สูงวัยไปด้วยกัน ตอนที่ 1 เมื่อชีวิตผกผันให้มาใช้ชีวิตกับสูงวัย
ตอนที่เราเป็นเด็กเราจะคุ้นเคยกับชีวิตการอยู่กับพ่อแม่ พอเริ่มโตขึ้นก็ต้องไปเรียนต่างถิ่นจากนั้นพอเข้าสู่วัยทำงานก็จะมีความฝันของแต่ละคนและนำมาสู่การแยกกันอยู่ในที่สุด ตามรูปการณ์มันก็น่าจะเป็นแบบนี้นะสเตปชีวิต ดังนั้น จขบ.จึงได้สร้างบ้านไว้ให้พ่อกับแม่อยู่เอาจริงๆ นะไม่มีความคิดว่าจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเลย เพราะความสบายและชินกับการอยู่คอนโดในเมืองกรุงจนเพื่อนๆ ทักว่าไม่กลับบ้านนอกเหรอแก
"โนจ๊ะ" ชั้นมีความสุขกับชีวิตเมืองกรุงดิ้นรนและแข่งกันมีความบันเทิงทุกรูปแบบ คิดดูแล้วกันว่าบ้านที่สร้างยังไม่มีห้องให้ตัวเองเลยเหอะคือไม่คิดจะมาอยู่แน่ๆ แต่จนแล้วจนรอดฟ้าก็ประทานงานมา เปลี่ยนงานค๊าหลังจากทำงานในเมืองกรุงมากว่าสิบปี มาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตอีกครั้งในตำแหน่ง "เซลบ้านนอก" นั่งคำนวนทุกสิ่งอย่างแล้วเอาวะไม่มีอะไรจะเสี่ยงไปมากกว่านี้แล้วชีวิต
ทุกทีเลยสิน่าไม่ชอบสิ่งไหนมักจะได้สิ่งนั้นเช่นกัน ไม่ชอบชีวิตบ้านนอกเอาเสียเลยอ่ะแล้วเป็นไงต้องกลับมาใช้ชีวิตอยู่บ้านนอกสไตล์จะรอดไหมวะตรู จำได้ว่าวันที่อพยพจากเมืองกรุงมาสู่บ้านนอกสไตล์แม่เจ้านี่อิช้านซื้อสมบัติอะไรไว้เยอะนักหนาวะเนี่ย บทเรียนแรกของการย้ายบ้านทำให้รู้ว่า "อะไรที่ไม่ใช้ท้ายที่สุดก็คือขยะ" ทิ้งสิคะจะรออะไรไม่คุ้มค่าขนย้าย ของอะไรไม่จำเป็นถังขยะโลด นึกในใจจะเก็บไว้ทำไมเนี่ยตรู
ทุกท่านเชื่อไหมว่าการได้มาอยู่บ้านนอกสไตล์ทำให้เราได้รู้ว่ามนุษย์พ่อและมนุษย์แม่ตอนยามชราแล้วมักจะไม่เหมือนคนเดิม มันจริงนะท่านๆ เรามีความรู้สึกว่าพ่อขี้โวยวายกว่าเดิม แม่ก็ขี้หงุดหงิด โอ้ยชีวิตตรูนี่มันอะไรกันนี่คือเราต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ทุกคนมีความอินดี้หมดเรียกว่าชั้นจะทำในสิ่งที่ชั้นพอใจเท่านั้น "การยอมกัน" คืออะไร??
