<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
4 ตุลาคม 2551

เมื่อพ่อเอาเงินทั้งหมดจากกระปุกออมสินของฉันไป



What A Wonderful World - Louis Armstrong


นานๆจะมาตั้งกระทู้ซีเรียสๆในห้องนี้
ด้วยอยากจะถ่ายทอดบันทึกของคนอเมริกันรุ่นหนึ่ง
ในสมัยเกิด Great Depression ตั้งแต่ปี 1929

กำลังนึกอยู่ว่า จะถ่ายทอดอย่างไรดีที่ไม่ใช่เอามาแค่บันทึกทั้งหน้ามาแปลให้ฟัง
ก็เผอิญเพิ่งอ่านเจอข่าวใน CNN เช้านี้
"Fannie Mae forgives loan for woman who shot herself"
//www.cnn.com/2008/US/10/03/eviction.suicide.attempt/index.html
คุณยาย Addie Polk อายุ 90 ปี เมือง Akron รัฐ Ohio
พยายามใช่ปืนยิงตัวเองตาย
เพื่อหลุดพ้นภาวะหนี้สินจากสินเชื่อบ้านที่อยู่อาศัย
ซึ่งตนกู้จาก Fannie Mae หลังจากผิดนัดชำระหนี้หลายครั้ง
ตัวบ้านก็ถูกยึดพร้อมกับการขับไล่เจ้าของบ้าน

โชคดีที่เพื่อนบ้านข้างเคียงได้ยินเสียงดัง
จึงปีนขึ้นไปชั้น 2 ของบ้าน
ช่วยคุณยาย ส่งเข้าโรงพยาบาลทันท่วงที
อาการคุณยายถึงวันนี้ยังวิกฤตอยู่

ขณะนี้ เพื่อนบ้านในละแวกนั้นกำลังเรียกร้องให้ทางการ
เข้ามาช่วยเหลือคุณยายอย่างเร่งด่วน

ในปี 2004 คุณยายได้ขอสินเชื่อ Mortgage ระยะเวลา 30 ปี
จำนวน 45,620 เหรียญ ดอกเบี้ย 6.375% จาก Countrywide Home Loan
(ซึ่งต่อมา สินเชื่อนี้ถูกโอนจัดการไปอยู่กับ Fannie Mae หลังจาก Countrywide Home ล้มละลาย)
และวันเดียวกันก็ได้วงเงินเครดิตอีก 11,380 เหรียญ


หลังจากนั้นไม่กี่ปีต่อมา คุณยายก็ผิดนัดชำระหนี้ติดต่อกัน
จนบ้านถูกยึด และถูกเรียกหมายศาลถึง 30 ครั้ง
จนเกิดโศกนาฎกรรมล่าสุด

ปรากฏการณ์ Addie Polk ไม่ได้เป็นกรณีเดียวที่กำลังขึ้นในชุมชนอเมริกัน
ยังคงจะมี Addie Polk อีกหลายๆคนที่กู้เงินซื้อบ้านมาแล้วชำระต่อไม่ได้
ทรัพย์สินที่เป็นตัวบ้านก็ลดมูลค่าลงเพียงข้ามคืน

หลายหน่วยงานประชุมเรื่องนี้ฉุกเฉิน ว่าจะทำอย่างไรคืบหน้าต่อดี
หนึ่งในทางเลือกก็คือ คืนบ้านหลังสุดที่รักให้เธอเสีย
และก็ยกหนี้ทั้งหลายที่เหลือให้ด้วย

Quote:
"We're going to forgive whatever outstanding balance
she had on the loan and give her the house," Faith said.
"Given the circumstances, we think it's appropriate."


อา...แล้ว Fannie Mae จะปฏิบัติกับทุกกรณีอย่างนี้ได้หรือ


Create Date : 04 ตุลาคม 2551
Last Update : 23 ตุลาคม 2551 22:06:01 น. 13 comments
Counter : 863 Pageviews.  

