Group Blog
 
<<
มกราคม 2567
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
10 มกราคม 2567
 
All Blogs
 
ปฏิจจสมุปบาท

               

                 ที่เราเป็นกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นผลที่เกิดจากการกระทำของเราทั้งนั้น ถ้าไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ก็ต้องระงับที่เหตุ คืออย่ามาเกิด ถ้าไม่เกิดแล้วก็จะไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย ถ้าเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ก็ยังต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายเหมือนกัน ต้องใช้ปัญญาพิจารณาถึงจะฉลาด เป็นกุศลเป็นกุสลา เท่าที่ฟังดูพวกเรายังไม่ค่อยใช้ปัญญากันเท่าไร ยังใช้อวิชชา ยังใช้ตัณหาความอยาก ภวตัณหา วิภวตัณหา อยากมีอยากเป็นอยากอยู่นานๆ อยากให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บกันอยู่ มันเป็นสมุทัยต้นเหตุของความทุกข์ ออกมาจากความหลง ออกมาจากอวิชชา อวิชชาปัจจยาสังขารา สังขาราปัจจยาวิญญาณัง เรื่อยไปจนถึงตัณหา พิจารณาปฏิจจสมุปบาทดูออกมาจากอวิชชาไปสู่สังขารความคิดปรุงแต่ง ไปสู่วิญญาณ ไปสู่นามรูป ไปสู่อายตนะ ตาหูจมูกลิ้นกาย ไปสู่ผัสสะ ไปสู่เวทนา ไปสู่ตัณหา ไปสู่อุปาทาน ไปสู่ภว ไปเกิดใหม่ ออกมาจากอวิชชาทั้งนั้น ความคิดของเราส่วนใหญ่จะออกมาจากอวิชชา มาจากโมหะความหลง ถ้าออกมาจากปัญญา ออกมาจากธรรมะก็จะต้องเห็นไตรลักษณ์ เห็นว่าการเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา เป็นแล้วหายก็ได้ ไม่หายก็ได้
 
โรคก็มีอยู่ ๓ ชนิดด้วยกัน ชนิดที่เป็นแล้วหายเอง ไม่ต้องทำอะไร โรคที่ต้องใช้ยาถึงจะหาย แล้วก็โรคที่ใช้ยาอะไรก็ไม่หาย ต้องใช้ฟืนอย่างเดียวถึงจะหาย หายไปหมด รับรองโรคจะไม่กลับคืนมาอีก จะไม่เป็นโรคอะไรอีก หายอย่างเด็ดขาด คนเราที่ทรมานกันก็ตอนที่จะตายนี่แหละ คนที่อยู่ก็ทรมานด้วย พอตายไปแล้วก็หายทรมาน เผาศพเรียบร้อยแล้ว คนอยู่ก็อยู่ต่อไป ไม่ทุกข์กับคนที่ตายไปแล้ว ท่านจึงทรงสอนให้เจริญอนิจจัง คือมรณานุสติอยู่เสมอ พิจารณาว่าเกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ต้องพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ถ้าพิจารณาอย่างนี้อยู่เรื่อยๆแล้ว จะมีธรรมะเป็นผู้บัญชาการ เป็นผู้สั่งความคิด พอไม่สบายก็รู้ว่ามีแค่ ๓ โรค  ถ้าเจอ ๒ โรคแรกก็ยังอยู่ต่อไปได้ ถ้าเจอโรคที่ ๓ ก็ต้องลาจากกัน ทุกคนต้องเจอโรคชนิดที่ ๓ นี้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แม้แต่พระบรมศาสดา พระอรหันตสาวก ครูบาอาจารย์ผู้ที่พวกเราเคารพกราบไหว้บูชาก็ต้องจากไป ตั้งแต่หลวงปู่มั่นลงมา อ่านหนังสือประวัติหลวงปู่มั่นให้ได้คติ ก็ต้องอ่านแล้วเอามาเป็นคติสอนใจเตือนใจอยู่เสมอว่า พวกเราทุกคนอยู่ท่ามกลางความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความพลัดพรากจากกัน ไม่ควรฝืนความจริงนี้ ควรน้อมรับความจริงนี้เข้าสู่ใจ เพราะจะทำให้ใจเปลี่ยนจากโง่เขลาเบาปัญญา มาเป็นผู้ฉลาดรู้ทันกิเลส ที่คอยหลอกล่อให้สร้างความทุกข์ มาเบียดเบียนจิตใจ ใจไม่ได้ตายไปกับร่างกาย แต่กลับต้องมาเดือดร้อนกับร่างกายไม่รู้จักจบจักสิ้น ร่างกายที่จะตายที่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะร่างกายไม่มีตัวรู้ ตัวที่จะเดือดร้อนได้ ร่างกายเป็นเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน เหมือนต้นไม้ เหมือนวัตถุสิ่งของต่างๆ เขาไม่เดือดร้อนกับความเป็นไปต่างๆ แต่ผู้ที่เดือดร้อนก็คือผู้ที่มาครอบครอง มายึดมาติด มาถือว่าเป็นของตน แม้แต่ร่างกายของผู้อื่น พอไปยึดติดด้วยความหลง ก็ต้องไปทุกข์กับเขา ทั้งๆที่ไม่ใช่ตัวเราของเราแท้ๆ เห็นอยู่ชัดๆ แต่ก็ยังไปหลงยึดติดว่าเป็นตัวเราของเรา เป็นสามีของเรา เป็นภรรยาของเรา พอเขาเป็นอะไรไปก็ทุกข์ร้อนวุ่นวายใจขึ้นมา ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้เป็นอะไร ร่างกายก็ปกติ ใจถ้ามีธรรมะก็จะเป็นปกติ ถ้าไม่มีธรรมะก็จะทุกข์ร้อนวุ่นวาย
 
