Group Blog
All Blog
|
รู้จักเลือกส่วนผสมสำคัญ(Active Ingredients)ในเครื่องสำอางกันดีกว่า เวลาที่เราดูละครโทรทัศน์ไม่ว่าจะช่องไหนก็ตาม หากเรามองหน้าตัวละครไม่ว่าจะเป็นพระเอก นางเอก นักแสดงสมทบต่างๆ หากไม่นับความสวย-หล่อ เราจะเห็นความเต่งตึงหรือริ้วรอย บนใบหน้านักแสดงเหล่านั้นเสมอ ดาราระดับพระเอก นางเอกไม่เว้นแม้แต่นักแสดงสมทบ ที่อายุเกิน 25 ปีขึ้น มักจะมีใต้ตาบวม ร่องแก้ม ริ้วรอยหางตา ริ้วรอยย่นระหว่างคิ้วและ หน้าผากแทบทุกคน ทางลัดไปสู่ความงามที่เป็นอมตะคือ การเข้าคลีนิกผิวพรรณสม่ำเสมอ จะทำให้หน้าเรียบเนียนใส ไร้ริ้วรอยรอยไปจนอายุ 50-65 ปี ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ขอแค่มีเงินเท่านั้นเอง คนทั่วไปจำนวนมาก ไม่ได้มีงบประมาณเสริมความงามราคาแพงได้เรื่อยๆ อย่างทำเลเซอร์ ซึ่งมีผลทำให้ใบหน้าจะเรียบเนียนใสราว 4-6 เดือน หลังจากนั้นผิวจะดร็อปลงเรื่อยๆจนเป็นเหมือน ก่อนทำเลเซอร์ วิธีที่ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนใส แม้ผลลัพธ์ไม่อาจเทียบเคียงเลเซอร์ แต่ไม่ต้องเทียวเข้าเทียวออก คลีนิคผิวพรรณ โดยเราต้องรู้จักเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้า ก่อนที่จะเลือกใช้ครีมบำรุงผิวใดๆก็ตาม ควรรู้จักอ่านส่วนประกอบที่สำคัญเพื่อช่วยในการตัดสินใจ เป็นอันดับแรก กรดที่ใช้ในวงการเครื่องสำอางมักถูกมองว่าอันตราย อันที่จริงกรดส่วนใหญ่ เมื่อโดนผิวแล้วจะ ให้ผลลัพธ์ที่นุ่มนวล เรียบเนียนเพราะผิวตามธรรมชาติมีความเป็นกรดอยู่แล้ว กรดเหล่านี้มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น เพิ่มความผุดผ่อง เปล่งปลั่ง ผลัดเซลล์ผิว ช่วยปกป้องและ ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว 1.AHA(Alpha Hydroxy Acid) หรือเรารู้จักกันดีในชื่อ ‘’กรดผลไม้’’ช่วยกระตุ้นให้เซลล์เก่าหมองๆ หลุดลอก ทำให้เผยผิวเซลล์ผิวใหม่ที่อ่อนเยาว์ ด้วยเหตุนี้ผิวจึงแลดูเปล่งปลั่งเพราะเม็ดสีจำนวนหนึ่ง หลุดติดไปกับเซลล์ผิวเก่าด้วย 2.กรดไกลโคลิก(Glycolic)และกรดแลกติก(Lactic)จะซึมผ่านผิวหนังได้เร็วที่สุด เป็นกรดที่มี ประสิทธิภาพมากที่สุดแต่สร้างความระคายเคืองได้ง่าย ไม่เหมาะกับผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย 3.เบต้า ไฮดรอกซี แอซิด(Beta Hydroxy Acid)หรือ BHA เรียกอีกอย่างว่า กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) กรด AHA ละลายในน้ำและทำปฏิกิริยากับผิวชั้นบนสุด ในขณะที่ BHA ละลายในน้ำมัน นั่นหมายความว่าBHA จะลงลึกถึงต่อมไขมันเพื่อกำจัดคราบสกปรกและเซลล์ที่ตายแล้ว รวมถึงฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุ ของสิวอีกด้วย ด้วยเหตุผลนี้ BHA จึงเหมาะกับคนที่ผิวมันและมีแนวโน้มเป็นสิวง่าย เคลนเซอร์ที่ผสม BHA หรือ กรดซาลิไซลิก เหมาะที่จะใช้ทุกวันโดยเฉพาะสูตรที่มีความเข้มข้น 2% หรือ มาสก์หน้าที่มีกรดซาลิไซลิก 2%สัปดาห์ละ 1 ครั้ง(หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ รักษาสิวในวันนั้นเพราะอาจทำให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวได้ง่าย) แป้งจำได้ว่า ช่วงอายุ 30 ต้น เคยใช้เคลนเซอร์ที่มีส่วนผสมของ BHA ยี่ห้อ Murad ซึ่งได้ผลดีมากเพราะไม่เห็นมีสิวขึ้นสักเม็ด พอจะใช้ขวดที่สองต่อ กลับไปซื้ออีกที อ้าว!