 
เรื่องเศร้าของคุณยาย Polk
คือผลสืบเนื่องจากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินของเมืองมะกัน
ที่แม้แต่คนธรรมดาสามัญที่ไม่เคยเล่นหุ้น ก็ยังได้รับผลกระทบด้วย

ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 80 ปี
เหตุการณ์ทำนองเดียวกันก็ปรากฏมากมายในบันทึกประวัติศาสตร์
แม้ความซับซ้อนของเครื่องมืออนุพันธ์ทางการเงิน
และพฤติกรรมการปกปิด ซ่อนเงื่อนของผู้คุมกฏเกณฑ์จะแตกต่างกันมาก

ผลท้ายสุด คนธรรมดาสามัญก็ต้องรับกรรมไปด้วย
แม้แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ชื่อ Clara Hancox

ก่อนจะเล่าเรื่องของเเด็กหญิง Clara Hancox
ขอกล่าวถึงที่มาแห่งบันทึกประวัติศาสตร์เล็กน้อย
เพื่อให้เครดิตกับต้นเรื่อง

When Father took my piggy bank :The Depresssion's darkest days
หรือที่กูรูแปลเป็นไทยพาดหัวว่า
เมื่อพ่อเอาเงินทั้งหมดในกระปุกออมสินฉันไป
เป็นหน้าบันทึกที่อยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนา "The Century"
ซึ่งเป็นการรวบรวมหน้าประวัติศาสตร์ของคนมะกันในรอบ 100 ปี ตั้งแต่1901-1999
โดย Peter Jennings อดีตผู้ประกาศข่าวและบรรณาธิการคนดัง
ABC New's World News Tonight รายการข่าว Prime Time ของช่องโทรทัศน์ Rating ติดดาว
( เสียชีวิตแล้วเมื่อปี 2005 ด้วยโรคมะเร็ง อายุ 67 ปี)
และ Todd Brewster อดีตบรรณาธิการ LIfe Magazine

หน้าตาหนังสือเป็นอย่างนี้




Clara Hancox เกิดปี 1918 ในละแวก Bronx
จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Iowa ในปี 1939
เคยเป็นนักเขียนคอลัมนิสต์ใน Daily News Record
หลังเกษียณแล้ว หันมามุ่งมั่นงานเขียนนิยายอย่างเดียว


โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 4 ตุลาคม 2551 เวลา:23:22:14 น.  

 
บันทึกของหนูน้อย Clara Hancox จับใจความได้ดังนี้

"พ่อแม่ของฉันอพยพจาก Ukraine สู่มหานครนิวยอร์คในปี 1916
แรกเริ่มมาอาศัยในเขตสลัมทางฝั่งตะวันออก
แม้จะไม่ใช่ถิ่นพำพักที่ดูดีมีระดับ ออกจะซอมซ่อด้วยซ้ำ
แต่พวกเราก็ไม่เคยสิ้นหวังที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น..สักวันหนึ่ง

ด้วยความบากบั่น อดทน หนักเอา เบาสู้ตามแบบฉบับของคนงานอพยพทั่วไป
พ่อได้ก่อร่างสร้างตัวจนสามารถประกอบอาชีพเกี่ยวกับธุรกิจทำพื้นอาคาร (Flooring Business)
มีงานรับผิดชอบการปูพื้นอาคารตึกใหม่ๆซึ่งแข่งกันสร้างรองรับเมืองที่กำลังขยาย

ตอนนั้นไม่มีใครรู้เลยว่าจะเกิดอะไรในเวลาต่อมา

พ่อเริ่มมีเงินเก็บและลืมตาอ้าปากได้ จึงโยกย้ายไปพำนักถิ่นที่อยู่ที่ดีขึ้น
คือเขต Bronx ซึ่งอยู่นอกเมืองออกมา
อพาร์ทเม้นท์ 4 ห้องของเราเริ่มดูเป็นรูปเป็นร่าง
ด้วยเฟอร์นิเจอร์งานฝีมือและการตกแต่งอย่างมีรสนิยม
ทั้งนี้พ่อฝันเสมอว่าอยากจะมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างมีฐานะ
เพื่อชดเชยกับความยากลำบากครั้งเก่าก่อน

วันหนึ่งพ่อกลับมาพร้อมกับผืนพรมสีแดงเชอรี่ นุ่มสวยจนแทบจะชวนให้เกลือกกลิ้งทั่วผืน
แม่ถามว่าพ่อจ่ายไปเท่าไหร่ พ่อตอบว่า 250 เหรียญ แม่บอกให้เอาไปคืน
แต่พรมเชอรี่ก็ยังอยู่ที่พื้นอพาร์ตเม้นท์เรามาตลอด

