เยอรมันนีในความทรงจำ
ครั้งนี้อาจเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ ที่ฉันเห็นชื่อตัวเองในตารางบินว่าต้องไปนอนค้างคืนแถบยุโรปแล้วฉันไม่ได้รู้สึกดีใจหรือตื่นเต้นอะไรเลยสักนิดเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนอนค้างครั้งนี้เป็นเมืองเบียร์เยอรมันนามว่า "แฟรงเฟิร์ต" และกลับยิ่งเศร้าหนักกว่าเก่าเมื่อรู้ว่าจะได้ไปถึง 4 วัน 3 คืน...และเหตุผลจะเป็นอะไรอื่นไม่ได้ นอกจาก..."เรื่องผี" !!
ก่อนจะมาไฟลท์นี้เป็นเดือน คนรอบข้างฉันไม่ว่าคนไหนเจอหน้ากันทีไรเป็นอันต้องเล่าเรื่อง "ผีแฟรงเฟิร์ต" กันอย่างถ้วนหน้า ลือกันนักกันหนาว่าระบาดอาละวาดหนักเหลือเกินช่วงนี้ ใครไปไฟลท์ไหนเป็นไฟลท์นั้นต้องมีเจอดีเข้าให้สักคน ทั้งคนไทย คนฟิลิปปินส์ อินเดียน อาหรับ มาหลอกหลอนไม่เลือกหน้า เลือกสัญชาติ ทำเอาฉันขยาดนักหนากับการมาค้างแรมที่นี่ ทั้งที่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ก็ตาม
ยิ่งพอใครรู้ว่าฉันจะได้ไปแฟรงเฟิร์ตด้วยแล้ว เรื่องราวสยองขวัญสั่นประสาทยิ่งเป็นอันเข้าหูให้หนาขี้หูเหลือเกินไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้น สติสัมปชัญญะในอันจะเตรียมการท่องเที่ยวเหมือนดังไฟลท์ก่อน ๆ ก็เป็นอันไม่มีกัน...ด้วยความเป็นคนกลัวหัวหดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วมันแต่พะว้าพะวงหาหนทางกันผีหลอกก่อนมาเอาเสียหมดเวลา
และก็เหมือนว่าคำอธิษฐานและคำพร่ำสวดมนต์ก่อนมาไฟลท์จะเป็นจริงขึ้นทันตา...รุ่นพี่แอร์สาวคนไทยที่ได้ร่วมไฟลท์มาด้วยกันเอ่ยปากชวนฉันก่อนจะทำงานว่า พี่จะไปเยี่ยมเพื่อนต่างเมือง ไปนอนค้างด้วย...สนใจจะไปด้วยกันหรือเปล่า?...อย่างไม่ลังเล ฉันจึงตกปากรับคำทันทีเหมือนไม่ผ่านการคิดจากสมอง...ไม่ใช่แค่เพียงเพราะคำโฆษณาของพี่กุ้งว่ามันเป็นเมืองชนบท ธรรมชาติงดงามหรือได้นั่งรถไฟล่องแม่น้ำ แต่เป็นเพราะสาเหตุเรื่องผีระบาดมากกว่าที่ทำให้พี่เขาถึงกับงงว่าทำไมยัยน้องคนนี้ใจง่ายเสียจริง
ในเมื่อแผนเที่ยวก็ไม่มี กลัวผีก็กลัว...ไปไหนก็ไปกันแล้วล่ะสำหรับฉัน
และนั่นเอง...จึงเป็นจุดเริ่มต้นของประสบการณ์การเดินทางที่งดงามอีกครั้งของฉันไป
Koblenz เมืองปลายทางที่เป็นที่อยู่ของเพื่อนพี่กุ้ง เป็นเมืองทางเหนือของ Frankfurt ใช้เวลานั่งรถไฟสิริรวมประมาณ 2 ชั่วโมง บรรยากาศสองข้างทางเป็นภูเขา แม่น้ำ ทุ่งหญ้าและความงามตามที่พี่กุ้งโฆษณาไว้เป๊ะ...ไม่ใช่แค่เพียงความสวยงามของธรรมชาติอย่างเดียวที่ทำให้เวลาการเดินทางหมดไปอย่างรวดเร็ว แต่เพื่อนร่วมทางด้วยต่างหากที่คุยกันอย่างออกรสออกชาติและถูกคอ
