คารวาลัย : คุรุกรุณา กุศลาสัย
ทราบข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ว่า ศิลปินแห่งชาติอาวุโสท่านนี้ อาจารย์กรุณา กุศลาศัย ได้ละลมหายใจจากโลกนี้ไปแล้ว เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2552 ในวัย 89 ปี อย่างสงบ จึงขอน้อมกราบคารวะและไว้อาลัยอาจารย์มา ณ โอกาสนี้
มองไปในตู้กระจกที่เรียงรายหนังสือสารพัด "คีตาญชลี" คือผลงานแปลเล่มเอกของอาจารย์ที่มีเก้บไว้นานนมแล้ว อีกทั้งเรื่องสั้น โศลกอินเดียอีกสารพัด รวมทั้ง"เมฆฑูต" คำกลอนอันแสนสละสลวย ว่าด้วยการฝากถ้อยจำนรรจาร่ำลาอาลัย ของยักษ์ตนหนึ่งที่มีต่อนางอันเป็นรัก ผ่านก้อนเมฆผู้ลอยเลื่อนอย่างอิสระเสรีบนท้องฟ้า
งดงามและบรรเจิดมาก
Create Date : 24 สิงหาคม 2552 |
Last Update : 24 สิงหาคม 2552 20:15:45 น. |
|
8 comments
|
Counter : 1349 Pageviews. |
|
|
|
|
"นายกรุณา กุศลาสัย เดิมเชื่อ กิมฮง แซ่โค้ว
เกิดวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2463 ในเรือกระแชง หน้าวัดตะแบก
ตำบลแควใหญ่ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ มีเชื้อสายเป็นจีนแต้จิ๋ว ปู่และตาเป็นเจ้าสัวทำการค้าขาย
เดินเรือขายสินค้าในย่านแควใหญ่ ปากน้ำโพ
บ้านที่อาศัยอยู่ก็คือเรือนแพที่ใช้ทำการค้า มีพี่น้อง 2 คน คือพี่สาวและตนเอง
บิดาเสียชีวิตด้วยไข้ป่าเมื่อกิมฮงอายุได้ 5 ขวบ
อีกประมาณ 3 ปีต่อมา มารดาเสียชีวิตไปอีกด้วยวัณโรค
กิมฮงกับพี่สาวกลายเป็นเด็กกำพร้า
ภาระการเลี้ยงดูจึงตกที่น้าสาวชื่อนุ่ม ซึ่งยากจนขัดสนมากอยู่แล้ว
ทรัพย์สมบัติของครอบครัวกิมฮงก็ค่อยๆ หมดไปตั้งแต่มารดาติดการพนันและล้มป่วย
พออายุได้ 9 ขวบ ญาติผู้ใหญ่ในกรุงเทพมหานคร
ได้รับตัวไปเรียนหนังสือที่วัดตรีทศเทพ โดยพักอาศัยอยู่ที่วัดในฐานะเด็กวัด
อีก 2 ปีต่อมา ย้ายไปอาศัยอยู่กับลุงและป้าที่ถนนพะเนียง
และเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในโรงเรียนพญาไท เชิงสะพานยมราช
พออายุ 12 ขวบ น้านุ่มให้สามีรับกลับไปอยู่กับพี่สาวและครอบครัวของน้านุ่ม
แต่อีกไม่นานน้านุ่มก็ถึงแก่กรรม ทำให้ครอบครัวนี้แพแตก
เรือนแพถูกรื้อไปถวายวัด กิมฮงถูกฝากให้อยู่กับพ่อค้าที่มีชื่อเสียงฐานะดี ต้องอยู่ในฐานะเด็กรับใช้ คอยรับใช้ทุกคนในบ้าน
ระหว่างนี้ได้เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-2 ที่โรงเรียนประจำมณฑลนครสวรรค์ (ต่อมาเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด)
งานบ้านที่กิมฮงทำเป็นประจำคือ ตักน้ำจากแม่น้ำใส่ปี๊บหาบ
ด้วยไม้คานวันละ 5-6 เที่ยวๆ ละ 3 ใบ ไปใส่ตุ่มในบ้านให้เต็มตุ่มทุกวัน (เป็นเหตุให้หลังโก่งจนถึงปัจจุบัน)
หลังจากเลิกเรียนทุกวันต้องรีบกลับไปส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้านและร้านค้า แล้วรีบไปกวาดถูพื้นไม้ของตึกแถวสามชั้น
กว่าจะได้นอนก็ถึง 21.30 22.00 น. ไม่มีเวลาดูหนังสือ
เป็นอย่างนี้อยู่ 3 ปี แต่ผลการเรียนก็ยังดีมาก
ปี พ.ศ. 2476 ถูกนายจ้างไล่ออกเพราะทำถ้วยชามแตก
ทำให้ไม่ได้เรียนต่อชั้นมัธยมปีที่ 3
กลางปี พ.ศ. 2476 ด้วยความที่รักเรียน
ในยามขาดที่พึ่งจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรตามคำชักชวนของพระโลกนาถ (เดิมเป็นฆราวาสชื่อ SALVOTORE CIPFFI)
พระภิกษุสัญชาติอิตาลี ซึ่งเดินทางเข้ามาประเทศไทยในโครงการนำภิกษุสามเณรจากประเทศไทย พม่าและศรีลังกา
ไปศึกษาและฝึกอบรมในประเทศอินเดียให้มีความสามารถพอ
