วิกฤตที่มาพร้อมกับโอกาส
ช่วงนี้อะไรก็ดูแย่ๆ ไปเสียหมด เพราะคำว่า "ตอนนี้เศรษฐกิจแย่" ทุกอย่างก็เลยดูจะแย่ตามไปด้วยไม่เว้นแม้กระทั่งบริษัทที่เคยเป็นเฟื่องฟูของเรา ตอนนี้จะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในตำนานไปเสียแล้ว
สัญญาณเริ่มส่งเมื่อเริ่มจากนำระบบวัดผลงานมาใช้ จริงๆ ก็ต้องบอกว่าระบบวัดผลมันดีนะ ไม่ใช่ไม่ดี เพราะการที่จะวัดได้หรือไม่ได้นั้นมันขึ้นอยู่กับ KPI ที่กำหนด หากกำหนดขึ้นด้วยความถูกต้องมีเหตุและผลตอบโจทย์ได้ มันก็จะทำให้เราได้รู้จุดอ่อนจุดแข็งของบริษัท อะไรคือสิ่งที่ต้องแก้ไข อะไรคือสิ่งที่ต้องรักษาไว้
สิ่งนี้เองเป็นสิ่งเริ่มต้น ด้วยความที่ระบบวัดผลไม่มีความชัดเจนทำให้การวัดผลต่างๆ ไม่สัมฤทธิ์ผลตามที่ผู้บริหารคาดหวังไว้ และปัญหาแรกที่ตามมาคือ ตัดค่า Report หายไปแล้วเงินชั้น แต่ก่อนเคยได้อยู่สามพัน หายไปแล้วหนึ่ง ทุกคนเริ่มเดือนร้อนเพราะสิ่งที่ตัดไปคือเงินที่จะได้ แต่ report ก็ยังต้องปิดเหมือนเดิม วันๆ ปิดนิดหน่อยๆ เสียทีไหน ปิดกันทีใช้เวลาเป็นชั่วโมง
ต่อมาบริษัทก็ประหยัดค่าใช้จ่ายโดยการ เปลี่ยนไฟสวิตซ์เป็นไฟชัก งงเลยอะไรวะเนี่ยห้อยเต็มเพดานเลย ไฟชักไม่รู้เพื่อนๆ เคยใช้กันหรือเปล่า เวลาอยากเปิดดวงไหนก็ดึงสายหนึ่งทีไฟก็จะเปิดปิดอ่ะ
ตามมาด้วยการตัดสวัสดิการ ค่าทำฟัน ค่าเยี่ยมไข้ ค่ากระเช้า ค่าทำศพ ค่ารักษาพยาบาล หายเรียบเพราะองค์กรต้องการให้ประหยัดค่าใช้จ่ายลง ไม่เป็นไรอันนี้เข้าใจ แต่ไม่เข้าใจคือประกาศวันนี้พรุ่งนี้ตัดเลย ไม่ทันตั้งตัวกันเลยทีเดียว
ตามติดมาด้วยการตัดค่า Motivate ที่เคยให้เป็นค่ามาทำงานเช้า หนึ่งพันบาท เงินส่วนนี้เค้ามีไว้สำหรับหักเวลาลาป่วยและลากิจตัดเงินกองนี้วันละ 150 บาท เหมือนมีงบให้ 1000 จะเอาไปใช้ยังไงก็ได้นั่นล่ะ
ตามติดมาด้วยขอลดกองทุนสมทบเป็น สองสอง คือเราจ่ายสอง บริษัทจ่ายสอง และตามติดมาด้วยการลดเงินเดือนของระดับผู้บริหารลงอีก 8% และในเดือนหน้า จะลดเงินเดือนพนักงานลงอีกยังไม่กำหนดเปอร์เซ็นต์ หากไม่สามารถทำยอดขายได้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ อะไรกันนี่ เศรษฐกิจแย่ขนาดนี้เป้าไม่เคยลดลงตามเศรษฐกิจ ยังคงสูงขึ้นชนิดที่เอื้อมไม่ถึงแน่ๆ