ถ้าพิจารณาอย่างนี้ก็จะเห็นว่า ปัญหาทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจเท่านั้นเอง ใจที่วุ่นวาย ร่างกายไม่วุ่นวาย ไม่ว่าร่างกายจะเป็นของใครก็ตาม เขาก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของเขา มีปัจจัยทำให้เขาตั้งอยู่ได้เขาก็ตั้งอยู่ ถ้าปัจจัยบกพร่องไปก็มีการอาพาธเกิดขึ้นมา ถ้าขาดมากๆก็จะหยุดทำงาน แล้วก็แยกตัวออกจากกัน ร่างกายไม่ได้ประกอบขึ้นจากสิ่งเดียว แต่ประกอบจากธาตุ ๔ คือดินน้ำลมไฟ ที่มารวมกัน ด้วยการรับประทานอาหาร การหายใจ การดื่มน้ำ รวมตัวกันเป็นอาการ ๓๒ เช่นผมขนเล็บฟันหนังเป็นต้น แล้วก็อยู่กันไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงเวลาแยกจากกัน น้ำก็กลับคืนสู่น้ำ ดินก็กลับคืนสู่ดิน ลมก็กลับคืนสู่ลม ไฟก็กลับคืนสู่ไฟ ใจที่มาครอบครอง ที่วุ่นวายที่ทุกข์ ก็ไปหาร่างใหม่ เพราะอวิชชาความหลงยังทำให้มีความอยากอยู่ ยังอยากมีอยากเป็น จึงต้องไปสู่ร่างใหม่สู่ภพใหม่ เพื่อตอบสนองความอยาก ถ้าใจมีธรรมะสมบรูณ์จนไม่มีความอยากหลงเหลืออยู่แล้ว เวลาร่างกายแตกสามัคคีแยกออกจากกันไป ใจก็รับรู้ตามความเป็นจริง ตั้งอยู่ในความสงบเป็นอุเบกขา เช่นขณะที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็ทรงเสด็จเข้าสู่ฌานขั้นต่างๆ ทั้งรูปฌานและอรูปฌาน ก่อนที่จะเสด็จนิพพานระหว่างรูปฌานและอรูปฌาน คือทรงเข้าทั้งรูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ แล้วกลับลงมาตามลำดับจนถึงจิตปกติ แล้วก็ทรงเข้ารูปฌานใหม่ ขั้นที่ ๑ ที่ ๒  ที่ ๓  ที่ ๔  พอออกจากขั้นที่ ๔  ก็ไม่ได้เข้าอรูปฌานต่อ ทรงหยุดอยู่ตรงนั้น ทรงปล่อยวางสังขารร่างกายตรงนั้น จิตของพระองค์ไม่ได้วุ่นวายเดือดร้อน ไม่ได้วิงวอนขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยทำให้ร่างกายหายจากโรคภัยไข้เจ็บ นี่คือตายด้วยธรรมะ ตายด้วยปัญญา ตายด้วยความสงบสุข ไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อน ถ้าตายด้วยอวิชชา ก็จะมีแต่ความหวาดผวาหวาดกลัว มีแต่ความอยาก อยากไม่ตาย อยากอยู่ต่อ กลัวความตาย ที่จะทำให้จิตใจทุกข์อย่างมาก
 