ยกเคาน์เตอร์กลับอเมริกาไปซะล่ะ 4.ไฮยาลูโรนิกแอซิด(Hyaluronic Acid)และกรดไขมัน(Fatty Acid) ไฮยาลูโรนิกแอซิด(Hyaluronic Acid)มีความชุ่มชื้นเสมือนเป็นแม่เหล็กดูดน้ำ ในเซลล์ช่วยหล่อเลี้ยงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ ไฮยาลูโรนิกแอซิดนอกจากป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง แต่ยังทำให้ผิวเปล่งปลั่งขึ้นทันตาอีกด้วย หากอยากมีผิวนุ่มนวลสุดๆ ลองใช้ไฮยาลูโรนิกแอซิด 1%และกรดไขมันควบคู่กัน ส่วนผิวที่บอบบางแพ้ง่าย ควรเลือกใช้กรดไขมัน(Fatty Acid)เป็นส่วนผสมหลัก กรดไขมัน(Fatty Acid)มีชื่อเรียกว่า ลิโนเลอิก(Linoleic),อัลฟา-ลิโนเลอิก(Alpha-Linoleic) หรือแกมมา-ลิโนเลอิก(Gamma-Linoleic)มีคุณสมบัติเป็นเกราะกำบังของผิว คอยปกป้องผิว จากการระคายเคือง ในขณะเดียวกันยังช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ เมื่อไหร่ที่ผิวแห้งเกินไป เอนไซม์ที่ทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิวโดยธรรมชาติจะหยุดทำงาน ผิวจึงแลดูหมองคล้ำและ ไม่เรียบเนียน ครีมบำรุงที่ผสมกรดไขมัน(Fatty Acid)จะช่วยบรรเทาสารพัดเรื่องผิว ตั้งแต่ผิวอักเสบ จากมลภาวะฝุ่นละออง สายลมแรง แสงแดดระอุ ไปจนถึงผิวอักเสบจากการใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนผสมของกรดต่างๆมากเกินไป 5.โคจิก แอซิด(Kojic Acid)และอะเซเลอิก แอซิด(Azelaic Acid) ขณะที่กรดต่างๆมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวกระจ่างสว่างใสด้วยการค่อยๆกำจัด เซลล์ผิวหมองคล้ำออกไป โคจิก แอซิดจะเข้าไปแทรกแซงกระบวนการสร้างเมลานินในเซลล์ผิวชั้นที่ลึกลงไป เม็ดสีจึงขึ้นมาสู่ผิวชั้นบนน้อยลง อะเซเลอิก แอซิดจะทำหน้าที่ควบคุมการผลิตเม็ดสีมากกว่าเข้าไปขัดขวางเหมือนโคจิก แอซิด ดังนั้นคนผิวสีมักได้ประโยชน์นี้มากกว่าเพราะอะเซเลอิก แอซิด จะทำให้ผิวปกติที่อยู่ใกล้ บริเวณจุดด่างดำสว่างขึ้นโดยไม่เป็นอันตราย ประโยชน์อีกอย่างของอะเซเลอิก แอซิดคือ คุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรีย จึงช่วยบรรเทาการเกิดสิวโรซาเซีย(Rosacea)และผิวเปลี่ยนสีเนื่องจากการอักเสบรวมถึง รอยดำและรอยแดงจากสิวได้ดีอีกด้วย อะเซเลอิก แอซิด(Azelaic Acid)มีจำหน่ายรูปแบบครีมในชื่อการค้าคือ Skinoren ปริมาณ 30 กรัม ราคา ~410 บาท มีจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป หมายเหตุ ผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย อาจทำให้แสบระคายเคือง เพราะอะเซเลอิก แอซิดมีฤทธิ์เป็นกรด ถึงอย่างไรโคจิก แอซิด(Kojic Acid)และอะเซเลอิก แอซิด(Azelaic Acid มีพลังไม่เท่ากับ ไฮโดรควิโนน(Hydroquinone)ซึ่งจัดการกับเม็ดสีทุกประเภทตั้งแต่จุดด่างดำขึ้นบางบริเวณ ไปจนถึงรอยกระหรือฝ้าที่เป็นปื้น(สั่งจ่ายโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น) 6.