เอาแล้วครับเริ่มไม่เหลืออะไรแล้ว แล้วจะทำอย่างไรในวิกฤตขนาดนี้ หนทางเดียวก็คือประหยัด ประหยัดแล้วก็ประหยัด จากคนที่เคยอยากได้อะไรก็ซื้อเลยไม่ต้องคิดอะไรมาก ก็เปลี่ยนมาเป็นถามตัวเองว่า "จำเป็นไหม" ถ้าไม่จำเป็นแล้วจะซื้อทำไม เริ่มมีคำถามทุกครั้งเวลาอยากซื้ออะไร
S-A-L-E ข่มใจเดินผ่านมันไปซะ มันคือกิเลสสี่ตัวที่ต้องหลีกเลี่ยง อย่านะอย่าไปเดินเฉียดมัน ถอยให้ไกล มันคือสัญญาณอันตราย ถ้าหลุดเข้าไปหมายถึงมันได้กระชากเงินที่มีน้อยนิดของเราออกไปแล้ว โอ้ว ไม่ ฉันต้องไม่เห็นคำนี้
จากคนที่เคยกินแหลกแบบว่า อยากกินก็กิน เปลี่ยนโดยด่วน จากสามมื้อเหลือหนึ่งมื้อ กินไปทำไมกินไปก็อ้วน เลิกเดี๋ยวนี้ กินเท่าที่จำเป็นต้องกิน ผอมแน่ๆ ฉัน งานนี้ไม่ต้องเสียตังค์ไปพึ่งบอดี้เชฟเลย ผอม ณ บัดดล
จากคนที่ขี้เกียจเดินเป็นที่สุด เดี๋ยวนี้นะเหรอ จากปกตินั่งมอเตอร์ไซค์ออกไปทำงานทุกวัน เปลี่ยนค่ะเปลี่ยน เปลี่ยนมาปั่นจักรยานลดโลกร้อน ไม่ใช่หรอก เพิ่มเงินในกระเป๋าฉันต่างหาก อิอิ
เมื่อก่อนหน้าทางเข้าออฟฟิตเคยนั่งมอเตอร์ไซค์เข้าไป หยุดเดี๋ยวนี้สิบบาทก็มีความหมาย เดินเอาก็ได้ พอได้เดินเอาเว้ย เราไม่เคยเดินออกกำลังกายตอนเช้าเลย ก็เป็นโอกาสอันดีได้ออกกำลังกายทุกเช้า
ก็หน้านี้ทุกคนก็ทำแต่งาน ไม่มีรายได้เสริม พอเริ่มวิกฤตโอกาสก็เกิด แม่เจ้านี่ออฟฟิตฉันหรือโอท็อปวะเนี่ย เพื่อนๆ แต่ละคนก็เอาของมาขายกันหลากหลายชนิด ขายกันเองนี่แหละ เออเว้ยเริ่มหากินกันได้ล่ะ ก็เริ่มจะมองหาธุรกิจของตัวเอง ดีออกต่อไปจะได้เป็นนายตัวเอง สำหรับตัวเองก็หานั่นหานี่ทำกะเค้าเหมือนกัน
จากคนที่ไม่เคยเก็บเงินก็เปลี่ยนพฤติกรรมเอาเงินที่หามาได้เพิ่มมาเก็บใส่บัญชีแบบไม่มีเอทีเอ็มไว้ ไปๆ มาๆ ก็ได้หลายอยู่นะ ทำไมฉันไม่รู้จักอดออมตั้งแต่แรกละเนี่ย
จะว่าไปแล้ววิกฤตก็ทำให้เกิดโอกาสเหมือนกันนะ ฉันว่าจากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้ได้คิดอะไรหลายอย่าง ในวิกฤตก็ต้องมีทางออก มันขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะวิ่งออกกันทางไหน ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้มนุษย์เงินเดือนทุกคนสู้ๆ นะ หาทางออกให้เจอเดี๋ยวก็ดีเอง มองโลกในแง่ดีดูบ้าง ก็ทำให้เราสบายใจไม่เครียดล่ะ ว่าป่ะ ..
Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
3 comments |
Last Update : 17 กรกฎาคม 2554 16:37:07 น. |
Counter : 1435 Pageviews. |
|
|
|