สิ่งที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกได้ทำกัน เป็นสิ่งที่พวกเราทำกันได้ ถ้าฝึกอยู่เรื่อยๆ คือการเจริญจิตตภาวนา ทั้งสมถะและวิปัสสนา ทำสลับกันไป เวลาทำสมถะผลที่ต้องการก็คือความสงบ ทำให้จิตนิ่งอย่างเดียว ไม่ให้คิดปรุงแต่ง ให้สงบเย็นสบาย เหมือนกับพักผ่อนหลับนอน ไม่ให้ฝัน แต่ให้หลับสนิท ถ้าฝันจิตจะไม่ได้พักผ่อน ถ้าจิตสงบแล้วออกไปรับรู้เรื่องราวต่างๆ จิตก็ยังทำงานอยู่ พอออกจากความสงบแบบนี้ จิตจะไม่สดชื่นเบิกบาน เพราะเหมือนกับไม่ได้พักผ่อน จะไม่มีกำลังที่จะมาเจริญวิปัสสนาเจริญปัญญา เพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงถึงสภาวธรรมทั้งหลายว่าเป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่ว่าจะเป็นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ไม่ว่าจะเป็นตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่ว่าจะเป็นรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ล้วนเป็นอนิจจังทั้งนั้น ไม่จีรังถาวรคงเส้นคงวาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เห็นรูปนี้แล้วเดี๋ยวก็เห็นอีกรูปหนึ่ง ได้ยินเสียงนี้แล้วก็ได้ยินอีกเสียงหนึ่ง เป็นทุกข์เวลาเห็นรูปที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง ได้ยินเสียงที่พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง เป็นอนัตตาบังคับเขาไม่ได้ ถ้ามีปัญญาเราจะฉลาด จะรับได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี เพราะธรรมชาติของใจนี้สามารถรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด ไม่มีอะไรที่ใจรับรู้ไม่ได้ เพียงแต่ว่าจะรับรู้แบบไหน ถ้ารับรู้ด้วยปัญญาก็รับรู้ด้วยการปล่อยวาง รับรู้ด้วยอุเบกขา ถ้ารับรู้ด้วยอวิชชาก็จะรับรู้ด้วยตัณหา เพราะอวิชชาจะแยกแยะสิ่งที่รับรู้มาเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายที่ดีหรือที่ชอบ ถ้าชอบก็ว่าดี อยากได้ ฝ่ายที่ไม่ชอบก็ว่าไม่ดี ไม่อยากได้ เป็นตัณหาความอยาก คือภวตัณหาและวิภวตัณหาขึ้นมา ถ้าชอบก็เกิดภวตัณหาอยากได้ ถ้าไม่ชอบก็เกิดวิภวตัณหา เกิดความกลัว อยากให้สิ่งที่ไม่ชอบหายไป อยากหนีจากสิ่งที่ไม่ชอบไป
 