เมืองชนบทที่เงียบสงบและเต็มไปด้วยธรรมชาติเมืองนี้กับอากาศเย็น ๆ ในฤดูใบไม้ผลิที่ไม่หนาวจนถึงกระดูกและไม่อุ่นจนเกินพอดี ทำให้ฉันค่อย ๆ ตกหลุมรักมันอย่างช้า ๆ...ห่างไกลความวุ่นวายของเมืองหลวง เวลาเคลื่อนไปค่อย ๆ ไม่รีบร้อน ไม่แข่งขัน มีแต่ความเรียบง่ายและอยู่กันอย่างแบ่งปันด้วยมิตรภาพ
เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้วเห็นจะได้ที่พี่กุ้งพาฉันไปถึงบ้านพี่เจี๊ยบ เพื่อนสมัยเรียนของเธอ แต่พระอาทิตย์ยังคงสองสว่างไสวไม่ต่างอะไรกับเวลา 4 โมงเย็น กว่าจะตกดินและมืดสนิทก็ปาเข้าไปเกือบ 5 ทุ่มและขึ้นมาส่องอวดโฉมเสียแต่ไวตั้งตี 4...พี่เจี๊ยบเล่าว่าถึงฤดูหนาวจะกลับกันอย่างสิ้นเชิง มืดเสียแต่ 4 โมงเย็นและกว่าตะวันจะมาให้เห็นก็ 7-8 โมงเช้าไปแล้ว
พี่เจี๊ยบเพื่อนของรุ่นพี่ฉัน แต่งงานกับหนุ่มเยอรมันและย้ายรากฐานมาอยู่เยอรมันได้ร่วม 8 ปี มีลูกชายซน ๆ หน้าตาน่ารักอายุ 7 ปีวิ่งไปวิ่งมา...บ้านขนาดกำลังดี มีแมวหนึ่งตัวกับแกะ 7 ตัวและสวนหลังบ้านสวย ๆ มีชิงช้าผูกกับต้นไม้ใหญ่ ให้ฉันอยู่อย่างนี้ตลอดไปก็ไม่เกี่ยงงอนเลยสักคำ...แต่เสียดายนักหนาที่มีเวลาเพียงแค่ 2 คืน
ฉันปล่อยให้พี่เจี๊ยบและพี่กุ้งคุยกันไปตามประสาเพื่อนเก่าแก่สมัยเรียน แลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตต่างแดน การเลี้ยงลูกและรำลึกความหลัง ส่วนฉันก็นั่งมองฟ้ามองดิน สูดอากาศเย็น ๆ ชนบท นิ่งอยู่กับตัวเองและดื่มด่ำความสงบที่เกิดขึ้นง่าย ๆ ในใจ...อีกสิบปีข้างหน้า ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันจะอยู่ส่วนไหนของโลก และยังมีเพื่อนดี ๆ มานั่งคุยกันเรื่องเก่า ๆ อยู่อีกบ้างหรือไม่
........
รุ่งเช้าอีกวันที่แสนสดใส นอนหลับอย่างสบาย สนิทและปราศจากเรื่องหลอน ๆ มากวนใจอย่างที่เป็นกังวลในตอนแรก ตื่นมารับอากาศบริสุทธิ์ของชานเมือง แสงแดดอุ่น ๆ สาดส่องลงมาเคลือบจิตใจให้เบิกบานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...พี่เจี๊ยบและพี่สามีออกไปทำงาน ลูกชายก็ไปโรงเรียน จึงเหลือสองศรีพี่น้องอยู่บ้านกันตามลำพัง โดยพี่เจี๊ยบบอกว่าหลังจากเลิกงาน จะพาไปชอปปิ้งในเมือง
ด้วยความรื่นเริงใจ ฉันกับกล้องคู่ใจจึงออกไปลุยสวนของพี่เจี๊ยบทันที ทำความรู้จักกับดอกไม้ใบหญ้า เดินเล่นกับน้องแมว คุยกับแกะน้อยขนนิ่ม ใครจะหาว่าบ้าก็ไม่เป็นไร ฉันสุขใจเสียอย่าง...
แมวสาวสัญชาติเยอรมัน ชื่อ ยูเรีย อายุ 11 ขวบแน่ะ
แกะแฝดน่ารักแสนเชื่อง จับหัวก็ได้ คุยด้วยก็คุยตอบนะ แบ๊ะ...
