Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2566
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
6 พฤศจิกายน 2566
 
All Blogs
 
พิสูจน์คำสอน

               

                วันนี้ท่านทั้งหลายได้มาวัด เพื่อปฏิบัติภารกิจของพุทธศาสนิกชน  เพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้น เป็นสวากขาโต ภควตา ธัมโม  เป็นธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วหรือไม่  เป็นความจริงหรือไม่ เราพิสูจน์ได้ถ้าน้อมเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ เพราะเป็นเหมือนกับรับยาจากหมอมารักษาโรคของเรา  ถ้ารับประทานยาก็จะรู้ว่ายาจะรักษาโรคได้หรือไม่ ถ้าไม่รับประทานก็จะไม่รู้  ถ้ารับประทานแล้วโรคหายไป  ก็รู้ว่ายารักษาโรคได้ ถ้าโรคไม่หายก็แสดงว่ายารักษาโรคไม่ได้   ฉันใดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เป็นเหมือนกับยา  ที่เราสามารถพิสูจน์ได้ว่า  นรกสวรรค์กรรมมีจริงหรือไม่  ตายแล้วต้องไปเกิดใหม่ ต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่หรือไม่  ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว  เป็นจริงหรือไม่ ด้วยการศึกษาพระธรรมคำสอนแล้วน้อมเอาไปปฏิบัติ ถ้ายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ คือยังไม่เห็นว่าตายแล้วยังต้องไปเกิดอีก ก็แสดงว่ายังปฏิบัติไม่ถึงขั้นที่ต้องปฏิบัติ ถ้าเป็นยาก็ยังรับประทานยาไม่ครบ ยังขาดยาบางชนิด  หมอให้ยามาหลายชนิดด้วยกัน  แต่รับประทานเพียงบางชนิด  โรคก็จะไม่หาย พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ท้าให้เราพิสูจน์ก็เช่นเดียวกัน  ถ้าประพฤติปฏิบัติไม่ครบถ้วนตามที่ได้ทรงสอนให้ปฏิบัติ  ก็จะยังไม่เห็นผลเต็มที่  อาจจะเห็นเป็นบางส่วน ถ้าได้ปฏิบัติอย่างครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น  เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ปิดบังแต่อย่างใด สิ่งที่ปิดบังใจไม่ให้เห็นสิ่งต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น ก็คืือความมืดบอดของใจ ที่เหมือนคนหลับตา ย่อมไม่เห็นสิ่งที่คนลืมตามองเห็น  ถ้าลืมตาขึ้นมา ก็จะเห็นสิ่งต่างๆ  เช่นเดียวกับคนที่ลืมตาเห็น
 
คำสอนของพระพุทธเจ้าสอนเพื่อให้เราลืมตาใจขึ้นมา ที่ตอนนี้ถูกความมืดบอด คืออวิชชาความไม่รู้ โมหะความหลงทำให้หลับ  พระพุทธเจ้าจึงต้องสอนให้เบิกตาใจ  ด้วยการปฏิบัติตามคำสอน ถ้าเพียงแต่ศึกษาได้ยินได้ฟัง แต่ไม่ได้นำเอาไปปฏิบัติ ก็เหมือนกับการรับยาจากหมอแต่ไม่ได้รับประทาน เอาวางไว้เฉยๆ แล้วรอให้โรคหาย  อย่างนี้โรคก็จะไม่หาย ต้องรับประทานยา ฉันใดพระธรรมคำสอนก็เป็นเช่นนั้น  เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วก็ต้องน้อมเอามาปฏิบัติ  ธรรมที่ทรงสอนให้ปฏิบัติก็มีอยู่  ๓ ขั้นด้วยกันคือ  ๑. ทานคือการให้  ๒. ศีลการไม่เบียดเบียนกัน  ๓. ภาวนาการชำระความมืดบอดของใจให้หายไป ทำใจให้สว่างขึ้นมา นี่คือธรรมะ ๓ ขั้นตอนที่ใช้ในการพิสูจน์คำสอนว่าจริงหรือไม่ ถ้าทำไม่ครบถ้วนหรือทำไม่ถูก ก็จะยังไม่เห็น  ถ้าทำถูกต้องครบถ้วนแล้วก็จะเห็น เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น  เพราะได้ลืมตาใจขึ้นมาแล้ว  เมื่อตาใจสว่างไสวด้วยแสงสว่างแห่งธรรมแล้ว  สิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น ก็จะปรากฏขึ้นมาภายในใจ จะเห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกทั้งหลาย  เห็นกรรม เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เห็นมรรคผลนิพพาน  เห็นการสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ก็จะบรรลุเป็นพระอรหันตสาวก รับรองคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าเป็นความจริง ไม่มีพระอรหันตสาวกองค์ใดออกมาค้าน ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น ทรงนำเอามาสั่งสอนสัตว์โลกนั้น ไม่เป็นความจริง  มีแต่รับรองพระธรรมคำสอนทุกๆองค์เลย  เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสันทิฏฐิโก ที่ผู้ปฏิบัติสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ด้วยตนเอง ด้วยการปฏิบัติทาน ปฏิบัติศีล ปฏิบัติภาวนา  ถ้าฟังเฉยๆ แต่ไม่ปฏิบัติก็จะยังไม่เห็น ถ้าฟังแล้วนำเอามาปฏิบัติก็จะเห็นอย่างแน่นอน เพราะความจริงเป็นอย่างนี้ เหตุผลเป็นอย่างนี้
 
