<<
ธันวาคม 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
21 ธันวาคม 2553

ดวงใจจากเจ้าแล้ว ...จำจร



รับทราบข่าวเศร้าการลาจากของอาจารย์ประทุมพร วัชรเสถียร
เมื่อเช้านี้ 21 ธันวาคม ด้วยความสลดใจนัก
ดูเถอะ ในวัย 67 ปี ยังเห็นภาพอาจารย์พูดจา คล่องแคล่ว
กระฉับกระเฉง วิเคราะห์ข่าวต่างประเทศอย่างสนุกสนาน
บางครั้งก็พาคนฟังไปเที่ยวไหนต่อไหนราวกับมัคคุเทศก์มืออาชีพ

อาจารย์ประทุมพร วัชรเสถียร ใช้ชีวิตถึงบั้นปลาย
ด้วยหลายบทบาท หน้าที่อันทรงค่า
ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการตำแหน่งรองศาสตราจารย์
ในฐานะอาจารย์สอนภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
นักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศและพิธีกรรายการสนทนาประเด็นสำคัญๆ
เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีของเมืองนอกเมืองนา
ดีเจ รายการวิทยุ
นักเขียนนวนิยาย สารคดีท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อย่างสนุกสนาน
ทำให้พงศาวดารที่ยืดยาว น่าเบื่อหน่ายกลายเป็นเรื่องสนุกครบอรรถรส
อีกทั้งเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ก็ได้เป็นนักการเมืองแต่งตั้ง
ในบทบาทสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 2549

กูรูรู้จักอาจารย์ประทุมพร
เมื่อมาเป็นอาจารย์พิเศษที่คณะ สอนเรื่องการเขียนนวนิยาย
และรู้จักอาจารย์ผ่านงานวรรณกรรมอีกหลายเรื่องผ่านนามปากกา"ดวงใจ"

"แม่เขียนถึงหนูพุก"
งานเขียนยุคแรกในรูปแบบของจดหมายที่เขียนถึงลูกชายคนเดียว
ขณะอาจารย์กำลังศึกษาอยู่เมืองนอก
และลูกชายยังเด็กตัวกะเปี๊ยก


"จากดวงใจ"
นวนิยายยาวเรื่องแรกที่ว่าด้วยสังคมปัญญาชนในแคมปัสที่เพนสเตท
อันเป็นมหาวิทยาลัยที่อาจารย์ใช้ชีวิตช่วงศึกษาต่อปริญญาโท
ตัวละครจากประเทศต่างๆได้มาใช้ชีวิตช่วงหนึ่งร่วมกัน
เพื่อถกเถียง โต้แย้งในประเด็นปัญหาความสัมพนธ์ระหว่างประเทศ
แล้วบางคู่ก็สานสัมพันธ์กันต่อจริงๆหลังเรียนจบ
ยกเว้น"ปทิ่น" นางเอกของเรื่องที่ต้องกลับไทยด้วยมีพันธะหัวใจอยู่ก่อนแล้ว

"บ่วงกรรม"
นวนิยายเรื่องต่อมาว่าด้วยเรื่องรักต้องห้าม
ตัวละครที่เดินทางติดบ่วงในเรื่อง ก็ไม่ใกล้ไม่ไกล
อยู่ในแวดวงมหาวิทยาลัย คณะรัฐศาสตร์ที่เธอสอนอยู่นั่นเอง
งานนี้ทำเอาตัวตนของผู้ที่ถูกนำมาสะท้อนเป็นพระเอก ผู้ช่วยพระเอก
นางเอก นางรองทั้งหลาย ร้อนๆหนาวๆไปหลายคน

"รัฐมนตรีหญิง"
เรื่องราวล้ำยุคของผู้หญิงในแวดวงการเมืองที่ได้รับเกียรติขึ้นมาเป็นถึงรัฐมนตรี(ผู้ช่วย)หญิง
ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ฉีกหน้าประวัติศาสตร์การเมืองขณะนั้น
เพราะไม่เคยปรากฏว่าจะมีสส.หญิงคนใดก้าวขึ้นมาถึงตำแหน่งนี้ได้เลย