การท่องเที่ยวของคนแต่ละคนอาจแตกต่างกันไปตามความชอบ บางคนอาจชอบเยี่ยมเยือนสถานที่สำคัญชื่อดัง ถ่ายรูปคู่เอามาอวดว่าไปมาแล้ว บางคนชอบเที่ยวเมืองใหญ่ ดูธุรกิจและการค้าความเป็นไปหรือ Night Life ของเมืองนั้น บางคนอาจชอบซื้อของจับจ่ายอย่างไม่สนใจใคร
ส่วนฉันนั้น...แค่ฉันได้คลุกอยู่กับหญ้าเขียว ๆ และดอกไม้สวย ๆ การท่องเที่ยวหย่อนใจของฉันก็ถูกเติมเต็มแล้ว...
แต่ถึงกระนั้น ฉันก็ยังมีความเป็นผู้หญิงอยู่ โปรแกรมการ shopping ตอนบ่ายของพี่ ๆ ฉันจึงไม่เกี่ยงงอนและเพลิดเพลินเจริญใจพอสมควรไปกับของลดราคาจนได้ติดไม้ติดมือกลับมาไม่น้อยเลยทีเดียว ฉันเปล่าเป็น shopcoholic นะ...ก็ในเมื่อฉันได้คลุกหญ้าอย่างที่อยากแล้วนี่นา ใครพาไปไหนก็ไปทั้งนั้น (แหะ ๆ)
อากาศสบาย ๆ ของเมือง Koblenz และบ้านบนเขาหลังนี้ ทำให้ฉันรู้สึกถึงการผ่อนคลายอย่างแท้จริง เช้าวันรุ่งขึ้น ถึงเวลาที่ต้องขอร่ำลาพี่เจี๊ยบและบ้านหลังสงบ ๆ หลังนี้เพื่อเดินทางต่อไป...แม้จะเป็นเวลาเพียงแค่ 2 คืนเท่านั้น แต่เรื่องราวการใช้ชีวิตต่างแดนกับรอยยิ้มอบอุ่นใจดีของพี่เจี๊ยบก็ทำให้ฉันเริ่มผูกพันนิด ๆ แล้วกับพี่สาวคนนี้ ทั้งที่ฉันเป็นใครมาก็ไม่รู้แต่เธอก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ฉันจึงไม่ลืมที่จะขอที่อยู่พี่เจี๊ยบมาด้วย เพื่อจะได้ส่งโปสการ์ดจากดอกไม้ในสวนหลังบ้านไปให้...
แล้วสองแอร์สาวผู้รักการท่องเที่ยวก็ตกลงกันอย่างเป็นมั่นเหมาะว่าเนื่องจากดิ่งกลับไปแฟรงเฟิร์ตจะไม่มีอะไรทำเสียเปล่า ๆ ไฉนเลยออกมาไกลขนาดนี้แล้ว ก็เถลไถลอีกหน่อยไปเที่ยวเมือง Köln หรือ Cologne ที่อยู่ห่างออกไปเพียงชั่วโมงเดียวจะดีกว่า
คิดได้ดังนั้น ก็งมทางตามคำบอกของพี่เจี๊ยบต่อรถไฟ DB ไปเมือง Köln โดยไม่รีรอ
.......
เมือง Köln ภาษาเยอรมันหรือ Cologne ภาษาอังกฤษนั้น ฉันยังไม่ทันได้มีเวลาทำความรู้จักกันมันมากสักเท่าไหร่ เพราะเหลือเวลาแค่เพียงครึ่งวันเท่านั้น ต้องกลับไปนอนแฟรงเฟิร์ตในคืนสุดท้ายเพื่อวันรุ่งขึ้นจะได้ทำไฟลท์กลับได้ทัน...ดังนั้น สิ่งที่ฉันรู้ก็เพียงว่า Köln เป็นเมืองทางเหนือของแฟรงเฟิร์ตและมีสิ่งก่อสร้างชื่อดัง คือ โบสถ์คาทอลิกสไตล์โกธิคแสนอลังการ เรียกว่า Kölner Dom หรือ The Cologne Cathedral
โดมหลังนี้ ได้ชื่อว่าเป็นโบสถ์โกธิคที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปเหนือ ใช้เวลาสร้างทั้งหมดร่วม 600 ปี เริ่มต้นตั้งแต่ค.ศ.1248 จนสมบูรณ์ในปีค.ศ.1880 มีหอคอยสองอันยืนคู่เป็นสง่าและตัวโบสถ์เมื่อมองจากด้านบนจะเป็นรูปไม้กางเขน ภายในตกแต่งด้วยกระจกสีเป็นเรื่องราวของพระเยซูและสาวก รูปปั้นต่าง ๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ และที่สำคัญเป็นที่เก็บอัฐิของ The holy three kings
