เมื่อชีวิตฉันจะหันหลังให้เมืองกรุง
หลังจากที่เดินจากบ้านมาสิบห้าปีแล้วมั้ง ที่ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพเมืองฟ้าอมร เมืองที่มีแต่สีสันแข่งขันในทุกๆ สิ่ง ฉันชอบชีวิตในกรุงเทพฯ เพราะเป็นเมืองแห่งการดิ้นรน ผู้คนมากมายเดินจากบ้านมาเพื่อแสวงหาสิ่งที่ฝัน โชคดีบ้าง ไม่โชคดีบ้างก็ใช้ชีวิตกันไป
หากถามว่าชอบใช้ชีวิตในเมืองกรุงไหม ชั้นตอบได้อย่างไม่ลังเลว่า ชอบจัง อาจจะเป็นเพราะว่ามันทำให้เราตื่นตัวตลอดเวลาละมั้ง ยามค่ำคืนก็ยังเหมือนกลางวัน ทุกวันมีแต่ความเร่งรีบ แอคทีฟตลอดเวลา จึงเป็นที่มาของคำว่า "หลงกรุง"
ฉันผู้เคยมีฝันไกลจะไปใช้ชีวิตสุดท้ายปลายทาง ณ ฟลอริด้าด้วยซ้ำ อยู่ๆ เกิดนึกอยากกลับบ้านขึ้นมาซะงั้น "บ้าน" ที่สร้างไว้ให้พ่อแม่ และไม่เคยคิดสักครั้งว่าจะกลับมาอยู่เลยสัก
แต่ชะตาก็ผกผันสิ่งไม่คาดฝันก็ดันเป็นจริง เมื่อชีวิตนี้อยากจะเป็น Sales ต่างจังหวัดดูสักครั้ง โชคดีจังที่เราได้ลงพื้นที่บ้านเราเอง จึงเป็นโอกาสที่เราจะได้กลับมาอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง
ครอบครัวในที่นี้ก็คือเตี่ยกับแม่ นอกจากเหตุผลที่ฉันอยากเป็น Sales ต่างจังหวัดแล้ว มีอีกหนึ่งเหตุผลที่ฉันอยากกลับบ้าน นั่นก็คือ "ครอบครัว" ที่ฉันห่างเหินไปนาน นานจนชั้นรู้สึกว่า ตัวชั้นเองขาดอะไรไป
เพื่อนๆ หลายคนบอกชั้นว่า "แกอยู่ต่างจังหวัดไม่ได้หรอก" นั่นดิ ทำไมนะชั้นจะอยู่ไม่ได้ เป็นคำถามที่ฉันเองก็ไม่แน่ใจเท่าใดนัก เพราะคนรักอิสระอย่างชั้น ผู้ไม่เคยอยู่ในกรอบ วันหนึ่งต้องกลับเข้ามาอยู่ในสายตาของเตี่ยและแม่ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง
แต่ถามว่าอยู่ได้ไหมชั้นคิดว่าอยู่ได้ ชั้นใช้ชีวิตในเมืองกรุงที่แสนจะวุ่นวายมาเสียนาน ทำให้รู้สึกว่าต้องรีบต้องเร่งต้องแข่งกับเวลาสารพัด วันหนึ่งต้องวางทั้งหมด ลดแสงสี ใช้ชีวิตอยู่บ้านต่างจังหวัดที่แสนจะเงียบสงัด มันก็แปลกอยู่เหมือนกัน
ตั้งแต่มาลองซ้อมอยู่ต่างจังหวัดมันก็มีข้อดีหลายอย่างเหมือนกันนะ ได้เดินรดน้ำต้นไม้รอบบ้าน มันก็เพลินดี ได้อยู่เงียบๆ บ้าง ก็ทำให้มีเวลาคิดทบทวนหลายสิ่งหลายอย่าง ได้มีเวลาคุยกับเตี่ยและแม่เยอะขึ้น ได้ทำกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น มันก็อบอุ่นหัวใจดีเหมือนกัน
บ้านที่ไม่เคยคิดมาอยู่ กวาดๆ ไปบ้านเราก็ใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย ทำงานมาตลอดชีวิตก็มีเพียงบ้านน้อยหลังนี้ล่ะมั้ง คือสิ่งที่เหลือ มีพี่คนหนึ่งบอกชั้นว่า "อย่าไปคิดว่าใครจะมีมากกว่า ให้คิดว่าเหลืออะไรจะดีกว่า" บ้างคนทำงานแทบตายมีเงินมากมาย ยังไม่รู้จักคำว่า "ความสุข" เลยด้วยซ้ำ
"ความสุขคนเราไม่ได้อยู่ที่ใด มันอยู่ที่ใจรู้จักพอ" ฉันเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาหลายอย่าง ผิดบ้างถูกบ้างก็ลองกันไป ท้ายที่สุดแล้วก็เข้าใจในสัจธรรมที่ว่า "ตายไปก็ไม่เหลืออะไร" สู้เปลี่ยนมาใช้ชีวิตทุกวันให้เป็นวันพิเศษดีกว่า เวลามีน้อยนิดไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไร อยู่อย่างสุขใจก็พอแล้ว
ชีวิตฉันไม่ได้หวังต้องร่ำรวยเหมือนใคร ๆ ขอเพียงอยู่อย่างสุขใจ เที่ยวบ้าง ทำงานบ้างอย่างสุขใจ ไม่เดือนร้อนใครก็พอแล้ว จริงป่ะ ..
Create Date : 02 พฤษภาคม 2554 |
|
4 comments |
Last Update : 2 พฤษภาคม 2554 1:50:18 น. |
Counter : 1836 Pageviews. |
|
|
|