เพิ่งรู้เหมือนกันว่าคนแก่สองคนที่ไม่ยอมกันนี่มันเวียนหัวมาก ไหนจะต้องปรับตัวให้เข้ากันด้วยความที่ชินกับชีิวิตในเมืองกรุงฯ จะคุยโทรศัพท์ตอนไหนก็ได้แต่พอมาอยู่บ้านทุกครั้งที่คุยโทรศัพท์นานจะมีซาวมาไกลๆ "เมื่อไหร่จะวางนานแล้วนะ" เป็นความอึดอัดแรกที่รู้สึกพ่อแม่มักจะไม่ชอบให้คุยโทรศัพท์นานๆ แล้วจะมีวิธีการกดดันที่ทำให้รู้สึกว่าต้องวางโดยการเดินไปวนมา โอ้ยยอะไรกันเนี่ยยยชีวิตเราควรจะเคารพสิทธิ์ของกันและกันนะอีกอย่างโตแล้วเปล่าว้าา
ปัญหาต่อมาของการอยู่กับพ่อแม่คือ "ออกไปไหนลำบากมาก" ด้วยความที่พอมาอยู่ในบ้านเดียวกันจะไปไหนก็จะมีคำถาม "ไปไหนกลับกี่โมงไปกะใคร" โหมาเป็นชุดนี่เราอยู่โรงเรียนประจำตอนอายุสามสิบป่ะวะ ด้วยความที่หน้าที่การงานเราต้องออกตลาดทุกวัน เวลาออกไปไหนก็จะมีมนุษย์แม่โทรตามตลอดเวลาเมื่อไหร่จะกลับ บลาๆๆ บางทีการทำงานมันไม่ได้ราบรื่นนะมันต้องมีติดพันกันบ้างอีกอย่างเราทำงานไม่เป็นเวลา ไปทำงานข้างนอกมาก็ต้องมาเคลียงานตอนดึกๆ ซึ่งมีปัญหาตามมาอีก "รีบนอน" เอิ่มมมม !!
แต่ละวันผ่านไปอย่างอึดอัดจนเริ่มไม่อยากอยู่บ้าน เพื่อนก็ไม่มีเพราะความที่บ้านที่สร้างเราไม่ได้เคยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เล็กเราจึงไม่มีเพื่อนที่นี่เลย เวลามีปัญหาก็ไม่รู้จะคุยกับใครงานก็ทำอยู่คนเดียว มันทำให้เครียดมากในระยะแรกจนทำให้เกิดอาการเหวี่ยงสุดพลัง เครียดหนักๆ ไมเกรนแดกอีกทำให้สถานการณ์ความอึดอัดหนักเข้าไปอีก ถึงบอกว่าตอนเป็นเด็กเราอยู่กับพ่อแม่ได้ แต่พอโตขึ้นมาเวลามันเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนตามเวลา พ่อแม่ก็เช่นกัน
หากมองในฝั่งพ่อแม่เค้าจะไม่คิดว่าลูกค้าโตแล้วเค้าจะคิดว่าลูกค้าเป็นเด็กตลอดเวลา พอได้มาอยู่ด้วยกันทุกอย่างต้องอยู่ในสายตาไม่มีคำว่า "ยืดหยุ่น" มันเลยทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาเพราะความอึดอัด เชื่อไหม่ว่าบางวันเครียดมากกรี๊ดแม่งในห้องน้ำเลยให้มันระบายๆ ความเครียดออกไปมั้ง เพราะไหนจะเครียดเรื่องที่ทำงานมาเจอบ้านอีกหนักกันไปใหญ่จนทำให้คิดว่าจะอยู่ต่อไปได้ป่ะวะ
เวลาอยู่กับพ่อแม่อย่างที่รู้กันพอสูงวัยก็เริ่มอยากมีความสัมพันธ์อยากเล่านั่นเล่านี้ เชื่อไหมว่าเราเคยฟังเรื่องเดียวกันหลายรอบมาก พอบอกว่าหลายรอบแล้วก็โกรธเอ้าผิดอีก มนุษย์พ่อเราก็ใช่ย่อยชอบหาเรื่องเข้าบ้านตลอดเวลาไม่เม้าท์คนนั้นก็เม้าส์คนนี้ จนต้องห้ามว่าไม่ควรนะฟังไหมไม่จ๊ะ สว.มักจะไม่ชอบฟัง "ถูกเสมอ" คือสโลแกนของ สว. บางเรื่องที่ไม่อยากฟังก็ต้องมานั่งฟังมนุษย์แม่เล่าเรื่องคนอื่นไปไหนก็ตามเล่า เวลาบอกว่าไม่อยากฟังก็โกรธอีกเป็นงั้นไป