เหมือนกับวัดญาณฯถ้ายังไม่เคยมา ก็จะไม่ีรู้ว่าเป็นอย่างไร ถ้าเดินทางมาถึงวัดแล้ว ก็จะรู้ว่าวัดญาณฯเป็นอย่างไร จะหายสงสัยว่าวัดญาณฯมีจริงหรือไม่ เพราะได้มาพิสูจน์กับตัวเองแล้ว ด้วยการเดินทางมาที่วัด  ถ้าฟังคนอื่นเล่าให้ฟัง ก็จะไม่รู้ว่าเป็นดังที่เขาพูดหรือไม่ นี่คือหลักของการพิสูจน์พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วต้องเอาไปปฏิบัติดู ต้องไปดูถึงจะเห็น ถ้าไม่ไปดูก็จะไม่เห็น ต้องดูด้วยการปฏิบัติธรรม ๓ ขั้น คือขั้นแรกให้ทำทาน ให้บริจาคทรัพย์ สิ่งของต่างๆ ที่มีเหลือกินเหลือใช้ ที่ไม่มีความจำเป็นต่อการดูแลอัตภาพชีวิตร่างกาย ก็แบ่งปันให้ผู้อื่นไป แล้วก็ให้รักษาศีล ไม่ให้เบียดเบียนกัน เพื่อสนับสนุนการกระทำขั้นที่ ๓ คือการภาวนา  ถ้ายังไม่ได้ทำบุญให้ทาน ยังมีความตระหนี่ ยังหวงในสมบัติข้าวของเงินทองอยู่ ก็จะไม่มีความเมตตากรุณา  ก็จะเบียดเบียนผู้อื่น ก็จะไม่มีศีล เมื่อไม่มีศีลจิตก็จะไม่สงบ จิตจะวุ่นวาย ก็จะไม่สามารถเจริญจิตตภาวนาทำจิตให้สงบได้ เมื่อจิตไม่สงบก็จะไม่สามารถพิจารณาธรรมต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณา ให้เห็นตามความเป็นจริงได้  เมื่อไม่สามารถภาวนาได้ ผลที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นก็จะไม่ปรากฏขึ้นมาในใจ ดังนั้นถ้ายังไม่ได้ทำบุญทำทานอย่างจริงๆจังๆ ก็ต้องทำก่อน  ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ทำตามธรรมเนียมประเพณี  ทำตามวาระโอกาส เช่นทำในวันเกิดบ้าง ในวันสำคัญทางศาสนาบ้าง ทำเวลาที่มีคนตายบ้าง เหล่านี้เป็นการทำตามเหตุการณ์ ยังไม่ได้ทำอย่างจริงจัง ถ้าทำอย่างจริงจังต้องทำด้วยความยินดี ความพอใจ ความเมตตากรุณา ที่ทำให้มีความสุขความอิ่มความพอ เป็นการให้อาหารใจ 
 
เวลาเรารับประทานอาหารเราไม่ได้สักแต่ว่ารับประทาน ไม่ได้รอเหตุการณ์แล้วค่อยรับประทาน รอวันเกิิดค่อยรับประทาน   รอวันตายของคนนั้นคนนี้ค่อยรับประทาน  ถ้ารออย่างนี้ร่างกายก็จะอยู่ไม่ได้ เพราะได้รับอาหารไม่พอเพียง   ฉันใดการให้อาหารใจด้วยการให้ทาน เพื่อให้ใจมีกำลังปฏิบัติธรรมขั้นสูงได้ เช่นการรักษาศีลก็ดี การภาวนาก็ดี ก็ต้องให้อย่างจริงจัง เพื่อให้ใจมีกำลัง  มีความอิ่มความพอ  จะได้ไม่ทะเยอทะยานอยากได้สิ่งต่างๆที่ไม่จำเป็น จะได้ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เพราะอยู่อย่างสงบอยู่อย่างสันติได้ ถ้าอยากได้อะไรก็หามาโดยไม่เบียดเบียนกัน ก็จะมีศีลขึ้นมา จิตใจก็จะสงบเย็นสบาย ไม่วุ่นวาย ต่างกับเวลาที่ไปทำผิดศีล จะไม่สบายอกสบายใจ  หวาดผวาหวาดกลัว เพราะรู้ว่าได้ทำในสิ่งที่ไม่ดี  สร้างเวรสร้างกรรมให้กับผู้อื่น ก็กลัวว่าจะถูกจองเวรจองกรรม ถูกทำร้าย  ใจก็จะไม่สงบไม่สบาย  จะทำจิตใจให้สงบนิ่งก็จะทำได้ยาก หรือทำไม่ได้เลย เพราะต้องต่อสู้กัน ลำพังจิตที่มีศีลแล้วเวลาทำสมาธิก็ยังไม่ง่ายเลย เพราะใจยังคิดเรื่องราวต่างๆ ที่จะขวางการทำใจให้สงบ ถ้ามีความวุ่นวายใจที่เกิดจากการไปเบียดเบียนผู้อื่น ก็จะทำให้การภาวนาทำจิตใจให้สงบนิ่ง ยากเป็นสองเท่า จึงต้องตัดความวุ่นวายใจภายนอกออกไปก่อน ที่เกิดจากการเบียดเบียนผู้อื่น ด้วยการมีศีล ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา  ใจจะได้ไม่วุ่นวายกับเรื่องภายนอก เหลือแต่เรื่องภายในใจที่ยังอดที่จะคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องคนนั้นเรื่องคนนี้ไม่ได้ แต่ก็จะไม่หนักเหมือนกับตอนที่ไม่มีศีล เพราะต้องกังวลกับเรื่องจองเวรจองกรรมอีก  
 
