|
26 กันยายน 2551
|
|
|
|
|
|
รุ้งพลบ |
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]
|
ใช้ชีวิตแสวงหามาหลายปี ปัจจุบันก็ยังแสวงหาไม่รู้จักเสร็จ บางอารมณ์เหนื่อยๆ ก็หยุดพัก แล้วตรองนิ่งเขียนบันทึกในสิ่งที่พบเห็น
บางอารมณ์ที่โมแรนติค ชอบดูสายรุ้งตอนโพล้เพล้
|
|
|
นึกถึงหนังฝรั่งอีกเรื่องทันที
นั่นก็คือ Ordinary People
จากฝีมือกำกับของ Robert Redford คุณปู่รูปหล่อในอดีต
(ปัจจุบันก็ยังคงความสง่างามตามอายุ)
สร้างเมื่อปี 1980 โอ้โฮ ห่างกันตั้งเกือบ 30 ปี
ไม่ได้ดูในโรงใหญ่ ไม่แน่ใจด้วยว่าเอาเข้ามาฉายหรือเปล่า
แต่ถ้าฉายจริงก็คงจะแค่อาทิตย์เดียว
เพราะเนื้อหนังไม่ถูกใจคอตลาดบ้านเราแน่ๆ
มีโอกาสดูทางวีดิโอภายหลัง เลยประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้
แม้แต่ฉากเริ่มต้นก็ยังจำได้
เปิดฉากด้วยเสียงเพลง Canon ของ Pachelbel อันแสนอ่อนหวาน
เช้าวันอาทิตย์ของเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง Lake Forest, Illinois
ครอบครัวชาวเมืองชุมนุมกันที่โบสถ์ตามปกติ
กล้องแพนให้เห็นความสวยงาม มีระเบียบและน่าอยู่ของหมู่บ้านเล็กๆ
ที่เป็นถิ่นพำนักอาศัยครอบครัวมีฐานะทั้งหลาย
รวมทั้งครอบครัว Jarretts
ครอบครัวของ Jarretts ก็เหมือนกับครอบครัวอื่นๆ
มีสมาชิกพร้อมหน้า 3 คน คือ พ่อ Calvin, แม่ Beth และลูกชายที่เหลือคือConrad
ส่วนลูกชายคนโตคือ Buck อดีตนักกีฬาคนดังประจำโรงเรียน
ได้เสียชีวิตขณะออกไปแล่นเรือกับน้องชาย
ชีวิตของคนทั้ง 3 จากภายนอกก็ดูเหมือนปกติ
แต่ส่องเข้าไปภายในล้วนแต่เป็นแก้วที่มีรอยร้าว
รอเวลาสั่นสะเทือนก็แตกร่วงกราวได้เลย
เริ่มตั้งแต่ตัว Conrad ที่โทษตัวเองตลอดว่าเป็นสาเหตุให้พี่ตาย
ถ้าไม่คะยั้นคะยอให้พี่ชายไปล่องเรือที่ทะเลสาบด้วยกันในวันเกิดเหตุ
Conrad จมอยู่กับความทุกข์ระทมหลอกหลอน
จนพยายามจะฆ่าตัวตายตามไปด้วยเพื่อลบล้างความผิด
ดีที่ผู้เป็นพ่อได้ช่วยทันและส่งเข้าโปรแกรมบำบัดจิตใจคลายกังวลเป็นระยะๆ
แต่ก็ไม่วายเกิดอารมณ์ปะทุขึ้นมาอีก เมื่อเจอสถานการณ์และตัวเร่งโ
ดยเฉพาะจาก Beth ผู้เป็นแม่
Beth แม่ผู้ไม่เคยปล่อยวางจากการจากไปของลูกชายคนโต Buck
Hero ในใจของเธอมาตลอดแม้กระทั่งวินาทีนี้
ถึงไม่พูดกล่าวหาโดยตรง แต่ใจลึกๆก็อดโทษ Conrad ไม่ได้ว่า
เป็นต้นเหตุการตายของพี่ชาย
เธอยังเก็บห้องและสมบัติเดิมของ Buck ไว้รำลึกถึงตลอดเวลา
ห้ามใครเข้ามาแตะต้องหรือยุ่มย่ามเข้ามาในห้องนั้น
Calvin พ่อคนเดียวที่พยายามประสานความสัมพันธ์ของคนที่ตนรัก
แต่ยิ่งประสานก็ยิ่งห่างเหิน จนตัวเองรู้สึกเป็น Loser ของบ้าน
ทุกคนมีปัญหาไปหมด และพยายามหนีปัญหา
โชคดีที่ครอบครัวมีจิตแพทย์ที่เก่ง เข้าใจดีว่า
ปัญหาทั้งหมดเริ่มจากการไม่ยอมรับความจริง
ยิ่งหนีห่าง ก็ยิ่งถูกคุกคาม
ยิ่งปิดกลั้น ก็ยิ่งถูกดันปะทุ
ทำไมไม่บอกกันตรงๆว่ากำลังคิดอะไร
ฉากสุดท้าย คือ บทสนทนาลาจากของ Beth กับ Calvin หน้าระเบียงบ้าน
เมื่อผู้เป็นสามีเปรยขึ้น เริ่มไม่แน่ใจว่า ใช่ Beth คนเดิมที่รู้จักมาตลอดหรือเปล่า
Beth หิ้วกระเป๋าเดินทางใส่รถแล้วขับออกไป
ขณะที่ Conrad เดินออกมาจากในบ้านถามว่า แม่ไปไหน
Calvin มองท้องฟ้าตอบกลับ คงหาคำตอบให้กับตัวเองสักพัก
แล้วพ่อ ลูกก็นั่งอยู่ตรงหน้าระเบียงบ้าน
กล้องซูมออกมา เห็นบ้านหลังอื่นๆในละแวกเดียวกัน
ก็ยังมีผู้คนดำเนินกิจวัตรตามปกติ
เป็นหนังที่เรียบง่าย แต่ในความเรียบง่ายนั้น
ได้เจาะรายละเอียดของชีวิตครอบครัวคนธรรมดาๆที่ไม่ใช่ Hero
อย่างหมดจด งดงามและสมจริง
ไม่มีเคลือบน้ำตาล คำหวานปลอบประโลมใดๆ
ขณะเดียวกันก็ไม่ฟูมฟาย ตีอกชกหัว ร่ำไห้เวทนา
นี่แหละคือชีวิต
ไม่แปลกใจที่หนังคว้ารางวัลทั้งออสการ์ประจำปีถึง 4 ตัว
และรางวัลจากเวทีอีกสารพัด
แม้แต่ในดินแดนปลาดิบ ในฐานะภาพยนตร์ต่างชาติยอดเยี่ยม
ไม่ทราบยังจะพอมี DVD หรือ Video หลงเหลือมั้ย
เป็นหนังอีกเรื่องที่ดูแล้วจะหลับตาลงอย่างไม่เสียใจ
ปล.ทั้ง รักแห่งสยาม และ Ordinary People
เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครอบครัวชนชั้นกลาง
ซึ่งมีจารีตวิถีซับซ้อนมากกว่าเรื่องทำมาหากินและปากท้อง
เอ..คิดเล่นๆว่า ถ้าเรื่องนี้เกิดในชนชั้นล่างที่ปากกัดตีนถีบจะเป็นอย่างไรหว่า