"บ้านรมณีย์"
การเริ่มต้นยุคแรก "Guest House"
ละแวกถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา
ก่อนที่ตรอกข้าวสารจะเริ่มบูม

และอีกหลายๆเรื่องในกาลต่อมา
รวมทั้งเรื่อง"คุณย่า.ดอทคอม"
สังคมบรรดาคุณย่าคุณยายที่ไม่ยอมตกยุคไฮเทค
หันมาสนุกสนานกับการใช้คอมพิวเตอร์กับลูกๆหลานๆ

นอกเหนือจากนิยายเรื่องยาว งานเขียนวิชาการแล้ว
งานเขียนสารคดีก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ "ดวงใจ"ถนัดและทำได้สนุกสนาน
สารคดีแทบทุกเรื่องของเธอ
มักพาให้เราเดินทางไปในสถานที่ที่โปรดปราน
ซึ่งไม่พ้นบรรดาประเทศในแถบยุโรปโดยเฉพาะอังกฤษ
ซึ่งอาจารย์บอกว่าไปมาเกือบยี่สิบครั้งแล้วในชีวิต
ไม่เคยเบื่อเลย และหวังว่าจะไปอีก

เพราะความประทับใจในประเทศอังกฤษนี้เอง
นอกเหนือจากสารคดีท่องเที่ยวบันทึกประสบการณ์
การเดินเท้าของอาจารย์แล้ว
ยังได้เป็นแรงบันดาลใจให้อาจารย์เขียนประวัติศาสตร์เล่มยาว
เรียงร่ายเนื้อหาเกี่ยวกับประเทศเกาะสุดโปรด

"เบื้องหน้าเบื้องหลังบังลังก์อังกฤษ"
คือผลงานความเรียงเชิงประวัติศาสตร์ในแบบฉบับของ"ดวงใจ"เอง
จากการค้นคว้า สืบสาวราวเรื่อง เทียบเคียง
ผนวกจินตนาการเล็กๆน้อยๆ
ทำให้พงศาวดารเยิ่นเย้อของราชวงศ์อังกฤษนับพันปี
กลายเป็นเรื่องผจญภัย ชวนตื่นเต้น มีมนต์เสน่ห์ลึกล้ำ
จนพาเรากลับไปสู่ยุคสมัยนั้นๆอย่างแนบเนียน
ตัวละครโดยเฉพาะบรรดากษัตริย์ทั้งหลายที่จำชื่อก็แสนยาก
เพราะซ้ำกันไปหมด เทือกเถาเหล่ากอของตระกูลที่โยงพันไปราชวงศ์โน้นนี้
ถูกอาจารย์เอามาจัดวางใหม่ จับย่อประวัติและวีรกรรมสำคัญๆ
จนเห็นตัวตนของกษัตรย์และกษัตริยาองค์นั้นกระโดดออกมาเด่นชัด
พร้อมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ซ่อนงำไว้จากประวัติศาสตร์เชิงวิชาการ

อ่านงานเขียนเล่มนี้ของอาจารย์จบ
เป็นการทบทวนประวัติราชวงศ์อังกฤษได้อย่างจำติดจนตาย

ระยะหลังอาจารย์ไม่ค่อยได้เขียนงานอะไร
คงเป็นช่วงที่ต้องรับรักษาตัว
แต่กูรูก็ได้อ่านบทความในคอลัมน์หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ
ว่าด้วยเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม
อาจารย์เล่าเรื่องในฐานะผู้สังเกตการณ์ที่มีนิวาศสถานแถวสีลม
และเผชิญกับการปิดล้อมของเหล่านักเล่นกีฬาสีอีกฝ่าย
อาจารย์และลูกชายได้เข้าไปพูดคุย ทำความเข้าใจ
ด้วยอยากรู้สาเหตุรากเหง้าของการประท้วงนี้จากปากชาวรากหญ้าจริงๆ

น่าเสียดาย อาจารย์คงได้เก็บข้อมูลเหล่านี้สำหรับงานเขียนเรื่องใหม่อีก
ถ้าไม่ใช่เพราะเช้าวันฤดูหนาว ลมเย็นพัดวูบใหญ่

ดวงใจ จำจากเจ้า จำจร เสียไกลแล้ว





Create Date : 21 ธันวาคม 2553
Last Update : 15 มกราคม 2554 10:36:06 น. 3 comments
Counter : 1728 Pageviews.  