จึงทรงสอนให้ทำทานก่อนอย่างจริงจัง เหมือนกับการรับประทานอาหาร  ไม่รับประทานแบบเล่นๆ สักแต่ว่ารับประทาน  แต่รับประทานอย่างจริงจัง รับประทานจนอิ่มเลย  ฉันใดการทำบุญให้ทานก็ต้องทำอย่างจริงจัง อย่าสักแต่ว่าทำ  ทำให้ผู้อื่นมีความสุข  ให้ได้สิ่งที่ดีจากเรา ไม่ใช่สักแต่ว่าให้ ให้ของที่ไม่ใช่แล้ว จะโยนทิ้งแล้ว จะไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร สู้ทำอย่างตั้งใจทำจริงๆไม่ได้ อยากจะให้เขามีความสุขจริงๆ เหมือนกับเราอยากมีความสุขจากการได้รับของดีๆ ฉันใดเวลาเราอยากจะให้ผู้อื่นมีความสุข  ก็ต้องให้ของดีๆ อย่าให้ของที่ไม่มีคุณค่า ไม่มีประโยชน์ เพราะจะไม่ทำให้อิ่มเอิบใจ ถ้าพิถีพิถันให้จะทำให้มีความอิ่มเอิบใจ มีความสุขใจ ความพอใจ เวลาถวายสังฆทานก็ควรพิถีพิถันซื้อของที่ใช้ได้  อย่าซื้อของที่จัดไว้จัดเป็นชุดๆ ผู้รับจะไม่ได้ใช้เพราะมีล้นวัด  เป็นของซ้ำๆซากๆกัน เป็นของไม่มีคุณภาพ  คนถวายก็สักแต่ถวาย คนรับก็สักแต่รับ ไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร ถ้าพิถีพิถันสักหน่อย ซื้อของที่ผู้รับใช้ได้ ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน น้ำดื่มเป็นต้น เป็นของที่มีประโยชน์ ดีกว่าซื้อของที่จัดมาเป็นสิบๆชุด ที่ไม่มีคุณภาพ สู้ซื้อของดีๆสักชิ้นหนึ่งจะดีกว่า  เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง  ทำทานแล้วก็จะทำให้มีศีล ไม่เบียดเบียนกัน มีความปรารถนาดีกัน มีความกรุณาความสงสารกัน จะไม่อยากเบียดเบียนกัน เวลาอยากได้อะไรก็จะระมัดระวัง ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น  เพราะจะทำให้ใจไม่สงบ ทำให้ใจวุ่นวาย จะภาวนาไม่ได้  ถ้าไม่เบียดเบียนผู้อื่น  ก็จะไม่กังวล จะสงบ จะสบาย จะอยากทำจิตใจใ้ห้สงบมากขึ้น เพราะเห็นความสงบของจิตใจเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าสิ่งอื่นๆในโลกนี้ ก็จะหาเวลาภาวนาให้มากขึ้น 
 
ในเบื้องต้นก็ทำจิตให้สงบด้วยการเจริญสมถภาวนา กำหนดจิตให้อยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง เป็นเครื่องผูกใจไว้ เพื่อจะได้ไม่ไปคิดเรื่องอื่น เช่นระลึกพุทโธๆ บริกรรมพุทโธๆ ไปภายในใจ  ไม่ให้ใจไปคิดเรื่องอื่น  ถ้าอยู่กับคำบริกรรมพุทโธใจก็จะไปคิดเรื่องอื่นไม่ได้ เช่นในขณะนี้กำลังพูดธรรมะอยู่จะแว็บไปคิดเรื่องอื่นก็ไม่ได้ เพราะจะต้องคิดแต่เรื่องธรรมะ ถ้าบริกรรมพุทโธๆ ใจก็ต้องอยู่กับพุทโธๆ จะแว็บไปคิดเรื่องอื่นไม่ได้ ถ้าไม่บริกรรมก็จะแว็บไปคิดเรื่องอื่น แล้วก็แว็บกลับมาบริกรรมใหม่อย่างรวดเร็ว  ทำให้เห็นว่ากำลังทำสองอย่างด้วยกัน  คือบริกรรมพุทโธๆไปแล้วก็คิดเรื่องอื่นไปด้วย แต่ความจริงแล้วใจกำลังสลับไปสลับมา  บริกรรมปั๊บแล้วก็ไปคิดเรื่องอื่นแล้วก็กลับมาบริกรรมใหม่  จึงต้องระมัดระวังเวลาทำจิตให้สงบ  ถ้าต้องการเห็นผลก็ต้องมีสติเฝ้าใจให้อยู่กับพุทโธเพียงอย่างเดียว บริกรรมไปเรื่อยๆ ถ้าอยู่กับพุทโธไปเรื่อยๆแล้วใจก็จะสงบนิ่ง จะมีความสุขมีความสบาย จะเห็นใจแยกออกจากกาย  จะเห็นว่าร่างกายเป็นส่วนหนึ่ง ใจเป็นอีกส่วนหนึ่ง จะเข้าใจเลยว่าเวลาร่างกายตายไป ใจไม่ได้ตายไปกับร่างกาย เพราะใจกับร่างกายเป็นคนละส่วนกัน ใจเป็นอย่างหนึ่ง กายเป็นอย่างหนึ่ง เมื่อกายไม่สามารถอยู่กับใจได้ ใจก็ต้องไปหาร่างกายใหม่  ไปเกิดใหม่ จะได้ร่างกายดีหรือชั่วก็ขึ้นอยู่กับบาปบุญที่ได้ทำไว้  ถ้าทำบุญไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ทำบาปทำกรรม ก็จะได้ร่างของมนุษย์ ได้ร่างทิพย์ของเทวดาของพรหม  ถ้าเบียดเบียนผู้อื่น  ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นต้น ก็จะได้ร่างของเดรัจฉาน ได้ร่างทิพย์ของพวกเปรตพวกสัตว์นรก  ที่เป็นกายทิพย์เหมือนกัน แต่เป็นกายทิพย์ที่มีแต่ความทุกข์รุมเร้าอยู่ตลอดเวลา พวกเปรตก็มีแต่ความหิวความอยากความต้องการรุมเร้าอยู่ตลอดเวลา  ต่างกับกายทิพย์ของเทวดาที่มีแต่ความอิ่มหนำสำราญใจ  มีแต่ความสุข ความเพลิดเพลินกับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะทิพย์ชนิดต่างๆ  ถ้าได้กายทิพย์ของพรหมก็จะมีความสงบนิ่งอยู่ในสมาธิอยู่ในฌาน มีความสุขเหนือความสุขที่ได้จากการเสพอาหารทิพย์ชนิดต่างๆ
 