ธุรกิจของพ่อยิ่งนานวัน ก็ยิ่งดีขึ้นตามลำดับ
พอๆกับการขยายตัวของตึกสูงระฟ้าที่แข่งพุ่งทะยานไม่หยุด
พ่อไปที่แบ็งก์เพื่อขอกู้เงินสำหรับซื้อวัสดุ สิ่งของที่เอามาใช้งานปูพื้น

แต่ไม่ทันจะได้เริ่มงาน ตลาดหุ้นก็ถูกถล่ม"


โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 4 ตุลาคม 2551 เวลา:23:23:34 น.  

 
พวกเราผู้ห่างไกลจากวงจรของ Wall Street
ไม่เคยสนใจตลาดหุ้น ไม่เคยแม้แต่คิดจะซื้อจะขายด้วยซ้ำ
เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นขณะนั้น

มันเหมือนเมืองทั้งเมืองถูกถล่มด้วยระเบิดลูกแล้วลูกเล่า
เพียงชั่วข้ามคืน โศกนาฎกรรมปรากฏทั่วทุกครัวเรือน
จากหายนะหนึ่งไปสู่อีกหายนะหนึ่ง
เหมือนเกมส์โดมิโนที่ล้มกลิ้งไปสู่ถนนอเวจี
คนที่จ้างให้พ่อทำงานปูพื้น สูญเสียเงินทั้งหมด ไม่สามารถจ่ายเงินพ่อได้
พ่อเองก็ติดหนี้ร้านค้าวัสดุก่อสร้างท่วมท้น
อีกทั้งติดหนี้เงินกู้จากแบ็งก์ก้อนใหญ่ซึ่งตามทวงไม่ลดละ
พูดอีกนัยหนึ่ง พ่อล้มละลาย และน่าเสียดาย ไม่ได้ฟื้นกลับมาอีกเลย

สะพานจอร์ช วอชิงตัน ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ
ปกติจะเป็นสถานที่เดินเล่นชมวิวของชาวมหานครที่อยากจะหลีกลี้ใต้เงาตึกสูงใหญ่
แต่ ณ วินาทีคือสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์สำหรับจบชีวิตของบรรดาผู้คนที่เกี่ยวข้องกับ Wall Street
พวกคนที่เล่นหุ้นด้วย Margin และไม่สามารถจ่ายหนี้คืนได้

Margin คืออะไรนะ เป็นศัพท์ใหม่ที่เราเพิ่งเคยได้ยินในตอนนั้น
ใครๆก็พูดกันหนาหูมาก เขาคนนั้น คุณคนนี้ตายเพราะมาร์จิ้น
มันร้ายแรงเหมือนโรคระบาดชนิดหนึ่งหรือเปล่านะ

หลายคนที่ไม่อาจอยู่สู้หน้าใครได้อีก
ก็เลือกหนทางสุดท้ายคือ ฆ่าตัวตาย
ด้วยหวังว่าอย่างน้อยก็พอมีเงินประกันสักก้อนหนึ่ง
จ่ายให้ภรรยาและลูกๆที่อยู่ข้างหลังได้
ไม่น่าเชื่อ การจบชีวิตเยี่ยงนี้
กลายเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง สมเกียรติ
ในสังคมและอารมณ์ของผู้คน ณ ห้วงเวลานั้น

นักธุรกิจผู้เคยมีหน้ามีตาในสังคม
เดินแบกตะกร้าขายผลแอปเปิ้ลสีแดงก่ำตามท้องถนนลูกล่ะ 5 เซนต์
ช่างเป็นเรื่องหดหู่เสียจริงๆ

และที่หดหู่ยิ่งกว่าก็คือ
แม้แต่เงิน 5 เซ็นต์ เราก็ยังไม่มีเลย


โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 4 ตุลาคม 2551 เวลา:23:24:46 น.  