 
ข้างล่างนี้คือ ข้อเขียนช่วงเกิดวิกฤตกีฬาสี
ที่อาจารย์เขียนขึ้นในคอลัมน์ Bangkok Post


One fine day!
By Prathoomporn Vajrasthira
Published on April 23, 2010

This morning, after the Mass at the Holy Redeemer Church, Pook, my son, took me to have a first-hand observation of the REDS' Protest at Rajdamri Road. It's quite an interesting adventure for me, given my age and my health.

Our car could not get through Soi Lang Suan from Wireless Road without answering questions from the Red Guards at the check point right
at the corner of the two streets. We didn't want to do that for fearing that we could not be polite enough not to ask them by what means they were authorized to block the public traffic.

We then parked the car in Lumpinee Park and took the side-door to Lang Suan and walked among the Reds of all ages and sexes amidst the blast of lies barking from the stage having connections to all speakers in the area, from Dusit Thani to the Grand Hyatt penetrating all ears in the tall Buildings and Condos on Rajdamri and all Sois.


In tents along the island on Rajdamri Road, people of countless number were still sleeping ( at apporx. 9.00 a.m.). I saw 2 monks in bright yellow were among laymen, I mean sleeping. Several people were taking their morning bath in make-shift facilities on the footpath not far from the AUA and Regent House. (Later, I saw a long row of make-shift toilets in Soi Mahadlek Luang just opposite to the parking entrance of the Four Seasons Hotel, completely shut down).

Some were eating Luk Chin Noodles and Som Tam from the stalls along the street where vendors did the washing and preparing right on the pavement. Garbages were everywhere including in the lovely corner-gardens of some buildings. There were big banners and posters here and there saying something like " Am here to chase away Prem "; " Will not go home until attaining Democracy"; "Abhisit the bloody killer" and, of course, "Dissolve the parliament, Abisit, resign".



It's so tempting that I wanted to ask them questions but fearing for our safety because most men around us looked very muscular with unfriendly eyes. Pook wearing orange and myself wearing yellow, by accident, might add to the problem.

Anyway, I have spotted a kind-looking uncle over 70 years, very dark face and body and rather skinny. I spoke to him very politely....Khun Loong Ka, where are you from? Roi Ed, he answered. I asked him further.... what do you do there ka? Farming. Why don't you stay at home ka? Not ploughing season yet. And why you don't enjoy your happy free-time with your grand-children ka? Here is very hot and uncomfortable while you have all your green and cool countryside to enjoy at home.

His answer was.... I just want to have a look of what is going on here. He smiled kindly, so I wish him good luck and good bye.



Then we walked in one of Soi Mahad Lek where I saw a row of toilets. a woman of about 35 years old, clad in bright red, rather good looking, came out of a 7-11. I asked her politely again..... where are you from,Sister? Yasothorn, but I've been working as a maid at a Condo in this Soi for some time.... Could you please, Sister, tell me what you people mean when saying that democracy has to be brought back. What do you think undemocratic now?.... No! We don't have democracy at all. Abhisit did not stand for election. He was being picked and chose by the Military, unlike Thaksin and Samak and Somchai who were elected by the people's will. Abhisit is in power against our will.

I said no and started to preach her, unintentionally, of Democracy in Thailand 101, seemingly unconvinced to her. I asked further why you people want to chase away Prem? She said Prem would come to the top after the King. I said no. HM has already appointed his successor, please check with the constitution.

She said.... I have already checked with my copy at home. I insisted that she would re-check. (Please see Articles 18-20 Thai Constitution B.E.2550). Then we exchanged quite a few pertinent questions : Why they don't arrest the PINKS at the VIctory Monument, and why us REDS? Why they called us PHRAI? (It's the core member who invented this notion), etc.