แล้วจะให้เดินทางไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศตะวันตกต่อไป
พระโลกนาถให้ฉายาสามเณรกิมฮงว่า กรุณากุศลาสัย
และได้ใช้นามนี้จนถึงปัจจุบัน
วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2476 ได้ร่วมกับคณะพระโลกนาถ ประมาณ 200 กว่ารูป
เดินทางเข้าไปประเทศอินเดียจากนครสวรรค์ผ่านสวรรคโลก สุโขทัย ตาก แม่สอด
ข้ามแม่น้ำเมียวดีผ่านเมืองมะละแหม่ง หรือหงสาวดี และย่างกุ้ง
เมื่อถึงเมืองย่างกุ้ง เกิดแตกคอกันด้วยสาเหตุหลายประการ
จึงเหลือผู้เดินทางไปกับพระโลกนาถเพียง 10 รูป
รวมทั้งสามเณรกรุณา เดินทางต่อโดยเรือโดยสารคู่นครกัลกัตตา
สามเณรได้เรียนภาษาฮินดี อังกฤษ และบาลี ประมาณ 2 ปี
สอบได้เป็นที่ 1 (ในบรรดาผู้ที่มิได้ใช้ภาษาฮินดีเป็นภาษาพูดแต่กำเนิด) และสมัครเรียนภาษาอังกฤษทางไปรษณีย์ที่ Bonnet College ในเมือง Sheffield ประเทศอังกฤษ ได้ Diploma ทางภาษาอังกฤษ
ในปลายปี พ.ศ. 2481 ได้รับทุนเรียนจากจอมพลสมเด็จพระบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเสด็จประพาสอินเดีย
ปลายปี พ.ศ. 2482 ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยวิศวภารติ ศานตินิเกตัน แคว้นเบงกอลตะวันออก
เป็นสถาบันอันลือชื่อของมหากวีรพินทรนาถฐากูร
ชาวเอเซียคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม
ขณะเรียนทำงานกับศาสตราจารย์ตันหยุน- ฉาน (Tan Yun Chan)
ผู้อำนวยการคณะจีนศึกษาในฐานะเลขานุการส่วนตัว
ระหว่างที่อยู่สารนาถ แขวงเมืองพาราณสี ได้เขียนบทความเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของพุทธศาสนาในประเทศอินเดียวและประเทศอื่น ใช้นามปากกาว่า สามเณรไทยในสารนาถ
มาลงตีพิมพ์ในวารสาน ธรรมจักษุ และ พุทธศาสนา
ซึ่งท่านพุทธทาสภิกขุได้ให้กำลังใจและมอบหนังสือ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ พร้อมเขียนคำชมเชยด้วย
ปลายปี พ.ศ. 2483 ได้เข้าศึกษาวิชาภารตวิทยา (Indology หรือ Indian Studies)
คือวิชาที่ว่าด้วยวัฒนธรรมของอินเดีย มีวรรณคดี ศาสนา และปรัชญาเป็นหลัก
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2484 เกิดมหาสงครามเอเชียบูรพา ญี่ปุ่นบุกประเทศไทย
ส่งผลให้ประเทศไทยประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร
ขณะนั้นอินเดียยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ สามเณรกรุณา
ในฐานะพลเมืองไทยจึงถูกจับกุมขังตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ที่ค่ายกักกันในนครนิวเดลี พร้อมกับอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์
ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยวิศวภารติ ศานตินิเกตัน
สามเณรกรุณาจึงลาสิกขากับพระมหาแสวง ณ อ่างทอง ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2485
และถูกย้ายไปอยู่ที่ค่ายกักกันในแคว้นราชสถาน ในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2486
เมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2488 ศาสตราจารย์ตันหยุน ฉาน
ได้ติดต่อให้ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยวิศวภารติ ศานตินิเกตัน
แต่ด้วยความคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน จึงตัดสินใจกลับเมืองไทย
แทนการศึกษาให้จบปริญญา รวมเวลาอยู่ที่อินเดีย 12 ปี
อยู่ในค่ายเชลย 4 ปี ขณะนั้นนายกรุณา อายุ 26 ปี
นายกรุณา ขณะอายุ 29 ปี ได้สมรสกับนางเรืองอุไร หิญชีระนันท์
ผู้เป็นดัง อรธางคินี หรือผู้เป็นครึ่งหนึ่งของสามีเสมอมา