My first trip to Lord Buddha's Place Day 5; 1 Feb 2019 Yasa Stupa ; Sarnath
ยสสถูป สถานที่พระพุทธองค์ เทศนาโปรด ยสกุลบุตร บุตรเศรษฐีแห่งเมืองพาราณสี บางแห่งว่าเป็นบุตรชายของนางสุชาดาผู้ถวายข้าวมธุปายาส
ภายใน พุทธสถาน บริเวณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองสารนารถนี้ ยังมีสถานที่สำคัญอีกแห่ง คือ สถานที่ พระยสกุลบุตร ได้ฟังธรรมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และบรรลุอรหัตตผลในที่สุด นับว่า ยสกุลบุตรและเพื่อนได้เป็นอรหันต์กลุ่มที่สอง ในพุทธศาสนา เกิดใน พรรษาแรกภายหลังการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ พระยสเถระ หรือ พระยสะ เป็นพระภิกษุสาวกเอตทัคคะของพระพุทธเจ้า นับเนื่องในพระอสีติมหาสาวก 80 องค์สำคัญในพระพุทธศาสนาในสมัยต้นพุทธกาล พระยสเถระ เป็นพระสงฆ์กลุ่มแรก ๆ ในพระพุทธศาสนา โดยท่านเป็นพระสงฆ์สาวกองค์ที่ 6 ในพระพุทธศาสนา เมื่อท่านบวชแล้วได้เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการชักชวนสหายของท่านกว่า ๕๔ คนให้เข้ามาบวชช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนาในช่วงต้นพุทธกาล ประวัติแห่งพระยสเถระ
สถานะเดิม
พระยสะนั้น เป็นบุตรเศรษฐีในเมืองพาราณสี เป็นผู้บริบูรณ์ มีเรือน ๓ หลัง เป็นที่อยู่ใน ๓ ฤดู ครั้งหนึ่ง เป็นฤดูฝน ยสกุลบุตร อยู่ในปราสาทเป็นที่อยู่ในฤดูฝน บำเรอด้วยดนตรีล้วนแต่สตรีประโคม ไม่มีบุรุษเจือปน.
มูลเหตุแห่งการบวช
ค่ำวันหนึ่ง ยสกุลบุตรนอนหลับก่อน หมู่ชนบริวารหลับต่อภายหลัง แสงไฟตามสว่างอยู่ ยสกุลบุตรตื่นขึ้น เห็นหมู่ชนบริวารนอนหลับ มีอาการพิกลต่าง ๆ บางนางมีพิณตกอยู่ที่รักแร้ บางนางมีตะโพนวางอยู่ข้างคอ บางนางมีเปิงมางตก อยู่ ณ อก บางนางสยายผม บางนางมีเขฬะไหล บางนางบ่นละเมอต่าง ๆ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีเหมือนก่อน ๆ หมู่ชนบริวารนั้น ปรากฏแก่ยสกุลบุตร ดุจซากศพที่ทิ้งอยู่ในป่าช้า.
พบพระพุทธเจ้า
ครั้นยสกุลบุตร ได้เห็นแล้ว เกิดความสลดใจคิดเบื่อหน่าย ออกอุทาน ( วาจาที่เปล่งด้วยอำนาจความสลดใจ) ว่า ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ ยสกุลบุตรรำคาญใจ จึงสวมรองเท้าเดินออกจากประตูเรือนไปแล้ว ออกประตูเมืองตรงไปในทางที่จะไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
เวลานั้นจวนใกล้รุ่ง พระศาสดาเสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ทรงได้ยินเสียงยสกุลบุตรออกอุทานนั้น เดินมายังที่ใกล้ จึงตรัสเรียกว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ท่านมาที่นี่เถิด นั่งลงเถิด เราจักแสดงธรรม แก่ท่าน ยสกุลบุตรได้ยินอย่างนั้นแล้ว คิดว่า ได้ยินว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง จึงถอดรองเท้าเสีย เข้าไปใกล้ไหว้แล้ว นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง.
