|
|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
4 ตุลาคม 2553
|
|
|
|
โรคกระเพาะอาหารในคุณแม่ตั้งครรภ์
โรคกระเพาะอาหารหรือทางการแพทย์เรียกว่า Peptic Ulcer คือการเป็นแผลบริเวณกระเพาะอาหารหรือเกิดเป็นแผลที่บริเวณลำไส้เล็กส่วนต้นซึ่งอยู่ติดกับกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นเรื้อรัง คือหลังจากการรักษาแผลให้หายแล้ว ก็มักจะกลับมาเป็นแผลอีกไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ปัจจุบันเชื่อว่าโรคกระเพาะอาหารมีผลมาจากการ ติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร หรือ H. Pylori อาการของโรคกระเพาะอาหารส่วนใหญ่มีอาการปวดท้องบริเวณยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ มีอาการจุก เสียด แน่น เจ็บแสบหรือร้อน อาการจะสัมพันธ์กับการกิน หรือชนิดของอาหาร เช่น อาจปวดมากตอนหิวเมื่อรับประทานอาหารอาการจะทุเลาลง แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดมากขึ้นหลังอาหาร โดยเฉพาะหากรับประทานอาหารรสจัด เผ็ดจัด เป็นต้น สำหรับในคุณแม่ตั้งครรภ์นั้นมักจะมีอาการคล้ายโรคกระเพาะอาหารหรือ Heartburn คือมีอาการแสบบริเวณลิ้นปี เรอเปรี้ยว และอาจมีความรู้สึกขมที่ลิ้น ความเจ็บปวดมักเกิดขึ้นในอก และอาจกระจายถึงคอ เป็นสาเหตุของเจ็บคอและอาการไอเรื้อรังได้ ซึ่งในหญิงตั้งครรภ์ส่วนมากแล้วเกิดจากการที่มีฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว ซี่งกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารก็ได้รับผลกระทบด้วย ดังนั้นจึงอาจมีน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหารและระคายเคืองหลอดอาหารจนคุณแม่รู้สึกแสบบริเวณลิ้นปีได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 6 - 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ และในช่วงใกล้คลอด กรณีเช่นนี้คุณแม่ตั้งครรภ์เพียงแต่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหารเท่านั้นก็จะช่วยให้อาการทุเลาลงได้ คือ 1. รับประทานอาหารทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง 2. รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย 3. รับประทานอาหารตรงตามเวลาทุกมื้อ 4. เคี้ยวอาหารให้ละเอียดทุกคำก่อนกลืน 5. ไม่รับประทานให้อิ่มมากจนเกินไป 6. ไม่นอนทันทีหลังรับประทานอาหาร 7. งดอาหารรสเผ็ด กาแฟ ชอคโกแลต อาหารรสเปรี้ยวจัด ของดอง และน้ำอัดลม 8. ลดอาหารไขมันสูงซึ่งย่อยยาก แต่ยังคงรับประทานอาหารที่มีไขมันเล็กน้อย เพราะไขมันจะช่วยยับยั้งการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร และยังช่วยนำพาวิตามินที่ละลายในไขมัน 9. ระวังการดื่มน้ำปริมาณมากพร้อมหรือหลังอาหารทันที ให้พยายามดื่มน้ำให้พอเพียงระหว่างมื้ออาหาร 10. หากอาหารไม่ทุเลา สามารถรับประทานยาลดกรดตามแพทย์สั่งได้
อย่างไรก็ตาม ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการของโรคกระเพาะอาหารเรื้อรังมาก่อนตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ระบบทางเดินอาหารอย่างสม่ำเสมอ และหลังคลอดควรเข้ารับการตรวจรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม ในปัจจุบันการตรวจหาเชื้อ H. Pylori สามารถทำได้โดยวิธีการส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหารแล้วตัดเนื้อเยื่อบุกระเพาะอาหารมาตรวจหาเชื้อ H. Pylori หากพบว่ามีการติดเชื้อ แพทย์จะให้ยาลดการหลั่งกรด ร่วมกับยาปฏิชีวนะ เป็นระยะเวลา 1 - 2 สัปดาห์ และนัดมำทำการตรวจติดตามผล หากตรวจไม่พบเชื้อ H. Pylori เมื่อ 4 สัปดาห์หลังจากหยุดรักษาจึงจะถือว่าการรักษาได้ผล
Create Date : 04 ตุลาคม 2553 |
|
1 comments |
Last Update : 4 ตุลาคม 2553 9:42:51 น. |
Counter : 608 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
DR.TONGTIS |
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]
|
B.Sc. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1974-1978. M.D. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1979-1980. Diploma Board of Obstetrics and Gynecology. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1981-1983. Postdocteral Fellow Training. Queen's Mother Hospital, Glasgow Scotland. Postdocteral Fellow Training.King's College Hospital, London. UK. Postdocteral Fellow Training. Department of Obstetrics and Gynecology and Department of Radiology. John Hopkins Hospital, John Hopkins University.
|
|
|
สุขภาพ
การดูแลสุขภาพ
อาหารเพื่อสุขภาพ
ออกกำลังกาย
สุขภาพผู้หญิง
สุขภาพผู้ชาย
สุขภาพจิต
โรคและการป้องกัน
สมุนไพรไทย
ผู้หญิง
ศัลยกรรม
ความสวยความงาม
แม่ตั้งครรภ์
ทารกแรกเกิด
เด็ก
ครอบครัว