 
ฉันมีกระปุกออมสินอยู่ใบหนึ่ง สะสมเศษเหรียญมากกว่า 5 ปี
ใส่ทั้งเหรียญนิคเกิ้ล เพ็นนีและไดม์ปะปน
ทุกครั้งที่หยอดกระปุกเสร็จ ฉันมักจะเขย่าๆ
เพื่อฟังเสียงเหรียญกระทบกันหนักแน่น
ฟังซิ เสียงแห่งความมั่งคั่งในอนาคต
ฉันไม่รู้หรอกว่า จำนวนเหรียญเล็กเหรียญน้อยที่อยู่ในกระปุกนั้นมีเท่าไหร่
หากอยากรู้ก็ต้องแคะให้เหรียญตกลงมาทีละเหรียญๆ
หรือไม่ก็ทุบกระปุกออก

วันหนึ่งฉันกลับมาถึงบ้าน
ตรงไปหยิบกระปุกขึ้นมาเขย่า ปรากฏว่าเบาโหวง
เกิดอะไรขึ้นกับกระปุกออมเงินของฉัน
เหรียญทั้งหมดถูกแคะไปเกลี้ยง

ขณะที่ฉันนั่งตะลึงแล้วร้องไห้
แม่เดินมาที่ประตู บอกว่า พ่อขอยืมเงินในกระปุกไปทั้งหมด
เพื่อใช้เป็นค่าเดินทางออกไปหางานทำในเมือง
ฉันถามว่า เงินทั้งหมดมีเท่าไหร่ แม่ตอบว่า สิบดอลล่าร์
โอ้โฮ พ่อเอาเงินจากกระปุกออมสินของฉันไปหมดตั้ง 10 ดอลล่าร์เลยเชียวหรือ
“ เมื่อพ่อกลับมา อย่าพูดอะไรทั้งสิ้น แค่นี้พ่อก็เสียใจมากพอแล้ว” แม่กำชับ
พ่อกลับถึงบ้าน รอยหมองคล้ำเต็มดวงหน้า ตาแห้งอิดโรย ปากสั่นซีดเซียว
พ่อสัญญาจะคืนเงินที่เอาจากกระปุกให้ฉันทั้งหมด
แต่จนแล้ว จนเล่า พ่อก็ไม่ได้คืน

เป็นช่วงวันคืนที่เลวร้ายที่สุดของครอบครัวเรา
เป็นช่วงวิกฤตแห่งชีวิตของคนผู้เป็นพ่อ
ที่ไม่สามารถนำแสงสว่าง ความอบอุ่น
ไม่สามารถนำครอบครัวฝ่าความหิวโหยออกไปได้

พ่อทำผิดอะไรหรือถึงต้องมาประสบชะตากรรมแบบนี้

ไม่มีใครอยู่นิ่งเฉย พ่อออกเดินไปหางานทำทุกวัน
แม่ก็เช่นกัน ฉันเองก็หางานพิเศษทำ
รับเล่นเปียโนที่โรงเรียนสอนเต้นรำด้วยค่าจ้าง ชั่วโมงล่ะ 50 เซนต์
เศษตังค์ที่เหลือติดก้นกระเป๋าเพียงพอที่เราจะไปตลาดตอนวาย
ซื้อมันฝรั่งแคะแกร็นหรือแคร็อทที่เริ่มนิ่มเอามาต้มกินเป็นมื้ออาหาร
ซื้อข้าวบาร์เลย์มาต้มเป็นน้ำซุปอิ่มได้ 3-4 มื้อ
พอประทังความอดอยากให้ผ่านพ้นไปทีละวัน

วันหนึ่งฉันกลับจากโรงเรียน
เห็นเฟอร์นิเจอร์รูปลักษณ์คุ้นตาวางเรียงรายข้างทางเดิน
จึงรู้ว่า เราถูกไล่ออกจากอพาร์ทเม้นท์
ไม่มีแล้วบ้านที่คุ้มหัวอีกต่อไป
สายตาที่ปวดร้าวของพ่อ แม่ ขณะดูพวกเขายกเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นออกมา
ทำให้ฉันไม่กล้าแม้แต่จะสบตาท่าน

เราย้ายมาอยู่ร่วมกับอีกครอบครัวหนึ่งซึ่งมีอพาร์ทเม้นท์อยู่ 2 ห้อง
พวกเขาอยู่ห้องเดิม พวกเราอยู่รวมกันในห้องนั่งเล่น พร้อมเฟอร์นิเจอร์เครื่องเรือนเก่า
ซึ่งหลายชิ้นถูกขโมย สูญหายระหว่างการเคลื่อนย้าย
หากชิ้นหนึ่งที่ยังความสว่างสดใสแก่ห้องเล็กๆก็คือ พรมเชอรี่สีแดงผืนนั้น

ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พ่อ ถึงเงินในกระปุกไม่อยู่แล้ว
แต่เรายังอยู่
อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันครบทั้ง 3 คน


โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 4 ตุลาคม 2551 เวลา:23:26:11 น.  