ถ้ามีอวิชชาความหลงความไม่เข้าใจเป็นผู้บงการ ก็จะมีความรักความชัง มีความกลัว มีตัณหามีอุปาทานตามมา มีภวตามมา ถ้ามีปัญญาก็จะรับรู้เฉยๆ รับรู้แล้วก็ปล่อยวาง ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องมีปฏิกิริยาตอบโต้ ตอบรับ ก็ตอบรับด้วยเหตุด้วยผลด้วยปัญญา เช่นได้ยินเขาพูดอะไรก็ฟังที่เหตุผล ไม่ได้ฟังที่กิริยาอาการว่าเขาพูดดีหรือไม่ดี เรียบร้อยหรือไม่เรียบร้อย สุภาพไม่สุภาพ ฟังเอาสาระ ว่าเขากำลังสื่ออะไรกับเรา แล้วก็ตอบกลับไปด้วยสาระด้วยเหตุผล เช่นเขาพูดว่า ไปเอาน้ำมาแก้วหนึ่ง ถ้าฟังด้วยทิฐิก็จะว่าพูดไม่เพราะ เราเป็นผู้ใหญ่ ก็จะโกรธได้ ถ้าฟังด้วยเหตุผล ว่าเขาต้องการน้ำ ให้เขาได้ก็ให้เขาไป เป็นการให้ทาน ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน อยู่ที่ว่ามีตัวตนหรือไม่ ถือตัวตนหรือไม่ การถือตัวตนเป็นอวิชชา เป็นความหลง การไม่ถือตัวตนเป็นปัญญา ช่วยเหลือเขาได้ก็ช่วยเหลือเขาไป ช่วยเหลือไม่ได้ก็ไม่เดือดร้อน ก็ปล่อยเขาไป ไม่ต้องมามีความรู้สึกไม่พอใจ ว่าพูดจาไม่ดี จึงไม่ให้ ถ้าพูดจาดีจึงจะให้ นอกจากจะเป็นการสั่งสอนกัน  สั่งสอนให้รู้ว่าพูดจาอย่างนี้ไม่ดี จะไม่ให้ เป็นการลงโทษเป็นการสั่งสอน แต่ถ้าเป็นเรื่องของมนุษยธรรม ถึงแม้จะพูดไม่เพราะ เพราะไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนมา เช่นหมาหิวน้ำ ก็เห่าขอความช่วยเหลือ จะไปว่าพูดไม่เพราะไม่ได้ เป็นหมาก็ต้องพูดแบบหมา คนที่ไม่ได้รับการอบรมก็เหมือนหมานั่นแหละ ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ ไม่รู้จักตน ไม่รู้จักบุคคล  คนฟังถ้ามีปัญญามีความเมตตาก็จะให้อภัยได้ ถ้าเห็นว่าพูดด้วยความไม่รู้จริงๆ ไม่ได้พูดด้วยเจตนาที่จะลบหลู่ดูหมิ่น หรือถึงแม้จะมีเจตนาก็ไม่โกรธไม่ถือโทษ แต่อาจจะไม่ทำตามที่ขอร้องก็ได้ เพราะจะได้ดัดนิสัย ไม่อย่างนั้นก็จะเสียนิสัย
 