I've have tried my best to explain all her queries without much success because she was fully equipped with wrong countless sets of information by coming every night to the gatherings. We parted with my last 2 questions for her. Sister, could you tell me what really is democracy and what Thailand would become after the parliament dissolved, Abisit resigned and Thaksin returned? Her answer was.... how do I know, they haven't told me yet.


We finally parted with friendly smiles but myself very heavy-hearted and worried of how much more and how longer the time, and how many more of these people would be bombarded with this trash. How to effectively disseminate facts and truths to them? I did not see any of them listen to anything except what came from the stage in an alarming loudness. Please advise if you have any.



In fact, I have a lot more to say but this message is already too long for you to enjoy reading it. Thank you for being with me until the end.


Love and best regards,

Prathoomporn

Retired Professor from the Faculty of Political Science, Chulalongkorn University.





โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 25 ธันวาคม 2553 เวลา:13:57:22 น.  

 
ได้รับบทความสุดท้ายที่เผยแพร่ต่อๆกันมา
เพื่อเป็นอนุสติสำหรับผู้ที่อยู่ข้างหลัง
เลยเอามาแบ่งปันให้เพื่อนอ่านในนี้

การตายและงานศพของฉัน

ประทุมพร วัชรเสถียร**

เมื่อชีวิตของฉันเดินทางมาถึงวันนี้ ฉันไม่มีความกลัวเรื่องความตายของตัวเองอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่สนใจว่าฉันจะตายเมื่อไร เหตุใดจึงตาย ตายแล้วจะไปไหน ฉันไม่สนใจใคร่รู้ทั้งนั้น รู้อยู่แต่ว่าฉันอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ (อีกนานเท่าไรไม่ทราบ) ให้เป็นประโยชน์ที่สุด และอย่างมีความสุขที่สุด

การทำชีวิตให้เป็นประโยชน์ที่สุด และมีความสุขที่สุดในทัศนะของฉัน น่าจะเป็นดังนี้คือ

๑.ปฏิบัติภารกิจในหน้าที่ให้ดีที่สุด สมบูรณ์ครบถ้วนที่สุด อย่างเต็มใจและอย่างสนุกที่สุด ภารกิจใดถ้าคิดว่าต้องฝืนใจทำ ทำแล้วไม่สนุก ทำแล้วเกิดความทุกข์ เกิดความกดดัน ทำให้เคร่งเครียด ฉันจะพยายามหลีกเลี่ยงให้ไกลที่สุด

ฉันมีวิธีเลือกภารกิจของฉันดังนี้คือ

๑.๑ ทำงานชนิดที่ชอบ ทำด้วยใจรัก ทำแล้วสนุก ทำแล้วมีความสุข

๑.๒ ทำงานที่ให้ประโยชน์แก่เพื่อนร่วมโลก

๑.๓ ทำงานที่ให้ค่าตอบแทนเป็นเงินตรา หากฉันยังคงมีความต้องการด้านนี้

๑.๔ ทำงานที่ให้ความสุขแก่ผู้อื่น แม้จะไม่เป็นประโยชน์ใดๆ ก็ตาม (แต่ต้องไม่ผิดกฎหมาย และผิดศีลธรรม)

๒. คบคนที่คบแล้วทำให้จิตใจสบาย ร่าเริง เบิกบาน เปิดสมองและโลกทัศน์ ฉันไม่กลัวว่าจะมีเพื่อนน้อย หากเพื่อนเพียง ๒ – ๓ คน ที่ฉันคบสนิทด้วยทำให้ฉันสบายใจ ผู้ใดที่ทำให้ฉันรกตาด้วยภาพ รกหูด้วยคำพูด รกใจด้วยเรื่องร้าย ฉันขออยู่ห่างที่สุด