พระศาสดาตรัสเทศนาอนุปุพพีกถา
อนุปุพพิกถา มี ๕ ประการ คือ ๑. ทานกถา (เรื่องทาน, กล่าวถึงการให้ การเสียสละเผื่อแผ่แบ่งปันช่วยเหลือกัน)
๒. สีลกถา (เรื่องศีล, กล่าวถึงความประพฤติที่ถูกต้องดีงาม)
๓. สัคคกถา (เรื่องสวรรค์, กล่าวถึงความสุขความเจริญ และผลที่น่าปรารถนาอันเป็นส่วนดีของกามที่จะพึงเข้าถึง เมื่อได้ประพฤติดีงามตามหลักธรรมสองข้อต้น)
๔. กามาทีนวกถา (เรื่องโทษแห่งกาม, กล่าวถึงส่วนเสียข้อบกพร่องของกาม พร้อมทั้งผลร้ายที่สืบเนื่องมาแต่กาม อันไม่ควรหลงใหลหมกมุ่นมัวเมา จนถึงรู้จักที่จะหน่ายถอนตนออกได้)
๕. เนกขัมมานิสังสกถา (เรื่องอานิสงส์แห่งการออกจากกาม รวมทั้งอานิสงส์การบวช, กล่าวถึงผลดีของการไม่หมกมุ่นเพลิดเพลินติดอยู่ในกาม และให้มีฉันทะที่จะแสวงความดีงาม และความสุขอันสงบที่ประณีตยิ่งขึ้นไปกว่านั้น)
ฟอกจิตยสกุลบุตรให้ห่างไกลจากความยินดีในกาม ควรรับพระธรรมเทศนา ให้เกิดธรรมจักษุ เหมือนผ้าที่ปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมได้ฉะนั้น แล้วจึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระองค์ยกขึ้นแสดงเอง คืออริยสัจ ๔ อย่าง คือทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด เหตุให้ทุกข์ดับ และข้อปฏิบัติเป็นทางให้ถึงความดับทุกข์ ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมพิเศษ ณ ที่นั้นแล้ว ภายหลังพิจารณาภูมิธรรม ที่ตนได้เห็นแล้ว จิตพ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน.
อุบาสกคนแรก ฝ่ายมารดาของยสกุลบุตร เวลาเช้าขึ้นไปบนเรือน ไม่เห็นลูก จึงบอกแก่เศรษฐีผู้สามีให้ทราบ เศรษฐีให้คนไปตามหาใน ๔ ทิศ ส่วนตนออกเที่ยวหาด้วย เผอิญเดินไปในทางที่ไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ได้เห็นรองเท้าของลูกตั้งอยู่ ณ ที่นั้นแล้ว ตามเข้าไปถึงที่พระศาสดาประทับอยู่กับยสกุลบุตร.
พระศาสดาตรัสเทศนาอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ให้เศรษฐีเห็นธรรมแล้ว เศรษฐีทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา แล้วแสดงตนเป็นอุบาสก ข้าพเจ้าถึงพระองค์ กับพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์เป็นที่ระลึก ขอพระองค์ทรงจำข้าพเจ้าว่า เป็นอุบาสก ผู้ถึงรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เศรษฐีนั้น ได้เป็นอุบาสก อ้างพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ครบทั้ง ๓ เป็นสรณะก่อนกว่าชนทั้งปวงในโลก.
ในตอนนี้ พระคันถรจนาจารย์กล่าวความว่า ในขณะที่เศรษฐี ผู้บิดายสกุลบุตรเข้าไปอยู่ ทรงบันดาลด้วยอิทธาภิสังขาร คือฤทธิ์ที่แต่งขึ้น ไม่ให้บิดากับบุตรเห็นกัน ต่อทรงแสดงธรรมเทศนาจบ ยสกุลบุตรพิจารณาภูมิธรรม อันตนได้เห็นแล้ว บรรลุพระอรหัต และเศรษฐีผู้บิดาได้บรรลุพระโสดาปัตติผลแล้ว จึงทรงคลายอิทธาภิสังขารนั้นให้บิดากับบุตรเห็นกัน. เศรษฐีผู้บิดายังไม่ทราบว่ายสกุลบุตรมีอาสวะสิ้นแล้ว จึงบอกความว่า พ่อยสะ มารดาของเจ้า เศร้าโศกพิไรรำพันนัก เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาของเจ้าเถิด. ยสกุลบุตรแลดูพระศาสดา ๆ ตรัสแก่เศรษฐีว่า คฤหบดี ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน แต่ก่อนยสะได้เห็นธรรม ด้วยปัญญาอันรู้เห็นเป็นของเสขบุคคล เหมือนกับท่าน ภายหลัง ยสะพิจารณาภูมิธรรมที่ตนได้เห็นแล้ว จิตก็พ้นจากอาสวะมิได้ถือมั่นด้วยอุปาทาน ควรหรือยสะจะกลับคืนไปบริโภคกามคุณเหมือนแต่ก่อน. ไม่อย่างนั้นพระเจ้าข้า เป็นลาภของพ่อยสะแล้วความเป็นมนุษย์ พ่อยสะได้ดีแล้ว ขอพระองค์กับพ่อยสะเป็นสมณะ ตามเสด็จ จงทรงรับบิณฑบาตของข้าพเจ้าในวันนี้เถิด. พระศาสดาทรงรับด้วยนิ่งอยู่. เศรษฐีทราบว่าทรงรับแล้ว ลุกจากที่นั่งแล้ว ถวายอภิวาทแล้ว ทำประทักษิณ ๑ แล้วหลีกไป .