เรตินอยด์ แอซิด(Retinoid Acid)กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อลดเลือนริ้วรอย และเร่งระดับการผลัดเซลล์ ไม่ให้เซลล์เก่าทับถมซึ่งเป็นต้นเหตุของผิวหมองคล้ำหรือ รูขุมขนอุดตัน แต่ประโยชน์เหล่านี้อาจแลกมาด้วยผิวแห้ง ลอกเป็นขุย รอยแดง เรตินอยด์ แอซิด(Retinoid Acid)มีจำหน่ายในรูปครีมตามแพทย์สั่ง ส่วนเรตินอยด์ที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าและมีขายทั่วไปอย่างเรตินอล(Retinol) หรือเรตินัลดีไฮด์(Retinaldehyde)จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นกรดเรตินอยด์ในร่างกาย เช่น Retin-A ไม่ว่าเราจะเลือกส่วนผสมแบบไหนก็ตาม อย่าลืม!ทาครีมกันแดดในทุกๆวัน หากมีส่วนผสมซิงก์ออกไซด์(Zinc Oxide)ที่มีมิเนอรัล ฟิลเตอร์เป็นส่วนผสม ซึ่งช่วยปกป้องผิวได้ดีอย่างกับกำแพงอิฐเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องผิวจากรังสีของแสงทุกคลื่นความยาว แม้กระทั่งแสง ที่ปล่อยจากจอคอมพิวเตอร์หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า สามารถทำให้เกิดจุดด่างดำได้เช่นกัน ในบรรดาส่วนผสมที่ทำให้ผิวหน้าใส เรียบเนียน เราต้องรู้จักส่วนผสมอันตรายต่อ ผิวหน้าด้วย ยิ่งใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานนานผิวจะอ่อนแอและบางลง มีผลให้เกิดสิวปะทุ ผดผื่น กระฝ้าตามมา ปัจจุบันจะพบครีมหน้าขาวใสเด้งที่ขายตามอินเตอร์เน็ต เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็วภายใน 3-7 วันอยู่มากมาย เวลาที่เราเห็นเพื่อนๆหรือคนอื่นใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว อย่าเพิ่งรีบร้อนใช้ตาม ฉุกคิดเสียก่อนว่า ขนาดครีมบำรุงผิวตามเคาน์เตอร์แบรนด์ ราคาแพง ใช้จนหมดไปหลายกระปุก ผิวหน้ายังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่ครีมบำรุงผิวที่ทำให้หน้าใสรวดเร็วไวขนาดนั้น ย่อมต้องมีส่วนผสมที่เป็นกรด ซึ่งหากมีความเข้มข้นสูง จัดได้ว่ามีอันตรายต่อผิวพรรณอย่างมาก ตามปกติกรดจะทำหน้าที่เพิ่มความผุดผ่อง เปล่งปลั่ง ผลัดเซลล์ผิว ซึ่งคนที่มีผิวแห้งและผิวบอบบางแพ้ง่าย จะไม่สามารถใช้ได้ ยิ่งใช้ยิ่งหน้าบางและ อ่อนแอจากคุณสมบัติของกรด ในประเทศไทยมักแอบใช้ส่วนผสมอันตรายดังนี้ 1.ปรอท(Mercury)มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) มีผลทำให้การสร้างเม็ดสีเมลานิน(Melanin) ลดลง ผิวจึงแลดูขาวใสขึ้น และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิด staphylococcus จึงป้องกันสิว ไม่มีสิวมากวนใจ ยิ่งใช้ครีมที่มีส่วนผสมของปรอท หน้าจะขาวใสไร้สิว แต่อย่าหยุดใช้เชียวนะคะ ใบหน้าจะเกิดผื่นแดง หน้าหมองคล้ำ ผิวไวต่อแสงจนเกิดฝ้าถาวร 2.