๓. สิ่งใดที่ฉันคิดว่าเป็นสิ่งดีที่ควรทำ ฉันจะไม่ผลัดวันประกันพรุ่งอีกต่อไป เช่น

๓.๑ เขียนจดหมายถึงเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันมานาน หรือติดต่อนัดพบกับเขา หากทำได้

๓.๒ ไปเยี่ยมผู้ใหญ่อันเป็นที่รักและเคารพ ซึ่งมิได้เยี่ยมเยือนมานาน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่มีใครเหลียวแล

๓.๓ อ่านหนังสือที่เคยคิดอยากอ่าน หรือหยิบมาเตรียมไว้ แต่ยังไม่เคยมีเวลาเปิดอ่าน

๓.๔ ตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อออกไปเดินเล่นท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ในสถานที่เหมาะสม เช่น สวนสาธารณะ หรือเดินชมกรุงเทพฯ ย่านที่ฉันเคยรู้จักและอยากกลับไปฟื้นความหลังอีก หรือย่านที่ไม่รู้จัก แต่อยากทำความรู้จัก ในฐานะที่ฉันเป็นชาวกรุงเทพฯ มาตั้งแต่เกิด

๓.๕ ส่งเงินหรือสิ่งของไปช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลน โดยผ่านตัวแทนที่เชื่อใจได้ว่าจะนำความช่วยเหลือของฉันไปถึงตัวบุคคลที่ต้องการ (หากให้โดยตรงไม่ได้)

๓.๖ อ่านหนังสือธรรมะ หรือฟังข้อคิดทางธรรมะเป็นประจำ และปฏิบัติตามนั้น จะเป็นธรรมะของศาสนาใดก็ได้ ธรรมะที่ช่วยแก้ปัญหา อ่าน/ฟัง แล้วใจสบายนั้นคือธรรมะที่ถูกต้อง ธรรมะใดที่อ่าน/ฟังแล้วหนักใจ ทำให้เป็นคนเห็นแก่ตัว เต็มไปด้วยโมหะ สร้างความแตกแยก นั่นมิใช่ธรรมะ

๔. หากร่างกายและจิตใจของฉันอำนวย ฉันอยากมีอาชีพเป็นนักเขียนจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตของฉัน ฉันอยากเขียนเรื่องทุกชนิดที่มีสื่อเผยแพร่ ไม่ว่าจะเป็นนวนิยาย บทความ เรื่องท่องเที่ยวจากประสบการณ์ คอลัมน์ประจำ บทวิจารณ์ หรือการตอบจดหมายแนะแนวทางแก้ไขปัญหาชีวิต รวมทั้งเรื่องธรรมะและการอบรมกล่อมเกลาจิตใจ และพฤติกรรมของมนุษย์

๕. ฉันจะรู้จักมี “มุมชีวิต” ของตัวเอง หมายความว่า ฉันจะต้องรู้ข้อจำกัดของบทบาทของฉันว่าควรยุ่งเกี่ยวกับชีวิตคนอื่นมากน้อยเพียงใด และควรพอใจบทบาทความเป็น “คนนอก”ของตัวเองเพียงใด ฉันจะต้องรู้ว่า ไม่ว่าฉันจะเป็นภรรยา หรือแม่ หรือพี่ หรือย่า หรือยายของผู้ใด ฉันย่อมไม่มีสิทธิ์เข้าไปเกี่ยวข้องในการตัดสินใจเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของคนเหล่านั้น

หากฉันถูกขอคำปรึกษาหารือ ฉันจะให้คำปรึกษาที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ฉันจะไม่โกรธเคือง หรือเก็บเอามาเป็นอารมณ์ หากบุคคลเหล่านั้นไม่ปฏิบัติตามข้อแนะนำของฉัน ฉันจะมีแค่ หูเปิด ตายิ้ม ปากปิด ต่อพวกเขาเหล่านั้น

๖. ฉันจะไม่ “แบกโลก” ฉันจะไม่เป็นคนเจ้าทุกข์ ฉันจะไม่ทุกข์เกินขนาดที่ควรทุกข์ ฉันจะต้องเตือนใจตัวเองว่า