นี่คือผลที่จะปรากฏขึ้นมาในขณะที่ทำจิตใจให้สงบ จะเห็นชัดว่าร่างกายกับใจเป็นคนละส่วนกัน จะไม่สงสัยคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าจริงหรือไม่  นรกมีจริงหรือไม่ สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตายแล้วต้องไปเกิดหรือไม่ จะสามารถเห็นได้ แต่ยังไม่สามารถทำใจให้หยุดเวียนว่่ายตายเกิดได้ เพราะการทำสมถภาวนายังไม่ได้กำจัดเชื้อของภพชาติ ที่จะพาให้ไปเวียนว่ายตายเกิดอีก คือกิเลสตัณหาทั้งหลาย ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ จะหมดไปได้ด้วยการบำเพ็ญภาวนาอีกขั้นหนึ่งคือวิปัสสนาภาวนา สอนใจให้ฉลาดรู้ทันความหลง ที่ทำให้เกิดความโลภ เกิดความอยาก พอไม่ได้ตามความโลภ ตามความอยากก็เกิดความโกรธขึ้นมา  ถ้าใจมีปัญญารู้ทันความหลง ก็จะไม่มีความโลภ ความอยาก ก็จะไม่มีความโกรธตามมา  วิธีที่กำจัดกิเลสตัณหาความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็คือการสอนใจให้รู้ทันความหลง  ความเห็นผิดเป็นชอบ เห็นว่าสิ่งต่างๆในโลกนี้ให้ความสุขกับเรา  แต่พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่าเป็นความทุกข์ทั้งนั้น  ได้อะไรมาแทนที่จะให้ความสุขอย่างเดียว ก็มีความทุกข์แถมมาด้วย เป็นความทุกข์ทรมานมากกว่าความสุขที่ได้รับ  เป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ  ไม่ว่าจะได้อะไรมา เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ได้สามีมา ได้ภรรยามา ก็ต้องห่วงต้องหวง ต้องกังวล ต้องเสียอกเสียใจ เวลาเป็นอะไรไป ถ้าไม่มีสามีไม่มีภรรยาก็ไม่ต้องทุกข์กับเขา  ถ้าไม่มีลูกก็ไม่ต้องทุกข์กับลูก เพราะสิ่งต่างๆอยู่ใต้กฎของอนิจจังทุกขังอนัตตา ไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง ไม่อยู่กับเราไปตลอด ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งก็ต้องจากเราไป
 
นี่คือวิปัสสนาภาวนา สอนใจให้รู้ทันความหลง ให้รู้ว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่น่ายินดี เพราะไม่ได้ให้ความสุขอย่างแท้จริง ให้ความทุกข์มากกว่าให้ความสุข เพราะไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่ใช่สมบัติที่แท้จริง สักวันหนึ่งต้องจากเราไป เวลาเราตายไปก็ต้องจากทุกสิ่งทุกอย่างไป ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของเราก็ดี สมบัติข้าวของเงินทองของเราก็ดี สามีภรรยาบุตรธิดาของเราก็ดี เพื่อนฝูงของเราก็ดี  ต้องทิ้งไปหมด เพราะไม่เที่ยงแท้แน่นอน   ไม่ใช่สมบัติของเรา  ถ้ารู้ทันแล้วจะไม่อยากได้อะไร จะไม่อยากมีอะไร  จะพอใจกับการอยู่ตามลำพัง เพราะมีความสุขที่เกิดจากความสงบ จะใช้เวลาทั้งหมดทุ่มเทให้กับการทำจิตใจให้สงบ ให้ฉลาดรู้ทันความหลง จนไ่ม่มีความหลงเหลืออยู่ในใจแล้ว ก็จะถึงจุดอิ่มตัวเต็มที่ ที่เรียกว่าปรมังสุขัง ได้ถึงพระนิพพานแล้ว ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป  นี่คือสิ่งที่เราสามารถพิสูจน์ได้  จะรู้เลยว่าสวรรค์มีจริง นรกมีจริง  การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง กรรมมีจริง เพราะใจรู้ใจเห็นใจ ที่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิด ต้องไปตกนรก ไปขึ้นสวรรค์ ไปเป็นเทพ เป็นพรหม เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก ไม่ใช่ใครที่ไหน ใจนี่เองที่ได้ทำบาปและบุญไว้ จะเห็นได้อย่างชัดเจน จะไม่สงสัยอีกต่อไป จึงควรเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน แต่ไม่เืชื่อเฉยๆ โดยไม่พิสูจน์  ความเชื่อในทางพระพุทธศาสนา ให้เชื่อเพื่อจะได้นำเอามาพิสูจน์ เหมือนกับเชื่อหมอ เชื่อยา แล้วก็เอายามารับประทาน พิสูจน์ดูว่ายาจะรักษาโรคให้หายได้หรือไม่ ฉันใดสิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนก็เป็นเช่นนั้น สอนให้นำเอามาพิสูจน์ว่า นรก สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด กรรมมีจริงหรือไ่ม่ จะพิสูจน์ได้เพราะมีผู้อื่นได้พิสูจน์มาแล้ว เช่นพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ท่่านได้พิสูจน์มาแล้ว ได้รับรองคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแล้ว ได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดไปแล้ว ได้ไปถึงพระนิพพานแล้ว พวกเราควรลองเอาไปพิสูจน์ดู รับรองได้ว่าจะไม่ผิดหวัง การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้

 

 
......................................................



ขอขอบคุณที่มาจาก : 
 เว็บ พระธรรมเทศนา
 



Create Date : 06 พฤศจิกายน 2566
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2566 8:37:01 น. 22 comments
Counter : 796 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณหอมกร, คุณปัญญา Dh, คุณทนายอ้วน, คุณเริงฤดีนะ, คุณThe Kop Civil, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณเนินน้ำ, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณtoor36, คุณปรศุราม, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณสองแผ่นดิน, คุณhaiku, คุณRain_sk, คุณนกโก๊ก, คุณeternalyrs, คุณSweet_pills, คุณnewyorknurse, คุณNENE77, คุณกะว่าก๋า, คุณJohnV, คุณEmmy Journey พากิน พาเที่ยว, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณวลีลักษณา, คุณtanjira, คุณtuk-tuk@korat


 
สาธุค่ะ


โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 6 พฤศจิกายน 2566 เวลา:9:48:00 น.  

