น
อาจารย์กรุณาเสียชีวิตด้วยวัย 89 ปี เมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้วเอง เพื่อนๆสามารถอ่านประวัติเพิ่มเติมของท่านได้ที่ น้าวิกี้ เพียงพิมพ์ชื่อท่านลงไป หรือหากต้องการรู้รายละเอียดเกี่ยวกับชีวประวัติของอาจารย์กรุณา ก็สามารถอ่านได้ในบันทึกท่านเขียนเอง "ชีวิตที่เลือกไม่ได้"
ที่นี้มาดูที่กิจกรรมการเสวนา ที่มาของชื่อหัวข้อนี้ ก็สืบเนื่องจากทางมูลนิธิโกมล คีมทองและหอจดหมายเหตุพุทธทาส ได้ร่วมกันจัดพิมพ์หนังสือ ลิขิตพุทธทาสถึงน้องชายโดยธรรม กรุณา กุศลาสัย (แจกเป็นอภินันทนาการแก่ผู้ร่วมเสวนาทุกคน ดีใจมากๆเลย) เพื่อเป็นรำลึกถึงคุณงามความดีของบุคคลทั้งสอง รูปแบบของหนังสือคือเป็นการรวบรวมจดหมายจำนวน 15 ฉบับ ที่ท่านพุทธทาสขณะนั้นยังหนุ่มแน่นวัยประมาณ 30 ปี เขียนถึงอาจารย์กรุณา ในสถานะสามเณรน้อยในวัย 18 ปีซึ่งบวชเรียนอยู่ที่อินเดีย โดยเป็นการเขียนจากท่านผู้อาวุโสฝ่ายเดียว เนื่องจากยังหาจดหมายโต้ตอบจากสามเณรถึงท่านพุทธทาสไม่พบ
หากเป็นจดหมายจากพี่ถึงน้องชายคนรู้จักเห็นหน้ากันก็คงจะไม่แปลกใจ แต่ความอัศจรรย์เกิดขึ้นเมื่อทราบว่าพี่น้องคู่นี้ไม่ใช่พี่น้องโดยสายเลือด อีกทั้งไม่เคยแม้แต่จะเจอหน้ากันเลย (ในขณะนั้น) จึงเป็นการเขียนด้วยความนับถือทางสติปัญญา ท่านพุทธทาสขึ้นต้นจดหมายว่า กรุณา น้องชายที่รักโดยธรรม แทบทุกครั้ง บางทีก็ "กรุณา น้องชายที่รักใคร่"
เนื้อหาของจดหมาย กูรูยังไม่ได้อ่านละเอียด จากเท่าที่ฟังในวงเสวนาของบรรดาผู้รู้คือ จดหมายที่เขียนด้วยถ้อยคำ ภาษาสละสลวย กลั่นกรอง เพื่อเตือนสติ ให้ข้อคิดแก่สามเณรน้อยพร้อมกำลังใจ ให้เล่าเรียนจนจบเพื่อกลับมาปฎิบัติหน้าที่เผยแพร่พุทธธรรมในบ้านเกิด อย่าหลงกระแสของศาสนาหรือศาสดาที่เห่อกันเป็นพักๆ (ถึงตอนนี้ มีเนื้อหาระบุถึง กฤษณมูรติ นักปราชญ์อินเดียอีกท่าน ที่ปลุกกระแสคนหนุ่มสาวให้ตื่นตัวในการปลดปล่อยเสรีภาพของตัวตนออกมา เดี๋ยวต้องขอไปค้นเพิ่มเติมว่ามีต้นสายปลายเหตุอย่างไร)
เราได้เห็นตัวตนอีกมิติหนึ่งของท่านพุทธทาสในฐานะพี่ชายโดยธรรมต่อบุรุษอีกคน
โดยเฉพาะฉบับสุดท้าย (ฉบับที่ 15) ที่ท่านได้แสดงออกความรู้สึกเหนื่อยล้า และหมดหวังนิดๆกับภาระหน้าที่การงาน อีกทั้งกระแสสังคมในขณะนั้นที่มองสำนักสงฆ์ของท่านอย่างคลางแคลงใจ