(เสขบุคคล ผู้ยังต้องศึกษา เป็นชื่อของพระอริยเจ้าเบื้องต่ำ ๗ จำพวก. ) ยสกุลบุตรบวช
เมื่อเศรษฐีไปแล้วไม่ช้า ยสกุลบุตรทูลขออุปสมบท . พระศาสดาทรงอนุญาต ให้เป็นภิกษุด้วย พระวาจาว่า มาเถิดภิกษุ ธรรมเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด ในที่นี้ไม่ตรัสว่า เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ เพราะพระยสะได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว. สมัยนั้น มีพระอรหันต์ขึ้นในโลกเป็น ๗ ทั้งพระยสะ.
อุบาสิกาคนแรก ในเวลาเช้าวันนั้น พระศาสดากับพระยสะตามเสด็จ ๆ ไปถึงเรือนเศรษฐีนั้นแล้ว ทรงนั่ง ณ อาสนะที่แต่งไว้ถวาย. มารดาและภริยาเก่าของยสะเข้าไปเฝ้า พระองค์ทรงแสดงอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ให้สตรีทั้ง ๒ นั้นเห็นธรรมแล้ว สตรีทั้ง ๒ นั้นทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาแล้ว แสดงตนเป็นอุบาสิกา ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะโดยนัยหนหลัง ต่างแต่เป็นผู้ชายเรียก อุบาสก เป็นผู้หญิงเรียกว่า อุบาสิกา เท่านั้น สตรีทั้ง ๒ นั้นได้เป็นอุบาสิกาขึ้นในโลกกว่าหญิงอื่น.
ครั้นถึงเวลา มารดาบิดา และภริยาเก่าแห่งพระยสะ ก็อังคาสพระศาสดาและพระยสะ ด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีตโดยเคารพด้วยมือของตน ครั้นฉันเสร็จแล้ว พระศาสดาตรัสพระธรรมเทศนาสั่งสอนชนทั้ง ๓ ให้เห็น ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงแล้ว เสด็จกลับไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน.
สหายพระยส ๕๔ คน
ฝ่ายสหายของพระยสะ ๔ คน ชื่อวิมละ ๑ สุพาหุ ๑ ปุณณชิ ๑ ควัมปติ ๑ เป็นบุตรแห่งเศรษฐีสืบ ๆ มาในเมืองพาราณสี ได้ทราบ ข่าวว่ายสกุลบุตรออกบวชแล้ว จึงคิดว่า ธรรมวินัยที่ยสกุลบุตรออกบวช นั้นจักไม่เลวทรามแน่แล้ว คงเป็นธรรมวินัยอันประเสริฐ ครั้นคิดอย่างนั้นแล้ว พร้อมกันทั้ง ๔ คน ไปหาพระยสะ ๆ ก็พาสหาย ๔ คนนั้นไปเฝ้าพระศาสดา ทูลขอให้ทรงสั่งสอน พระองค์ทรงสั่งสอน ให้กุลบุตรทั้ง ๔ นั้นเห็นธรรมแล้ว ประทานอุปสมบทอนุญาตให้เป็นภิกษุแล้ว ทรงสั่งสอนให้บรรลุพระอรหัตตผล . ครั้งนั้น มีพระอรหันต์ ขึ้นในโลก ๑๑ พระองค์ . ฝ่ายสหายของพระยสะอีก ๕๐ คน เป็นชาวชนบท ได้ทราบข่าวนั้นแล้ว คิดเหมือนหนหลัง พากันมาบวชตามแล้ว ได้สำเร็จพระอรหัตตผลด้วยกันสิ้น โดยนัยก่อน บรรจบเป็นพระอรหันต์ ๖๑ องค์ ล้วนเป็นกำลังสำคัญของพระพุทธเจ้าในการช่วยประกาศพระพุทธศาสนาในช่วงต้นพุทธกาล
Create Date : 18 มิถุนายน 2562 |
Last Update : 18 มิถุนายน 2562 19:33:17 น. |
|
15 comments
|
Counter : 1225 Pageviews. |
|
|
อนุโมทนาสาธุ
การเผยแผ่ศาสนา
ไม่ว่าด้วยวิธีใด
เพื่อให้ผู้คนได้ทราบเรื่องพุทธประวัติหรืออื่นๆ
ได้บุญมากมายยิ่งนัก