 
อนุโมทนาบุญวันพระจ้า



โดย: หอมกร วันที่: 6 พฤศจิกายน 2566 เวลา:9:55:26 น.  

 
ขอบคุณครับ


โดย: ปัญญา Dh วันที่: 6 พฤศจิกายน 2566 เวลา:10:17:10 น.  

 
สวัสดีครับ

วันนี้วันพระแต่ไม่ได้ถือศีลครับ

ช่วงนี้ตาอักเสบ ต้องกินยาแก้อักเสบ 3 มื้อก่อนอาหารครับ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 6 พฤศจิกายน 2566 เวลา:14:20:22 น.  

 
🙏🙏🙏
ธรรมะสวัสดีค่ะ


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 6 พฤศจิกายน 2566 เวลา:14:57:31 น.  

 


โดย: The Kop Civil วันที่: 6 พฤศจิกายน 2566 เวลา:15:27:18 น.  

 
มาทักทายและส่งกำลังใจค่ะ


โดย: เนินน้ำ วันที่: 6 พฤศจิกายน 2566 เวลา:17:55:21 น.  

 
ลองนำคำสอนไปใช้ก็เป็นการพิสูจน์คำสอนแล้วล่ะครับ น้อมนำมาใช้ดีแน่นอน


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 6 พฤศจิกายน 2566 เวลา:20:25:58 น.  

 
สาธุ


โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 6 พฤศจิกายน 2566 เวลา:22:17:01 น.  

 
ขอบคุณที่กรุณาโหวตให้บล็อกนกผี กวีคำผวน
๏ “มุขตลก” เมื่อใช่ ... ไม่เชื่อ “มุกตลก” ๏
---------------------------------------------------------
พุทธมามกะ ... ไม่สมควรจะมี วิกิจฉา ในคำสอนของพุทธองค์
--------------------------------------------------------
คำสอนของพุทธ มีการสังคายนากันกี่สมัยแลัวนะ
ภาษาที่สื่อถึงคำสอนของพุทธองค์ ทำให้เกิดข้อข้องคับใจ ... มีใครไขข้อข้องคับใจให้เราได้บ้าง
--------------------------------------------------------
นก โก๊กอานนท์ หะนนท์
20 ชม. ·
ข้อคับใจศีลห้า ... ปาณาติปาตาเวรฯ ..... ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
-----------------------------------------------
อยู่เฝ้าสวนป่า จับปูปลากุ้งหอยมาฆ่ากินบ่อยๆ
ทำบาปไว้มาก ... กลัวตกนรกนิ
------------------------------------------------
แบกข้อข้องคับคาใจมาขอปรึกษาคำปรึกษาครับ
รบกวนช่วยไขข้อคับข้องใจให้ด้วย เพื่อกุศลผลบุญครับ
------------------------------------------------------
15.45 น.

๏ สาธุ ตติยข้อ ................. ห้ามกาย
ศีล วิสุทธิมรรค หมาย .... มุ่งให้
เวไนยสัตว์ หญิงชาย ...... ทางโลก
ศีลที่ ห้าม-ห้ามไว้ ------ ทุกข้อใช่หรือ

๏ ถือศีล ถือมั่นทั้ง ............ สองทาง
ทางโลก ถือสายกลาง ..... บอกไว้
ทางธรรม ภิถษุ วาง .......... บทโทษ
อาบัติ ทุศีล ให้ .................. ชะล้างมลทิน

๏ อยู่กิน ร่วมคู่สร้าง ........... ครัวเรือน
ยังชีพ เนื้อสัตว์เฉือน ......... เชีอดได้
เพียงพอเหมาะสม เตือน .. ห้ามฆ่า หมดแล
ข้อลักทรัพย์ ห้ามไว้ .......... ไม่ให้ทำเลย

๏ กาเม เอย ห้ามแน่ ........... ห้ามผิด คู่เอย
กายกรรม เราคิด .................. อาจพลั้ง
ขอวิสัชชนา นิด .................... เพื่อนกวิ ใจเอย
นกคับข้องใจ ตั้ง ................... แต่เข้าวัยฉกรรจ์ ๚ะ๛

16.23 น.
--------------------------------------------------------
อภัยให้ด้วยถ้าเป็นการรบกวนให้รกหน้าเฟส ลบทิ้ง้ให้ด้วยครับ
6 พฤศจิกายน 2566
ความคิดเห็น
อานนท์ หะนนท์
แต่งเพราะครับลุงไม่เก่ง​ ตามนั้นแหละครับ
ตอบกลับ
18 ชม.
-------------------------------------------------------
นก โก๊ก
อานนท์ หะนนท์
ผมยึดถือศีลห้าเป็นหลักในการดำรงชีพ จำเป็นต้องหาอาหารเลี้ยงครอบครัวนะครับ อยู่บ้านสวนป่าห่าวัดห่างวา
ท่านพอจะมีเพื่อนผู้รู้ไขข้อข้องใจนี้ให่ได้ไหมครับ
ตอบกลับ
17 ชม.
-----------------------------------------------------
อานนท์ หะนนท์
นก โก๊ก ลองปรึกษาเพื่อน​ สุธน​ ชูแสง​ ดูครับ
ตอบกลับ
17 ชม.
นก โก๊ก
-------------------------------------------------------
ขอบคุณครับ ไม่รู้ว่าจะปรึกษาได้นช่องทางใดนิ
ตอบกลับ
17 ชม.
อานนท์ หะนนท์
--------------------------------------------------------
นก โก๊ก เฟสเขามีครับ
ตอบกลับ
17 ชม.
-------------------------------------------------------
นก โก๊ก
อานนท์ หะนนท์ ขอบคุณ จะพยายามตามหาคร้บ

เอ้อ ประเด็นหนึ่ง

ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต นี่
เด็ดยอดผักมาทำอาหารกิน นี่ เป็นการตัดชีวิตไหมครับ

