|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
:::: โรคเท้าเหม็น :::: คุณเป็นหรือเปล่า ???
โรคเท้าเหม็น (Pitted Keratolysis) เป็นโรคที่พบมากในเขตร้อน พบได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ชายและผู้หญิง แต่จะพบได้บ่อยในผู้ชาย เพราะจะมีเหงื่อออกที่ฝ่าเท้ามากกว่า และผู้ชายมักสวมถุงเท้าอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้เกิดการหมักหมมบริเวณเท้า
คนเป็นโรคเท้าเหม็น หากสังเกตก็จะเห็นหลุมเล็กๆ ที่ฝ่าเท้า บางครั้งหลุมอาจรวมตัวกันเป็นแอ่งเว้าตื้นๆ มักพบตามฝ่าเท้าที่รับน้ำหนัก และที่ง่ามนิ้วเท้า
อาการที่แสดงออกมาของโรคเท้าเหม็นคือ ร้อยละ 90 เท้ามีกลิ่นเหม็นมาก ร้อยละ 70 คือ เวลาถอดถุงเท้าจะรู้สึกว่าถุงเท้าติดกับฝ่าเท้า ส่วนอาการคันนั้นพบได้น้อยเพียง ร้อยละ 8 เท่านั้น
วิธีการรักษาโรคเท้าเหม็น
1. พยายามทำให้เท้าแห้งอยู่เสมอ โดยอาจใช้แป้งฝุ่นฆ่าเชื้อโรยที่เท้า หรือยารักษาสิว (Benzoyl Peroxide) ก็นำมาใช้ได้เช่นกัน นอกจากนั้นก็อาจใช้ยาปฏิชีวนะ หรือยาฆ่าเชื้อราชนิดทาก็ได้
2. โบทอกซ์ที่ใช้แพร่หลายกันในเรื่องการลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ก็สามารถนำมาใช้รักษาโรคเท้าเหม็นได้ด้วย โดยการฉีดโบทอกซ์เข้าไปที่ฝ่าเท้าเพื่อลดเหงื่อที่ออกมากๆ ประมาณ 6-12 เดือน ก็จะเห็นผล (วิธีการนี้มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก 10,000-20,000 ต่อครั้ง)
3. การใช้ไอออนโตเพื่อลดเหงื่อ ซึ่งเป็นวิธีการที่ปฏิบัติกันมากว่าเจ็ดสิบปีแล้ว โดยทำบริเวณที่มีเหงื่อให้เหงื่อออกมาครั้งละ 20-30 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จนเหงื่อที่ออกลดลงเป็นปกติ วิธีนี้ไม่เจ็บ ไม่แพง แต่ก็ไม่นิยมในบ้านเรา
4. แช่เท้าในน้ำล้างเท้าผสมสูตรระงับกลิ่นทุกวัน โดยใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที
สูตรผสมน้ำระงับกลิ่นเท้า
- น้ำอุ่นผสมน้ำส้มสายชูกับด่างทับทิม
- น้ำอุ่นผสมส้มฝานบางๆ อาจใช้มะนาวแทนก็ได้
- น้ำอุ่นผสมกระเทียมทุบ 2-3 กลีบ
- น้ำอุ่นผสมน้ำมะขามเปียก
- น้ำชาจีนอุ่นๆ ต้มแก่ๆ (สูตรนี้จะไม่ถูกกรดอ่อนๆ กัดเท้าเหมือนสูตรอื่น)
7 เคล็ดลับรักษาเท้าให้น่าคลั่งไคล้
1. จงเข้าใจว่าศัตรูของเท้าไม่ใช่ความแห้ง แต่เป็นกลิ่น ดังนั้นไม่ควรหมักหมมเท้าไว้ในรองเท้าให้นานเกินไป ควรหาเวลาถอดเพื่อระบายเหงื่อ หรือใช้สเปรย์แป้งเพิ่มความสดชื่นให้แก่เท้าอยู่เสมอ
2. เวลาล้างเท้าควรล้างอย่างพิถีพิถันโดย เฉพาะบริเวณแต่ละง่ามนิ้วเท้า ควรใช้สบู่เด็กหรือผลิตภัณฑ์รักษาความสะอาดโดยเฉพาะ เพราะบริเวณนั้นเป็นแหล่งรวมของเชื้อราเลยทีเดียว จากนั้นก็ล้างด้วยน้ำสะอาดให้หมดจด
3. ควรประณีตกับการล้างเท้าสักหน่อย โดยการใช้ "หินลอย" (Pumice Stone) มาขัดหนังที่แข็งกระด้างออก และไม่ลืมที่จะใช้เวลาในการเช็ดเท้าให้แห้งสนิทมากที่สุดด้วย
4. แล้วเมื่อเท้ามีอาการปวดเมื่อยจากการเดิน หรือวิ่งก็ตาม ง่ายๆ เลยเพื่อระงับความปวดเมื่อยคือ การนำเท้าไปแช่น้ำอุ่น (ผสมเกลือ) สัก 10-15 นาที แล้วยกออก ตามด้วยการจุ่มน้ำเย็นสัก 1-2 นาที ก็จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และยังทำให้ผิวเท้านุ่มขึ้นอีกด้วย
5. เมื่อมีเวลาว่างเมื่อใด ก็ควรนำเท้าไปนวดครีมหรือนวดน้ำมัน เพื่อรักษาผิวให้มีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ
6. ไม่ควรใส่รองเท้าที่คับจนเกินไปเพราะนอกจากจะสร้างความเจ็บปวดแล้ว ยังทำให้เกิดแผลและตาปลาอีกด้วย
7. ไม่ควรทำเล็บที่ร้านเสริมสวย หรือใช้เครื่องมือของทางร้าน เพื่อป้องกันความสกปรกหรือโรคผิวหนังที่จะติดมากับเครื่องมือเหล่านั้น (ทำด้วยตัวเองดีที่สุด)
ข้อมูลและภาพประกอบจาก First Magazine & Kapook.Com
Create Date : 25 กันยายน 2551 |
|
7 comments |
Last Update : 25 กันยายน 2551 20:15:44 น. |
Counter : 1037 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ต๋อย (Roseshadow ) 26 กันยายน 2551 0:04:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: Anitapa 27 กันยายน 2551 12:45:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: jiney (สวยตลอดกาล ) 28 กันยายน 2551 0:08:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: POOL IP: 125.25.175.22 28 มกราคม 2552 19:02:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: ไอตีนเหม็น IP: 118.173.51.183 13 กุมภาพันธ์ 2552 6:44:05 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
/Gold Coast / Australia
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
** หลงรักเสียงเพลงฝรั่งมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ไม่เคยคิดไม่เคยฝันอยากจะมีสะมีเป็นฝรั่ง จนแล้วจนรอดสุดท้ายก้อแต่งงานกับฝรั่งจนได้ บุพเพสันนิวาสมีจริง ๆ นะ... เชื่อกันอ่ะป่าว ?? !!** Do you believe in "Destiny" ???
|
|
|
|
|
|
|