หลังจากจุดที่มันทำให้ความรู้สึกดูแย่ลงไปนั้น มันก็มีวิถีของมัน จุดเปลี่ยน!! นึกถึงคำของพระพุทธเจ้า "การพ้นทุกข์ก็คือการเริ่มปล่อยวาง" ไม่รู้ว่าไปอ่านอะไรมาเหมือนคนเรากำมือไว้ตลอดเวลามันก็เมื่อยมือ ถ้าเราแบมือเราก็ไม่ต้องกำมันมันก็ไม่เมื่อยไง?? เมื่อเริ่มคิดได้ก็เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรม คุณเชื่อไหมว่าบางทีถ้าเรารอให้คนอื่นเปลี่ยนมันยาก เปลี่ยนที่เราก่อนเลย คิดใหม่ทำใหม่ในเมื่อเราต้องอยู่ร่วมกันต้องกำหนด "ข้อตกลง" ไว้ให้ สว. เมื่อเห็นลูกปรับพ่อแม่ก็จะปรับตามมันเลยทำให้ความตึงเครียดทั้งหลายเปลี่ยนมาเป็นความสุข
การอยู่ในบ้านที่มีความสุขมันเป็นอะไรที่ดีมาก ทำไมพ่อแม่ต้องปรับเหตุเพราะก็ไม่อยากเห็นลูกเครียด ในฐานะลูกก็เช่นกันบางอย่างเราก็ต้องยอมโดยไม่มีเหตุผล เพราะเถียง สว.ไปเค้าก็ไม่รู้สึกผิดหรอก บางทีชีวิตเราไม่จำเป็นต้องชนะเสมอไปแพ้บ้างก็ได้ไม่ได้ผิดอะไรหนักหนาจริงม๊ะ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของกับมาอยู่กับพ่อแม่ต้องเห็นหน้ากันทุกวันเดินอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน อะไรยอมได้ก็ต้องยอม บทเรียนแห่งการยอมทำให้เราเป็นคนใจเย็นขึ้น คิดบวกมากขึ้นเพราะชีวิตถ้าคิดแต่ลบมันจะก็มีความกดดันในใจ หากเราคิดบวกเราก็สบายใจ
หากใครเป็นเหมือนเราลองยอมๆ ดูบ้าง สว.เค้าไม่ชอบผิดเพราะเค้ามีกติกาที่เค้าต้องถูกเสมอ เคยเจอป่ะล่ะมนุษย์แม่มักจะกล่าวเสมอเวลาเราไม่ฟังสิ่งที่เค้าพูดเพราะฟังมาหลายรอบแล้ว มนุษย์แม่จะบอกว่า "ทำไมอ่ะทีตอนเล็กๆ ยังฟังได้ตั้งหลายรอบ" เอิ่มเป็นไงล่ะเจอประโยคนี้เงิบแดกเลย เอาวะฟังก็ฟังก็ฟังผ่านหูไป พอไม่เถียงมันก็ไม่มีเหตุไงจบนะ
Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2560 |
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2560 1:18:14 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1467 Pageviews. |
|
|
|
บอกตรงๆว่า บางครั้ง ก้อรู้สึกว่าอยู่ห่างกัน ก้อดีเหมือนกัน เวลาคุยโทรศัพท์ ยังพอ ตัดสัญญาณ แล้วโยน บทโหด ให้ บริษัทสื่อสาร ฮิๆ แม่ๆ พายุเข้า ลมแรง มันตัดไปเฉยเลย เหอๆ บาปก้อยอมวะ หูจจะเน่า ฟังเรื่องเดิมๆ มาจนแทบจะเล่าแทนได้ แล้ว เฮ้อๆๆ