ตอบกลับ
17 ชม.
แก้ไขแล้ว
--------------------------------------------------------
อานนท์ หะนนท์
นก โก๊ก ยอดผัก​ มันเป็นพืชหรือสัตว์ละครับ
ตอบกลับ
17 ชม.
-------------------------------------------------------
นก โก๊ก
อานนท์ หะนนท์
นั่นสินะ แต่มันก็มีชีวิตเหมือนกันมไช่หรือ
สัตว์ แค่ฆ่า ก็ตายแล้ว
ตัดผัก ตัดหญ้า ตัดต้นไม้ใบหญ้า เราตัดมัน ก็ตัดชีวิตมันนิ
ผมก็ว่าตามคำพระ ครับ
ตอบกลับ
17 ชม.
แก้ไขแล้ว
-------------------------------------------------------
เราจะวิสัชชนา ปุจฉานี้ ได้เป็นประการใด

ท่านพอจะไขข้อข้องคับใจให้ผมได้บ้างไหมครับ




โดย: นกโก๊ก วันที่: 7 พฤศจิกายน 2566 เวลา:13:42:58 น.  

 
ตอบคุณ นกโก๊ก ครับ

ขอนำบทความ " การฆ่าอย่างไร ไม่เป็นบาป
" ของท่าน ว.วชิรเมธี มาให้อ่านเป็นแนวทาง ครับ

ส่วนเรื่องพืช ตามทัศนะของศาสนาพุทธ...
พืช เป็นสิ่งมีชีวิต ที่ไม่มีจิตวิญญาณครับ


โดย: **mp5** วันที่: 7 พฤศจิกายน 2566 เวลา:15:28:17 น.  

 
ขอบพระคุณ ... เข้าใจกระจ่างแจ้งงแลัวครับ

สัตว์โลก ... มีชีวิต จิตใจ ... มีจิตวิญญาณ
พืช ........... มีชีวิต ไม่มีจิตใจ ... ไม่มีจิตวิญญาณ


โดย: นกโก๊ก วันที่: 7 พฤศจิกายน 2566 เวลา:18:44:39 น.  

 
ไปไม่กลับ
หลับไม่ตื่น
ฟื้นไม่มี
หนีไม่พ้น

คำพระที่จารึกในตาลปัตรพระสงฆ์ 4 รูป
ที่สวดพระอภิธรรมศพ (ชาวบ้านเรียก สวดศพ)

ผมก็คิดคับข้องใจอยู่ตะหงิดๆ ครับว่า

เตือนสติใคร... พระ หรือ ฆราวาส

ไม่รู้ว่าผมนี่มันบ้าไปหรือเปล่าว่า

จารึกไว้ เตือนสติพระภิกษุ ...

ช่วยวิสัชชนา ให้ผมหน่อยได้ไหมคร้บ


โดย: นกโก๊ก วันที่: 7 พฤศจิกายน 2566 เวลา:20:13:12 น.  

 


สาธุค่ะ

..............

ขอบคุณคุณพีสำหรับกำลังใจนะคะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 7 พฤศจิกายน 2566 เวลา:23:44:38 น.  

 
สาธุธรรมครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 พฤศจิกายน 2566 เวลา:14:27:40 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 พฤศจิกายน 2566 เวลา:4:38:48 น.  

 
ตอบคุณ นกโก๊ก ครับ

ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น

คำเตือนเพื่อให้ "มนุษย์" ทั้งหลาย "ไม่ประมาท

ไปไม่กลับ...กาลเวลาผ่านไปไม่หวนคืนกลับมาอีก

หลับไม่ตื่น...คนทั่วไปมักหลงใหลหลับอยู่ในกองกิเลส

ฟื้นไม่มี...กายสังขารย่อมเสื่อมถอยไม่ย้อนคืนกลับ

หนีไม่พ้น...ไม่มีใครที่จะหนีพ้นกรรมของตนได้


โดย: **mp5** วันที่: 9 พฤศจิกายน 2566 เวลา:10:21:30 น.  

 
ขอบคุณครับที่กรุณาเข้ามาให้คำอธิบาย
-----------------------------------------------------

ผมเห็นอะไรก็ไม่รู้นะ ... 28 สิงหาคม 2566
เขียนไว้ว่า

--------------------------------------------------------
ไปไม่กลับ - หลับไม่ตื่น - ฟื้นไม่มี - หนีไม่พ้น
--------------------------------------------------------
คำที่จารึกไว้บนตาลปัตรของพระสงฆ์สี่รูป ที่มานั่งสวดพระภิธรรมหน้าโลงศพของผู้ตายในทุกค่ำคืน ก่อนที่จะถึงวันปลงศพนั้น ข้อความทั้งสี่ ... จารึก
ไว้เพื่อเตือนใจใครกันนะ ... เตือนใจญาติโยมที่มาร่วมพิธีศพ ... หรือ ... เตือนใจพระสงฆ์ที่ตัดสินใจเดินในเส้นทางธรรมซึ่งเป็นเส้นทางตาย ... กันแน่

คงไม่ใช่ ฆราวาส ผู้เดินในเส้นทางโลก เพราะ อาจจะมีสักวันหนึ่ง ที่บางคนตัดสินใจเดินไปแล้วหันหลังกลับมาเดินในเส้นทางธรรม นั่นก็คือ ...ไปแล้วกลับ ไม่ใช่หรือ

ไปไม่กลับ

... เมื่อไม่เตือน ฆราวาส ... ก็ต้องจารึกไว้เพื่อเตือนสติ พระสงฆ์ ที่ถือตาลปัตรไปสวดศพ ซึ่งไปแล้วกลับมาจำวัดตามปกติ ของพระคุณเจ้า
ต้องไม่ใช่ทางที่...ไปไม่กลับ แน่นอน... ทางที่พระสงฆ์ไปแล้วไม่กลับ
ต้องเป็น เส้นทางธรรม ที่พระคุณเจ้าได้เลือกไปแล้ว
พระคุณเจ้าต้องไม่เดินวนเวียนกลับไปกลับมา ... ต้อง ... ไปไม่กลับ