 
อ่านแล้วหดหู่ใจจังเลยนะค่ะ
ประเทศที่ยิ่งใหญ่ยังประสบปัญหาสภาวะเศรฐกิจจนย่ำแย่
หลายชีวิตที่แปรเปลี่ยนตามสถาณการณ์..ขอเศรษฐกิจ

เมื่อ2-3 วันก่อนเราก็ได้รับข่าวการถูกทวงหนี้ของหญิงพร้อมลูกสาว 5ขวบ
ทนภาวะกดดันไม่ไหวก็ยิ่งตัวตาย
โลกนับวันน่าสงสารจังเลยนะค่ะท่าน

เป็นเพราะเราไม่พอใจในสิ่งที่มีใช่ไหมนิ
มีความอยากมีอยากได้ไม่สิ้นสุด
พอถึงจุดที่..ยังไม่พร้อมที่จะยอมรับ
ก็ทนที่จพต่อสู้เพราะไร้หน้าตาได้
ก็มีจุดจบที่ง่ายๆๆโดยไม่เหลียวแลมองคนข้างหลังเลย


ช่วงนี้เป็นโอกาศของคนมีเงินในมือโดยไม่พึงแบ๊งก์นะค่ะนิ
การใช้ชีวิตแบบพ่อแม่เราสมัยก่อนดูดีออกนะค่ะ
ใช่เท่าที่เงินในมือมี..กินเท่าที่จะทำให้ร่ากายแข็งแรงสุขภาพดี
แต่เรากับมองข้ามการกระทำของท่าน

แต่ในภาวะสังคมตอนนี้...ท่านทำถูกนะค่ะสำหรับการทำกินแต่พอเพียง
ตามพระราชดำรัสในหลวงท่าน


ตอนนี้คุณแคทก้ไม่กล้าแอกทีฟ..ตัวเองเลยค่ะ

ต้องค่อยๆๆก้าวที่ละขั้นค่ะ
กลัวเด็กรุ่นหลังจะลำบากเพราะหนี้พ่อแม่ค่ะ
น่าสงสารนะค่ะ



เนื้อหาสาระวันนี้ดูทันโลกจังนะค่ะ
สหรัฐได้มา 7แสนกว่าล้าน.ยังช่วยอะไรได้ไม่มากเลยนะค่ะ



ดึกดื่นปานนี้แล้วก้มาสร้างความหดหู่ให้กับท่านซะนิ
ป่านนี้นอนหลับฝันดีแล้วสิค่ะนิ
ตื่นมาพร้อมเช้าที่สดใสนะค่ะ
มิตรคนดี



โดย: catt.&.cattleya.. (catt.&.cattleya.. ) วันที่: 5 ตุลาคม 2551 เวลา:0:18:07 น.  

 
บางคนบอกว่า สมน้ำหน้าที่คนอเมริกันเคยใจใหญ่
เลยเป็นต้นเหตุของการใช้จ่ายและโลภเกินตัว

แต่มีคนอีกเยอะมากที่ไม่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้น
ต้องมาพลอยฟ้าพลอยฝนด้วย (เหมือนรูปที่คุณ Catt แปะมา สวยดี)

เหมือนกับบ้านเราสมัยปิด 47 ไฟแนนนซ์
คนทำงานเช้ายันค่ำ งกๆ
ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับการกู้หนี้ยืมสินใดๆของบริษัทใหญ่ๆทั้งหลาย
ก็ต้องโดนไปด้วย


โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 5 ตุลาคม 2551 เวลา:16:16:25 น.  

 


น่าเสียใจค่ะกับวิกฤติทางการเงิน

หุ้นร่วง Setindex 1100 ดิฉันก็เดินออกมาแล้ว ...จากการเงินไทย

แต่อมหิตร่วมอุดมการในประเทศไทยซีคะ ยิ่งใหญ่เหลือ

คิดถึงนะคะ....หาคำตอบได้หรือยัง
from sand to heaven กำลังปิกฉากลง


ยังไม่รู้ว่าจะเอาไปเก็บ ไว้ตรงไหน...หัวใจน่ะค่ะ ...