การมีปฏิกิริยาตอบโต้นี้ มีได้หลายแง่หลายมุม แต่จะไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จะเป็นไปตามเหตุตามผล ขึ้นอยู่ว่าจะเอาเหตุผลมุมไหนแง่ไหนมาใช้เป็นองค์ประกอบของการตัดสินใจ ว่าควรจะทำอย่างไรดี ควรจะให้มากควรจะให้น้อย ก็วิเคราะห์กันไปตามเรื่อง เมื่อเช้านี้เดินบิณฑบาตก็มีญาติโยมคนหนึ่งใส่บาตรประจำ บอกว่ามีชายชราคนหนึ่งอาศัยอยู่ในสวนของเศรษฐีที่ปล่อยร้างไว้ ตอนนี้ไม่สบายมาก เอาน้ำเอาข้าวไปให้รับประทาน เขาก็ไม่ยอมรับประทาน นอนกระแด่วๆอยู่ ไม่รู้จะทำอย่างไร ลูกหลานก็ไม่มี บัตรที่จะรักษาบัตร ๓๐ บาทก็ไม่มี ก็เลยขอร้องให้ช่วย เราก็บอกว่าต้องไปคุยกับเขาดูก่อน ว่าอยากจะไปรักษาตัวไหม ถ้าอยากจะไปแต่ไม่มีเงินรักษา ก็จะดูแลให้ ที่โรงพยาบาลก็พอจะรู้จักกับหมอกับพยาบาล ถ้ามีช่องทางพอที่จะสงเคราะห์เขาได้ก็สงเคราะห์เขาไป ถ้าต้องมีค่าใช้จ่ายก็ยินดีที่จะช่วยเขา แต่ต้องให้เขาสมัครใจไป จะไม่ไปฝืนเขา เพราะเขาอาจจะมีปัญญาก็ได้ เห็นว่าถึงเวลาจะตายแล้วก็ปล่อยให้ตายไป ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะไม่ขัดศรัทธา เพราะไม่ได้เป็นการตายแบบกิเลส ถ้าเห็นว่าถึงวาระที่จะไป ไม่ฝืน ยอมปล่อยให้เป็นไปตามความเป็นจริง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ควรไปฝืนเขา ไม่ควรไปบังคับเขา ไม่ควรไปลากเขาให้ไปทรมานอยู่ในโรงพยาบาล ก็เลยมาบอกกับมัคนายกที่วัด ให้ช่วยสอบถามดู ว่าจะทำอะไรได้บ้าง พอทำได้ก็ทำไป แต่ไม่ได้ไปวิตกว่าจะหายหรือไม่หาย จะตายหรือไม่ตาย เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา ไปกำหนดชะตากรรมของผู้อื่นไม่ได้ จะให้เขาหายหรือไม่หาย จะให้เขาตายหรือไม่ตาย สิ่งที่ทำได้ก็คือช่วยเหลือเขาในด้านปัจจัย ๔ ถ้าพร้อมที่จะรับก็ยินดีที่จะให้ ไม่รู้จักกันมาก่อน ถ้ายังไม่ถึงวาระเขาก็อาจจะหายได้ ถ้าถึงวาระก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องของธรรมะเป็นอย่างนี้ จะมีแต่เหตุแต่ผลอย่างเดียว ไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด


 
 
......................................................



ขอขอบคุณที่มาจาก : 
 เว็บ พระธรรมเทศนา
 



Create Date : 10 มกราคม 2567
Last Update : 10 มกราคม 2567 8:49:33 น. 20 comments
Counter : 555 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณหอมกร, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณปัญญา Dh, คุณปรศุราม, คุณEmmy Journey พากิน พาเที่ยว, คุณThe Kop Civil, คุณhaiku, คุณtoor36, คุณสองแผ่นดิน, คุณSweet_pills, คุณอุ้มสี, คุณtuk-tuk@korat, คุณกะว่าก๋า, คุณดอยสะเก็ด, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณeternalyrs, คุณทุเรียนกวน ป่วนรัก, คุณmultiple, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณSleepless Sea, คุณเนินน้ำ, คุณร่มไม้เย็น, คุณkae+aoe


 
สวัสดียามสายค่ะ คุณเอ็ม

คิดดี ทำดี ชีวิตเราก็จะมีความสุขจริงๆค่ะ


โดย: โฮมสเตย์ริมน้ำ วันที่: 10 มกราคม 2567 เวลา:9:04:34 น.  

 
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
**mp5** Dharma Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น

-------------------

สวัสดีปีใหม่ค่ะ
โหวตแล้วไม่ขึ้นนะคะ



โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 10 มกราคม 2567 เวลา:9:07:11 น.  

 
อนุโมทนาบุญวันพะจ้า



โดย: หอมกร วันที่: 10 มกราคม 2567 เวลา:10:14:19 น.  

 
สวัสดีครับคุณ mp5

ขอบคุณสำหรับกำลังใจด้วยครับ


โดย: ปัญญา Dh วันที่: 10 มกราคม 2567 เวลา:14:22:09 น.  

 
ปางนวศกวกหล้า​ นรารมย์
ศานติสุขทุกวารชม​ ชื่นหมาย
สัมฤทธิ์​นิจสิ่งสม​ เสมอมาด
โรคะพยาธิ​สลาย​ ร้างไร้กังวล


โดย: ปรศุราม วันที่: 10 มกราคม 2567 เวลา:14:57:43 น.  