บางคราวผมรู้สึกว่ามันอ่อนเพลียทางใจ ไม่สดชื่นเรียบร้อยเช่นเคย ต้องปลอบตัวเองและคำนึงถึงการสละเพื่อธรรมที่เคยตั้งปณิธานไว้แล้ว และเคยเล่าสู่กันฟังเมื่อแล้วมา ดูเหมือนเป็นยาที่ดีมาก ความรู้ทางประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาบาลี เหล่านี้ ผมมีไม่พอใช้ทั้งนั้น ต้องเรียนโดยตนเองอยู่เสมอ ความอึดอัดในเรื่องนี้ค่อยเบาบางลง แต่ก็ยังเหลืออยู่น้อย"
ถึงกระนั้นท่านพุทธทาสในวัยที่เข้มแข็งด้วยกำลังวังชาก็ยังฮึดสู้
"พวกเราเป็นออปติมิสตเสมอ แต่บางทีก็มากจนทำให้เฉื่อยชาในการงานได้เหมือนกัน มันมีทั้งคุณและโทษ แต่ดูเหมือนว่าเป็นการปลอดภัยอย่างหนึ่ง ในการที่จะดำเนินงานทั้งที่แล้วมาและสืบไป เราติดขัดการเงินแต่ก็พยายามทำจนได้ โดยให้งานนั้นเลี้ยงตัวเองไปเรื่อยๆ แม้จะช้ามาก มันก็ไปข้างหน้าเหมือนกัน งานหนักที่ก่อชึ้นใหม่ในเวลานี้ ก็คือเราจะตั้งโรงเรียนแบบมิชชั่นนารีขึ้นให้ได้ด้วยเรี่ยวแรง แม้จะยังไม่มีใครช่วยเหลือในเวลานี้ การเสียสละเรี่ยวแรง ทำให้งานเป็นผลดี จนเป็นที่สนใจของผู้อื่นและไว้ใจในอะไรทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับเรา
เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเราจะมีอะไรรวยมากเกินไปอยู่แล้ว ในการที่เรามีนิ้วมือถึง 10 นิ้วและมีมันสมองหนักตั้งปอนด์หนึ่ง"
ภาคผนวกของหนังสือยังมีบทความ "พระคุณที่อินเดียมีต่อไทย" ซึ่งเป็นอาสาฬหบูชาเทศนาปี 2533 ท่านพุทธทาสเองก็เคยไปอินเดียมาแล้ว และมีบันทึกเรื่องราวเป็นผลงานเขียนเช่นเดียวกัน
ลิขิตพุทธทาสฯ น่าจะมีการจำหน่ายในไม่ช้าตามร้านหนังสือทั่วไป ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าจะราคาเท่าไร
หลังเสวนาจบ มีโอกาสไปกราบอาจารย์เรืองอุไร กุศลาสัย คู่ชีวิตของท่าน ผู้ร่วมผจญทุกข์-สุขกับสามีมาตลอด ในวัยชราขณะนี้ อาจารย์เรืองอุไร สายตาไม่ปกติเหมือนเดิม ท่านไม่อาจเปิดตารับรู้ว่าใครคือใคร ต้องสัมผัสมือและส่งเสียงบอกแทน
เดินออกจากสวนโมกข์ กรุงเทพ ใจกอดหนังสือที่ได้มา แดดอ่อนโรยตัวลง เมฆฝนก่อตัวเบื้องหน้าพร้อมจะทำหน้าที่เทตัวอย่างชุ่มฉ่ำอีกครั้ง
Create Date : 10 ตุลาคม 2553 |
|
7 comments |
Last Update : 10 ตุลาคม 2553 19:29:36 น. |
Counter : 1371 Pageviews. |
|
|
วันนี้วันหยุด ไปเที่ยวไหนป่าววเอยยย