สเตียรอยด์(Steroid)ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะสารประกอบที่ใช้รักษาเฉพาะที่(ทาผิวหนัง) เพื่อบรรเทาโรคผิวหนังชนิดต่างๆเช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังภูมิแพ้ ผิวหนังอักเสบฯลฯ ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยจากการใช้สเตียรอยด์เฉพาะที่(ทาผิวหนัง)คือ ผิวหนังฝ่อ ช้ำง่าย หลอดเลือดขยาย(Telangiectasis)มีรอยแตกตามผิวหนัง 3.ไฮโดรควิโนน(Hydroquinone) พบครั้งแรกในปีค.ศ 1820 โดยนักเคมีชาวฝรั่งเศส PelletierและCaventou ผ่านกระบวนการกลั่นแห้งของกรดQuinic ออกฤทธิ์การยับยั้งกระบวนการสร้างเซลล์เม็ดสี(Melanocyte) โดยไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส(Tyrosinase)ซึ่งทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดสี(Melanin) เมื่อปริมาณเม็ดสีลดลง ผิวจึงขาวขึ้นได้ ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว ไฮโดรควิโนนนิยมนำมาใช้เป็นยาทารักษาผิวที่เป็นฝ้า ปี 2006 องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา(FDA)ได้เพิกถอน สารไฮโดรควิโนนเนื่องจากพบอุบัติการณ์เนื้องอกในหนูทดลอง แต่ในยุโรปบางประเทศยกเลิกการใช้ไฮโดรควิโนนตั้งแต่ปีค.ศ 1976 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อ.ย)กำหนดให้มีส่วนผสม สารไฮโดรควิโนนในการรักษาฝ้า ปริมาณไม่เกิน2%แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ที่มา women’s health,June 2013 |
แป้งปังปอนด์
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 878 คน [?] เริ่มเขียนblog 20ก.ค55 ปัจจุบัน ( 3 มี.ค 57 ) แป้งได้มีเพจแป้งปังปอนด์ สร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์แชร์ข้อมูลจาก blog ให้ท่านที่สนใจได้ติดตามอ่านอย่างสะดวกและรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาโหลดเนื้อหาจาก blog ดังนั้นขออนุญาตงดตอบคำถามใดๆทางเพจและ facebook ค่ะ หากท่านใดมีคำถามเกี่ยวกับการกินวิตามินเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพและบำรุงผิวพรรณ รบกวนส่งคำถามไปยัง blog แป้งปังปอนด์ นานาสารพันปัญหา volume 5 อย่างเดียวเท่านั้นค่ะ ขออนุญาตฝากกด like เพจแป้งปังปอนด์ เพื่อเป็นกำลังใจในการสรรค์สร้างผลงานด้วยมันสมองและสองมือพยาบาลสาวภูไท คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จบการศึกษา ปี พ.ศ 2539 จากที่ราบสูงคนนี้ด้วยนะคะ สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการนำชื่อ " แป้งปังปอนด์ " ไปใช้เพื่ออ้างอิงหรือติดป้ายสินค้าในเวปไซด์หรือที่ใดๆหรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน " Blog แป้งปังปอนด์ " แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยการเผยแพร่เพื่อการอ้างอิงหรือนำรูปภาพไปโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด
|