หลับไม่ตื่น

... คนตายไม่ใช่คนนอนหลับ ... คนนอนหลับต้องตื่น ... ฆราวาสทุกคนหลับแล้วตื่น ... ตื่นแล้วลุกขึ้นมาทำมาหากิน ... พระสงฆ์ทุกรูป
หลับแล้วตื่น ไม่ต้องตื่นมาทำมาหากิน .ด้วยมีฆราวาสหาให้กิน เพียงเดินไปรับบิณฑบาตรจากผู้ใจบุญดังที่กล่าวมาแล้วเท่านั้น ... พระคุณเจ้าหลับแล้วตื่นตามปกติ

แต่ ... ถ้า นกเขา ของพระคุณเจ้ามันตื่นขึ้นมาด้วย... จะเกิดอะไรขึ้น

ฉะนั้น ... พระคุณเจ้าต้อง สวดมนต์สะกดนกเขา ของพระคุณเจ้า ไว้ให้... หลับไหลตลอดเวลา ... มันต้อง ... หลับไม่ตื่น

ฟื้นไม่มี

... แน่นอน ... ต้องอย่ามานั่งรื้อฟื้นความหลังก่อนตัดสินใจเข้ามาในเส้นทางธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟื้นจิตใต้สำนึก

หนีไม่พ้น

... พระคุณเจ้าจะหนีจากคนเข้ามาทำบุญที่วัดได้อย่างไร ... หนีสิ่งยั่วยวนใจในทางโลกไม่พ้น แน่นอน ... ถ้ายิ่งเกิดไป รื้อฟื้น
จิตใต้สำนึก ที่ เกิดมาเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ เมื่อใด นกเขา ที่ หลับต้องตื่น ขึ้นมาเมื่อนั้น ถูกจับสึกออกมา กลับไป เดินในเส้นทางโลกอีกจนได้
-----------------------------
วิบากกรรม ของ เรา - ท่าน ผู้ตัดสินใจเข้าสู่ เส้นทางธรรม .... ไปไม่กลับ - หลับไม่ตื่น - ฟื้นไม่มี - หนีไม่พ้น … เวรกรรม มีจริง พระคุณเจ้าจะหนีพ้นหรือไม่
------------------------------

สิ่งที่เข้ามาในจิต แล้วทำให้ใจคิด ให้สมองประมวลผล สั่งให้กายจิ้มคียร์บอร์ดไป

ทำไม ทำไม ทำไม ...อัดอั้นตันใจมาก

ขอช่วยวิสัชชนาด้วยครับ จะเป็นพระคุณยิ่ง


โดย: นกโก๊ก วันที่: 9 พฤศจิกายน 2566 เวลา:11:03:33 น.  

 
สวัสดี จ้ะ น้องเอ็ม

มารับ มาอ่าน ธรรมะ ข้อคิด ดี ๆ จากบล็อก
เธอ จ้ะ ขอบใจ ข้อคิดดี ๆ ด้วย จ้ะ

โหวดหมวด ข้อคิดและธรรมะ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 9 พฤศจิกายน 2566 เวลา:21:54:03 น.  

 

วิบากกรรม ของ เรา - ท่าน ผู้ตัดสินใจเข้าสู่ เส้นทางธรรม .... ไปไม่กลับ - หลับไม่ตื่น - ฟื้นไม่มี - หนีไม่พ้น … เวรกรรม มีจริง พระคุณเจ้าจะหนีพ้นหรือไม่
------------------------------

สิ่งที่เข้ามาในจิต แล้วทำให้ใจคิด ให้สมองประมวลผล สั่งให้กายจิ้มคียร์บอร์ดไป

ทำไม ทำไม ทำไม ...อัดอั้นตันใจมาก

ขอช่วยวิสัชชนาด้วยครับ จะเป็นพระคุณยิ่ง

..........................................

" สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม "

ธรรมะโดย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

.................................................


โดย: **mp5** วันที่: 10 พฤศจิกายน 2566 เวลา:10:22:53 น.  

 
..........................................

" สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม "

ธรรมะโดย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

.................................................
ครับผมเข้าใจ

แต่ไม่แจ่มแจ้งว่า

กรรมที่ทำในชาตินี้ หรือ กรรมที่ติดจืตวิญญาณมาแต่ชาติปางก่อน
---------------------------------------

ผมขอรบกวนท่านเป็นประเด็นสุดท้าย

ผมไม่ต้องการคำอธิบาย เพียงต้องการระบายความอัดอั้นตันใจอกไปเสียบ้างให้คลสยความอัดอั้นตันใจ

ผมจะพยามยามห้ามใจตนเองให้ได้
จะได้เลิกฝันเพ้อเจ้อไปในลักษณะนี้

คำขอคำแนะนำจากท่าน ถ้ามีผลทำให้พระพุืธศาสนาของเราเสื่อมทรามไป ... ขอท่านได้โปรดลบทิ้งจากบล๊อกท่านด้วย

ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ที่ตอบรับผมด้วยจิตทีเมตตา
--------------------------------------------------------


7.57 น.

๏ ฝั่งฝันเรา เขาเห็น เช่นไรเล่า
ฝั่งฝันเขา เราเห็น เช่นเขาไหม
ข่าวว่ามี "มณีแดง" แทงใจใคร
งานวิจัย ไขว่า "ยายืดอายุเซล"

๏ เฒ่าชะแร แก่ชรา หาซื้อกิน
หวังชีวิน ดิ้นได้ ใช่ฝันเห็น
อยู่ค้ำฟ้า ผาสุก ทุกเช้าเย็น
"มณีแดง"เด่น เป็นยา "อายุวัฒนะ"

๏ ฝันหาลู่ทางอยู่รอดตลอดไป
"ฝั่งฝัน" ใช่ เป้าหมาย ได้ "ชีวิตอมตะ"
มนุษยโลก โชคดี มีไหมนะ
"ฝั่งฝัน" น่าจะเป็น เช่นนี้ไหม ๚ะ๛