- ฉันจะไม่ทุกข์ต่อเรื่องที่แก้ไขได้ เพราะหากฉันสามารถแก้ไขได้ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องมีความทุกข์

- ฉันจะไม่ทุกข์ต่อเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ เพราะต่อให้ฉันทุกข์จนหน้าไหม้ใจขมไปหมด ฉันก็ยังแก้ปัญหานั้นไม่ได้ แล้วฉันจะปล่อยให้ความทุกข์มาครองใจฉันจนถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิตของฉันด้วยประโยชน์อันใด

๗. ฉันจะไม่โกรธ ฉันจะไม่โมโห เพราะความโกรธคือความโง่ ความโมโหคือความบ้า ฉันจะไม่เตรียมตัวตายอย่างคนโง่และคนบ้า



ก่อนฉันจะตาย

หากฉันตายโดยกะทันหัน เช่น อุบัติเหตุใหญ่ หรือหัวใจวายเฉียบพลันก็แล้วไป โปรดจัดงานศพของฉันดังที่ฉันจะได้เขียนต่อไป

หากฉันเจ็บไข้ด้วยโรคที่รักษาไม่ได้ ต้องนอนแซ่วอยู่บนเตียง หรือไม่รู้สึกตัว ต้องมีชีวิตอยู่ด้วยสายระโยงระยาง และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ฉันขอร้องว่าอย่าเสียเวลาและเสียเงินเพื่อฉันมากมายอย่างนั้น ขอให้ใช้เวลาดูอาการของฉันไม่เกิน ๑ เดือน ต่อจากนั้นขอให้ยุติการต่อชีวิตฉันด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ โปรดอนุญาตให้ฉันจากไปด้วยวิธีธรรมชาติที่สงบที่สุดเถิด

หากฉันมีโรคภัยชนิดที่ทำให้ต้องเจ็บปวดทุรนทุราย และร้องครวญคราง ขอให้บอกแพทย์ให้ใช้ระงับความเจ็บปวดแก่ฉัน ในอัตราที่ฉันจะสงบทั้งความเจ็บปวดและเสียงครวญครางของฉันได้อย่างราบคาบ แม้ว่าวิธีนั้นจะทำให้ฉันตายเร็วขึ้น ก็ไม่เป็นไร ฉันคิดว่าชีวิตของฉันที่ผ่านมา ฉันใช้ทำประโยชน์ให้แก่สังคมและชีวิตมนุษย์รอบตัวฉันมากพอที่ฉันไม่ควรจะต้องได้รับความทรมานในบั้นปลายของชีวิตเช่นนั้น

ก่อนฉันตาย ฉันอยากเห็นหน้าญาติมิตรและเพื่อนรักของฉัน และเพื่อนที่รักฉัน แต่ถ้าการมาหาฉัน ทำให้พวกเขาเสียเวลา หรือไม่สบายใจที่ต้องมาเห็นฉันในสภาพที่ผิดไปจากคนเดิมที่พวกเขาเคยเห็น เขาจึงไม่มาหาฉัน ฉันก็จะไม่โกรธ ไม่น้อยใจ จะไม่บ่นว่าอย่างใดเลย ในสภาพและวาระสุดท้ายเช่นนั้น ฉันควรจะต้องรู้จักให้อภัย และมีความเข้าใจต่อทุกสิ่งที่ว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นย่อมเกิดมาจาก “เหตุ”อันมี “ตรรกะที่เข้าใจได้” ทั้งสิ้น


งานศพของฉัน

ฉันได้อุทิศร่างกายและดวงตาให้แก่โรงพยาบาลที่มีวิทยาลัยแพทย์เรียบร้อยแล้ว

ฉันไม่อยากรบกวนญาติมิตร เพื่อนฝูงให้ต้องมาลำบาก เพราะความตายของฉัน เช่น ลำบากเดินทางมางานของฉัน ลำบากเสียเงินซื้อพวงหรีด หรือดอกไม้ หรือเสียเงินใส่ซอง

อย่างไรก็ตาม ฉันก็ไม่อยากจะหายไปจากโลกนี้อย่างเงียบเชียบจนเกินไป มันดูเหงาพิลึก!