คงให้การกุศลอีก ช่วยคนมือเท้าขาดจากรัฐบาลสุดโหด


กูรูว่ายังไงคะ นี่หรือกับการให้ประชาธิปไตยกับคนไทย

ต้องหาแผ่นดินใหม่ให้อยู่ซะแล้ว

ขอโทษค่ะดิฉันแสนจะ อดทน....


โดย: Cheria (SwantiJareeCheri ) วันที่: 7 ตุลาคม 2551 เวลา:13:26:07 น.  

 
ทำไมมันช่างบังเอิญประจวบเหมาะ
ใกล้เคียงกับ 6 ตุลาคน 2519 เลยนะ
อยากจะเขียนบทหนัง บทละคร
ตามหาคนที่สูญหายไปจากเหตุการณ์ไป
ตามหาร่างก็ไม่พบ จนป่านนี้...


โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 7 ตุลาคม 2551 เวลา:19:21:41 น.  

 


ใจตรงกัน

ดิฉันคิดถึงกูรูก่อนแน่ๆเลย ...


โดย: Cheria (SwantiJareeCheri ) วันที่: 15 ตุลาคม 2551 เวลา:9:58:41 น.  

 
วันนี้กทม..ช่างมืดมัวยิ่งนักค่ะท่าน
จะแปรเปลี่ยนเศรษฐกิจไปทางไหนละนิ

กลับบ้านปลอดภัย
แล้วอย่าลืมใส่ใจคนที่รักนะค่ะ..ท่านอาจารย์



มีความสุขวันสุขเสมอนะค่ะ





โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 17 ตุลาคม 2551 เวลา:17:05:37 น.  

 
ขอบคุณครับที่นำเรื่องที่อ่านแล้วช่วยเตือนสติ ให้คนในอีกซีกโลกหนึ่งได้ตระหนักถึงความเป็นจริงที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน


โดย: Insignia_Museum วันที่: 25 ตุลาคม 2551 เวลา:17:14:52 น.  

 
จงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่นั้นคงใฃ้ไม่ได้
เพราะบ้านที่มีอยู่นี้ตามมาด้วยหนี้ก้อนหนึ่ง (ถ้าไม่จำนองธนาคารก็คงไม่ได้บ้าน)

และ การชำระหนี้ (ผ่อนจ้ายค่าเช่าซื้อ) ก็ต้องมาจาก รายได้ประจำเดือน
และ รายได้ประจำเดือนก็ต้องได้มาจากการทำงาน

แต่ ว่าตำแหน่งงานที่เคยได้ทำนั้น มันหายไปแล้ว....


โดย: moonfleet วันที่: 14 พฤศจิกายน 2551 เวลา:22:18:24 น.  

 
อ่านเจอข่าวนี้โดนจริงๆ
ต้นกำเนิดจากซับไพร์มแต่กำลังสับความหายนะเข้าสู่ครัวเรือนอเมริกันชนแล้ว

LOS ANGELES, California (CNN) — A man apparently despondent about losing his job killed his wife and five children before turning the gun on himself, officials said Tuesday.

The bodies of five children and two adults — the children’s mother and father — were found Tuesday in a home in the Los Angeles neighborhood of Wilmington. Among the dead, authorities said, were an 8-year-old girl and two sets of twins — 5-year-old girls and 2-year-old boys.

//edition.cnn.com/2009/CRIME/01/28/family.dead.california/index.html


โดย: กูรูขอบสนาม วันที่: 28 มกราคม 2552 เวลา:21:59:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุ้งพลบ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ใช้ชีวิตแสวงหามาหลายปี ปัจจุบันก็ยังแสวงหาไม่รู้จักเสร็จ
บางอารมณ์เหนื่อยๆ ก็หยุดพัก แล้วตรองนิ่งเขียนบันทึกในสิ่งที่พบเห็น

บางอารมณ์ที่โมแรนติค ชอบดูสายรุ้งตอนโพล้เพล้
New Comments
[Add รุ้งพลบ's blog to your web]