18.06 น.
26 พศจิกายน 2566
--------------------------------------------------------
นกผีฝันไปทำไมทั้งๆ ที่รู้แน่ชัดว่าไม่มีวันที่จะถึงฝั่งฝันนั้น ...
วันนี้ ตัดสินบอกความในใจที่อัดอั้นอยู่เเต็มอก ... ให้เพื่อนๆ รู้
--------------------------------------------------------
Porntip Tolbert
จะอยู่ไปทำไมนานนักทุกไม่พอกันหรือไงจะยืดเวลาความทุกข์ออกไปอีก
---------------------------------------------------------
นก โก๊ก
Porntip Tolbert

คนร่ำรวยล้นฟ้า ไม่มีทายาทรับมรดกหวังเช่นนั้นกันทุกคน
บอกตรงๆ นะผมคิดว่า ผมน่าจะเข้าใจวิถีชีวิตถูกต้องแล้ว
ตามที่พุทธองค์รู้แจ้งในธรรมชาติวิสัยของมนุุษยโลก
เราเกิดมาดำเนินชีวิตไปตามเส้นทางของชีวิต
ถึงวัยมีคู่ครอง ... เราเดินทางมาถึงจุดใดในเส้นทางชีวิตนี้
ครับ ... เราต้องมายืนอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของเส้นทางชีวิต
มีครอบครัว ทุกคนต้องฝันว่า ครอบครัวต้องอยู่รอดตลอดไป
จึงเดินทางมุ่งหน้าไปให้ถึงจุดที่ต้องอยู่รอด --ไม่ตาย(อมตะ)
---------------------------------------------
พุทธองค์ตรัสรู้แล้ว พุทธองค์เข้าถึงฝั่งฝันแล้ว
--->ทำอย่างไรจึงจะ "เกิดแล้วไม่ตาย" ทรงเข้าถึง นิพพาน
<---พระยามารทูลขอพุทธองค์ --->อย่าฝืนธรรมชาติ
พุทธองค์เข้าใจตามที่พระยามารทูลขอพระองค์ พุทธองค์รู้แจ้งแล้วว่า
ถ้ามนุษยโลกเกิดแล้วไม่ตาย คนล้นโลก โลกต้องแตก
>พุทธองค์จะปลงพระชนม์ชีพได้ต้อง"ปรินิพพาน"(ปริ-แตก)<
--------------------------------------------------------
ต้องทำให้นิพพาน ที่เป็นอมตะแกสลายไป
จึงจะมรณะได้
--------------------------------------------------------
ตรัสรู้คืนวันเพ็ญเดือน 6 พุทธองค์เข้าถึง นิพพาน ตอนย่ำรุุ่ง
พุทธองค์ทรงใช้เวลาอีก 7 วัน 7 คืน
หันหล้งกลับเดินไปสู่จุดเริ่มต้นของเส้นทางชีวิต(จุดการจุติในครรถ์มารดา)
พุทธองค์ทรงเข้าถึงแล้วในวิถีการผสมพันธุ์ของไข่และอสุจิ
--->ทำอย่างไรจึงจะ "ตายแล้วไม่เกิด" ทรงเข้าถึง ปรินิพพาน
----------------------มรณะ---------------------
ทำอย่างไรจึงจะชลอการเกิด ให้โลกดำรงอยู่ได้ 5,000 ปี
- พุทธองค์รู้แจ้งแก่ใจ .... ต้องห้ามไม่ให้ อสุจิ เข้าถึง ไข่ -
----------------------------------------------------
- นกผีเข้าใจอย่างนี้ --- ไม่รู้ว่าว่า เราเข้าใจถูกหรือไม่ -
-----------------------------------------------------
เส้นทางชีวิต ... ต้นทาง "มรณะ" ....ฝั่งฝัน ปลายทาง "อมตะ
นกผี เพียงต้องการจะพิสูจน์ว่า ฝั่งฝัน คือ ชีวิตอมตะ ใช่หรือไม่
ช่วงวินาทีสุดท้ายของชีวิต นกผีจะกลับหลังหันไปจุดต้นทาง
.
...ปล่อยวางจิตวิญญาณของมนุษย์ให้แตกสลายไป
คิดว่า จิตวิญญาณมนุษย์ที่เป็นอมตะแตกสลายไปแล้ว
จะไปจุติใหม่เป็น จิตเทพในสวรรค์ .. เพี้ยง ขอให้เป็นจริงด้วยเทอญ
----------------------------------------------------
...ขอบูชาพุทธองค์ ขอภาวนาให้เพื่อนๆ มาอ่านความเห็นนี้ ...
8/11/2566
-----------------------------------------------------
12.56 น.

๏ หมดแรงบิน ดิ้นรน เดินบนพื้น
เรี่ยวแรงฟื้น ขึ้นบิน กินลมเล่น
ไปเรื่อยเรื่อย เหนื่อยไหน คบไม้-เอน
หลัง-ลมเย็น เผ่นโผน โจนทะยาน

๏ ร้อยลักษณ์ สลักกลอน ขัดก่อนพลาด
ทรนง องอาจ ชาติทหาร
เป้าหมายหลัก จากฝัน ทุกวันวาร
จะบิน,คลาน ผ่านนภา,ผ่านปฐพี

๏ สู่เป้าหมาย ปลายทาง อย่างที่ฝัน
จะรอดอยู่ ดูมัน ว่าวันนี้
สัญญาณชีพ หริบหรี่ วัน-ชีวี
เป็นอมตะ-จะมี เหมือนที่เรา ... เฝ้าฝันกันหรือไม่ แลนาบารนี ๚ะ๛

13.20 น.

7/11/2566


โดย: นกโก๊ก วันที่: 10 พฤศจิกายน 2566 เวลา:10:57:57 น.  

 
ขอบคุณครับคุณ mp5


โดย: ปัญญา Dh วันที่: 11 พฤศจิกายน 2566 เวลา:20:04:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

**mp5**
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 88 คน [?]




สวัสดีครับ

ขอส่งความสุขให้กับทุกคน




New Comments
Friends' blogs
[Add **mp5**'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.