ฉันอยากขอร้องผู้ที่อยู่ข้างหลัง ไม่ว่าจะเป็นญาติสนิท หรือมิตรสหายที่รักชอบฉัน ให้ช่วยระลึกถึงการตายของฉัน ดังนี้

๑. ช่วยแจ้งแก่วิทยุที่มีบริการประกาศข่าวโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายถึงข่าวตายของฉัน เพื่อคนรู้จัก เพื่อนฝูง ญาติที่ไม่เจอกันนานๆ จะได้ทราบว่าฉันไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว

๒. หากญาติมิตรคิดจะจัดงานระลึกถึงฉัน อยากให้หาสถานที่มารวมกันสักครั้งหนึ่ง เพื่อพูดคุยถึงฉันและผลงานของฉัน ไม่ต้องแต่งดำ ฉันอยากให้คนเหล่านั้นใส่เสื้อผ้าสีสวยๆ และนึกถึงฉันอย่างมีความสุขที่สุด ไม่ต้องชมเชยฉัน (และผลงานของฉัน) หรอก ตำหนิก็ได้ แต่อยากให้มีการแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างผู้ที่เคยรู้จักฉันสักครั้งหนึ่ง ครั้งเดียวเท่านั้นเป็นพอ อย่าลืมว่าเมื่อฉันมีชีวิตอยู่ เราเคยมีความสุข สนุกรื่นเริงด้วยกัน ขอโอกาสอย่างนั้นให้แก่ฉันเป็นครั้งสุดท้ายเถิด

และถ้าไม่ “เวอร์” จนเกินไป ฉันอยากให้มีเพลง In The Monastery Garden ของ A. Ketelbeyเปิดคลอไปด้วย เพราะฉันชอบเพลงนี้มาก ทำนองเพลงนี้มีบรรยากาศเหมาะแก่การส่งดวงวิญญาณไปสู่สถานที่แห่งใหม่ (ซึ่งน่าจะสวยสดและเย็นฉ่ำ แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร)

๓. ฉันคิดว่า เมื่อฉันตายไปแล้ว ผู้ที่อยู่ข้างหลังคงไม่เดือดร้อน เพราะฉันไม่มีหนี้สินอะไร และพินัยกรรมฉันก็ทำไว้แล้ว ผู้ที่ได้รับสิ่งของจากฉันตามพินัยกรรมนั้น หากไม่พอใจ (เพราะน้อยเกินไป) ฉันต้องขอโทษด้วย เพราะฉันไม่ใช่คนรวย ฉันรับราชการด้วยความสุจริต รับแต่เงินเดือนมาตลอดชีวิต รายได้พิเศษของฉันก็มีเพียงจำกัดจากการเขียนหนังสือเท่านั้น หวังว่าผู้ที่ได้รับมรดกจากฉันคงเข้าใจ

๔. ฉันเตรียมบทความที่เขียนเอง (และเคยตีพิมพ์มาแล้ว) ไว้จำนวนหนึ่ง ถ้านำมารวมกันในเล่มเดียวจะเป็นการเล่าประวัติของฉัน และวาดภาพสังคมไทย (ในวงที่จำกัด) ช่วงหนึ่ง ฉันหวังว่าคนที่อ่านคงจะสนุกเพลิดเพลินและได้รับประโยชน์บ้าง หากเงินสวัสดิการต่างๆ ที่เป็นสิทธิ์ของฉันยังมีเหลืออยู่บ้าง ฉันอยากให้ญาติมิตรคนใดก็ตามช่วยจัดพิมพ์หนังสือนั้นให้ฉันด้วย ภายใต้ชื่อว่า “พาดผ่านกาลเวลา” คิดว่าพิมพ์เพียง ๒,๐๐๐ เล่มก็เกินพอแจกญาติมิตรและคนรู้จักที่ต้องการอ่านหนังสือเล่มนี้ ขอให้จัดส่งไปยังห้องสมุดต่างๆ สักจำนวนหนึ่งด้วย