ต้องยอมรับเลยว่าเป็นโบสถ์ที่ยิ่งใหญ่และอลังการมากสำหรับการก่อสร้างเมื่อ 800 ปีก่อน รู้สึกได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์และขลังของสถานที่แห่งนี้มากจนฉันเลือกที่จะนั่งสงบสักพักสลับกับเดินชมบรรยากาศรอบ ๆ และลิ้มรสความอลังการน่าศรัทธานั้นไว้ในหัวใจ
ไม่ว่ามองไปทางไหนก็มีอะไรให้ชมอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งเพดานด้านบน รูปปั้นประดับประดาตรงเสา หรือเพดานสูงและลวดลายสวย ๆ ฉันแหงนหน้าจนเมื่อยคอไปหมด บางทีและหลาย ๆ ทีฉันเลือกจะชื่นชมและเก็บไว้ในความทรงจำมากกว่าจะกดชัตเตอร์เก็บไว้ในไฟล์
ที่เก็บอัฐของ The holy three kings สมบัติชิ้นสำคัญของโดม
ผู้คนมีให้เห็นอย่างหนาตา แม้ว่าจะไม่ใช่วันหยุดก็ตาม ทั้งนักท่องเที่ยวและผู้ที่มาโบสถ์ด้วยความศรัทธา
หมดเวลาไปพอสมควรกับ Dom แสนยิ่งใหญ่นี้ พี่กุ้งกับฉันจึงชวนกันทานข้าวกลางวันและแน่นอน...เดิน shopping ต่อไป
บริเวณข้าง ๆ โดม โบสถ์เก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์มีสถานที่ชอปปิ้งขนาดใหญ่พอสมควร เหมือนเจาะจงให้นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวโดมได้เที่ยวอย่างครบสูตรอย่างไรอย่างนั้น...แม้จะสะดวกสบายก็จริง แต่ฉันว่ามันทำให้ความอลังการของโบสถ์หลังนี้ดูจะลดความสำคัญลงไปทีเดียว
ถึงกระนั้นเวลา 4 ชั่วโมงที่เหลือก่อนจะถึงรถไฟเที่ยวที่หมายตาเอาไว้จึงหมดไปกับการเดิน เดิน เดินและเดิน แต่ที่สุดแล้วฉันก็ไม่ได้ซื้ออะไรมากมาย พี่กุ้งเพื่อนร่วมทางของฉันก็เหมือนกัน...บางทีความสุขของเราก็เพียงแค่ได้เดินมองของสวย ๆ งาม ๆ แล้วก็ตระหนักได้ว่ามันไม่ได้จำเป็นสำหรับเรานัก หรือไม่อย่างนั้น เมื่อวานฉันก็ชอปปิ้งจนอิ่มแล้วนั่นแหละ
แต่หลังจากเดินกันจนหมดพลังก็ถึงได้รู้ซึ้งเหมือนกันว่า Shop til Drop ที่เขาพูด ๆ กันมันเป็นยังไง ยังดีที่เหลือพลังไว้ผจญภัยตอนเดินทางกลับอยู่บ้างเล็กน้อย แล้วในที่สุดสองแอร์สาวก็หอบร่างและสัมภาระกลับมาถึงแฟรงเฟิร์ตอย่างปลอดภัยหลังเที่ยงคืนด้วยเท้าแสนเมื่อย...แต่ว่าใจเปี่ยมสุข
แน่นอนว่าหลังจากถ่ายทอดเรื่องราวหลอน ๆ ของ "ผีแฟรงเฟิร์ต" ที่ฉันได้ยินได้ฟังมาให้พี่กุ้งฟังด้วยความจงใจ คืนนั้นฉันจึงไปขอแบ่งปันห้องนอนกับเธอด้วยความยินดีและเต็มใจของทั้งผู้ขอและผู้ให้ เป็นอันว่าก็ไม่มีเรื่องสยองขวัญใด ๆ เกิดขึ้นกับทั้งฉันและพี่...Thank God, thank Allah, thank Buddah.