 
สวัสดีปีใหม่ 2567 ค่ะ


โดย: Emmy Journey พากิน พาเที่ยว วันที่: 10 มกราคม 2567 เวลา:15:32:35 น.  

 


โดย: The Kop Civil วันที่: 10 มกราคม 2567 เวลา:15:48:18 น.  

 
แม้มันจะยากแต่เอาจริงๆ ผมก็อยากหลุดไปจากการเวียนว่ายตายเกิดนะ เบื่อชีวิตครับ


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 10 มกราคม 2567 เวลา:21:54:40 น.  

 
สาธุ


โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 10 มกราคม 2567 เวลา:23:16:14 น.  

 


สาธุค่ะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 10 มกราคม 2567 เวลา:23:56:43 น.  

 
สาธุ อนุโมทามิ


โดย: อุ้มสี วันที่: 11 มกราคม 2567 เวลา:8:29:32 น.  

 


เป็นเรื่องที่ติดไว้นานแล้วว่าจะหามาอ่านให้เข้าใจ
ขอบคุณค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 11 มกราคม 2567 เวลา:10:07:07 น.  

 
เป็นหัวข้อธรรมที่สำคัญเช่นกันนะครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 มกราคม 2567 เวลา:15:17:08 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 มกราคม 2567 เวลา:5:14:52 น.  

 
สวัสดีจ้ะ น้องเอ็ม
อ่านแล้ว ชอบข้อความนี้ จ้ะ
"โรคก็มีอยู่ ๓ ชนิดด้วยกัน ชนิดที่เป็นแล้วหายเอง ไม่ต้องทำอะไร โรคที่ต้องใช้ยาถึงจะหาย แล้วก็โรคที่ใช้ยาอะไรก็ไม่หาย ต้องใช้ฟืนอย่างเดียวถึงจะหาย หายไปหมด รับรองโรคจะไม่กลับคืนมาอีก จะไม่เป็นโรคอะไรอีก หายอย่างเด็ดขาด คนเราที่ทรมานกันก็ตอนที่จะตายนี่แหละ "
เป็นความจริงเลย จ้ะ ถ้าเราจะไม่ทุกข์ ไม่
ทรมาน ก็คือ ตายแล้วไม่ต้องมาเกิด จ้ะ อิอิ
โหวดหมวด ข้อคิดและธรรมะ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 12 มกราคม 2567 เวลา:9:16:17 น.  

 
ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมค่ะ


โดย: eternalyrs วันที่: 12 มกราคม 2567 เวลา:12:20:04 น.  

 
ขอบคุณสำหรับธรรมะดี ๆ ครับ


โดย: ทุเรียนกวน ป่วนรัก วันที่: 12 มกราคม 2567 เวลา:12:32:25 น.  

 
คนเราจะคิดถึงธรรมะ ก็ยามเจ็บป่วยหนักๆนะครับ
ต้องไปบนบานศาลกล่าว ให้คุณพระช่วย
แต่ร่างกายเราก็ต้องมีหมดอายุ บางชิ้นมีอะไหล่ซ่อมได้ บางอย่างก็ซ่อมไม่ได้
ก็ต้องระลึกและมีสติในการใช้ชีวิต ไม่ประมาทนะครับ

สวัสดีปีใหม่ แล้วก็ ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมเยียนกันนะครับคุณพี่



โดย: multiple วันที่: 12 มกราคม 2567 เวลา:18:51:45 น.  

 


ขอบคุณคุณพีสำหรับกำลังใจนะคะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 13 มกราคม 2567 เวลา:0:53:27 น.  

 
มาทักทายและส่งกำลังใจค่ะ


โดย: เนินน้ำ วันที่: 14 มกราคม 2567 เวลา:12:07:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

**mp5**
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 88 คน [?]




สวัสดีครับ

ขอส่งความสุขให้กับทุกคน




New Comments
Friends' blogs
[Add **mp5**'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.