ทั้งหมดที่ได้เขียนมา คงจะเพียงพอแล้วสำหรับที่ฉันจะบอกแก่คนใกล้ชิดว่า ฉันอยากให้วาระสุดท้ายของฉันมีการเตรียมการอย่างไรบ้าง ความจริงวิธีที่ดีสุดก็คือ ฉันไม่ควรกระทำการคล้ายกับ “เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง”เช่นนี้เลย แต่ฉันเกรงว่า หากไม่บอกแจ้งไว้เช่นนี้แล้ว ผู้ที่หวังดีต่อฉัน อาจต้องเสียแรง เสียเวลา และเสียเงินทองเพื่อฉัน โดยที่มิได้เป็นความปรารถนาของฉันเลย ฉันจึงควรบอกไว้เช่นนี้จะดีกว่า

ท้ายที่สุดนี้ ฉันขอให้ทุกคนที่เคยโกรธฉัน หรือไม่พอใจฉันด้วยเรื่องอะไรก็ตาม จงอโหสิให้แก่ฉัน และขอให้เข้าใจว่าฉันไม่เคยตั้งใจหรือวางแผน ทำให้ผู้ใดโกรธ หรือเสียใจ หรือน้อยใจเลย หากสิ่งนั้นเกิดแก่ผู้ใดอันเนื่องมาจากฉัน ขอได้โปรดรับทราบว่า สิ่งเหล่านั้นเกิดจากความโง่เขลาของฉันโดยแท้จริง ที่ทำให้ฉันตาบอด และใจบอด จนไม่สามารถมองเห็นและหยั่งไม่ถึงความคิดและความรู้สึกของผู้อื่น ขออโหสิแก่ฉันด้วยเถิด...

คำสุดท้ายที่ฉันอยากจะบอกแก่ใครๆ ก็คือ ขอให้ทุกท่านจงมีชีวิตที่ตั้งอยู่ใน “ธรรมะ” ไม่ว่าจะเป็นธรรมะของศาสนาใด หรือธรรมะจากธรรมชาติของโลก การเข้าถึงธรรมะได้อย่างแท้จริง คือการปฏิบัติตามธรรมะ จนธรรมะนั้นเกิดผลตรงตามเจตนารมย์ของธรรมะนั้นๆ ธรรมะทำให้จิตเป็นกุศล เมื่อจิตเป็นกุศลแล้ว เราจะมีความสุข และจะรู้จักแผ่สุขให้แก่ผู้อื่นอีกด้วย

ฉันดีใจที่ได้เกิดมา และได้รู้จักท่านทุกคน

ขอขอบใจทุกท่านที่ยินดีเป็นเพื่อนของฉัน และช่วยเหลือเกื้อกูลฉัน

ขอขอบพระคุณท่านที่เคยมีบุญคุณแก่ฉัน

ขอขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับท่านที่คิดว่าเป็นเพื่อนกับฉันแล้วท่านสนุกและได้รับประโยชน์จากการพบปะ พูดคุย หรือปรึกษาหารือกับฉัน

ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านทุกคน

ขอกราบคารวะและส่งอาจารย์ด้วยเพลงที่แนบมาตอนต้นนี้เลย


โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 15 มกราคม 2554 เวลา:10:39:55 น.  

 
ขออนุญาตนำข้อความส่งต่อให้เพื่อนๆได้อ่านกันนะคะ

ขอบคุณค่ะ


โดย: ตาวาว IP: 113.53.189.150 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:21:16:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุ้งพลบ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ใช้ชีวิตแสวงหามาหลายปี ปัจจุบันก็ยังแสวงหาไม่รู้จักเสร็จ
บางอารมณ์เหนื่อยๆ ก็หยุดพัก แล้วตรองนิ่งเขียนบันทึกในสิ่งที่พบเห็น

บางอารมณ์ที่โมแรนติค ชอบดูสายรุ้งตอนโพล้เพล้
New Comments
[Add รุ้งพลบ's blog to your web]