วันสุดท้าย...ฉันยังคงตื่นมาด้วยความสดชื่นเบิกบานอย่างเคยเหมือนกับ 2 วันที่ผ่านมา เป็นเวลา 3 คืนของฉันที่นอนหลับอย่างเต็มตาเต็มอิ่มอย่างไม่ได้เป็นมานาน แล้วฉันก็ได้ท่องเที่ยวอย่างครบครัน ทั้งเยี่ยมเยือนสถานที่เลื่องชื่อ shopping กระหน่ำอย่างจุใจและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันได้อยู่นิ่ง ๆ ดื่มด่ำกับธรรมชาติและทัศนาจรไปกับความงามของบ้านเมือง
ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากจะเก็บอากาศเย็น ๆ แสนบริสุทธิ์และแดดใสสวย ๆ มาฝากคนอื่น แต่สิ่งที่ฉันทำได้ก็แค่เพียงสูดมันให้เต็มปอด ทิ้งอากาศควัน ๆ และความคิดฝุ่น ๆ ออกไปจากร่างกายและสมอง เหลือเพียงความสงบนิ่งเบื้องลึก จิตใจว่าง ๆ และปลดปล่อยให้เสียงภายในได้พูดออกมา
ที่เขาว่ากันว่า การท่องเที่ยวคือการเยียวยา ฉันว่าไม่ผิดอะไรสักนิดเดียว เมื่อเราได้ปลดปล่อยเรื่องราววุ่นวายออกจากสมองและจิตใจ หันมาดื่มด่ำหย่อนใจกับความสุนทรีย์ตรงหน้า ทุกวินาทีและทุกลมหายใจเข้าออกจดจ่ออยู่เพียงปัจจุบัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับก้าวนั้น มันเป็นความสงบที่เหมือนชาร์ตพลังให้ร่างกายและหัวสมองล้า ๆ ได้อย่างเต็มเปี่ยม ด้วยจิตใจว่าง ๆ นิ่ง ๆ ฉันพร้อมแล้วที่จะกลับไปเจอปัญหาหนัก ๆ ที่รอรับการแก้ไข (ขอบคุณความคิดพี่ก๋าด้วยค่ะ)
ใช้คำว่าประทับใจคงไม่เพียงพอ...แต่ก็ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรที่ดีไปกว่านั้น สำหรับเยอรมัน...และความทรงจำดี ๆ อีกครั้งของฉัน
Create Date : 22 พฤษภาคม 2551 |
|
73 comments |
Last Update : 24 พฤษภาคม 2551 23:52:49 น. |
Counter : 4086 Pageviews. |
|
|
|
กลับมาคราวนี้คุณปอยเล่าเรื่องและภาพได้จุใจ คุ้มค่าการรอคอยมากค่ะ...(แอบรอคุณปอยมาหลายวัน)
ผีแฟรงเฟิร์ตน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือคะ
ขนาดว่าเล่าให้คนอื่นๆ ฟังก็ยังกลัวกันไปด้วยถ้วนหน้า เรียกได้ว่าเป็นการกระจายความกลัวรึเปล่าคะ อิอิ
ภาพบรรยากาศที่บ้านรุ่นพี่ สวยมากเลยค่ะ อ้อนชอบภาพชิงช้าเป็นพิเศษ ไม่รู้เป็นยังไงสิน่า คุณปอยถ่ายภาพแนวนี้ได้ดีจริงๆ
แมวเยอรมันกับแมวไทยน่ารักเหมือนกันเลยนะคะ
แกะก็น่ากอด...เป็นโรคแพ้สัตว์ค่ะ เห็นไม่ได้อยากกอด+++
เที่ยวบำบัด...เป็นคำแนะนำที่ดีจริงๆ เลยค่ะ
ช่วงนี้อ้อนไม่ได้บำบัดด้วยการเที่ยวเลย
บำบัดด้วยการอ่านอย่างเดียว...เอาไว้มีเวลาก็อยากออกสู่โลกภาพนอกที่ไม่ใช่โลกของหนังสือบ้างน้า...
ดีใจที่คุณปอย รู้สึกดีขึ้นนะคะ ปัญหาเท่าเดิมแต่ใจเราใหญ่ขึ้นรึเปล่าคะ :)
++++
ความคิดถึงเรื่องเก่าๆ ก็มาเป็นระยะๆ ค่ะ
ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของจิตใจเสียมากกว่าอย่างอื่นนะ
แต่ว่าถ้าเลือกให้ลืมกับให้จำขอเลือกจำดีกว่านะคะ...อย่างน้อยๆ ก็ยังจำได้ว่าความรู้สึก "รัก" เป็นยังไงเนอะ
ผู้ชายที่เดินเข้ามาในห้องหน่ะ ไม่ได้ถือกาแฟมา
แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าตั้งใจจะมาขอกาแฟดื่มรึเปล่า
...เจ้าของห้องก็มัวแต่ก้มหน้าอ่านหน่ะสิคะ เหอๆ
+++
โห วันนี้บ่นเสียยาว ไปละคะ...อรุณสวัสดิ์ที่ไทยค่ะคุณปอย