อาหารแต่ละมื้อที่คนในเมืองรับประทานนั้น มักซ้ำซากจำเจ
ผักที่รับประทานมักจะเป็น ผักบุ้ง ผักกาดขาว กะหล่ำปลี แตงกวา
คะน้า มะเขือเปราะ มะเขือเทศ ใบกะเพรา ใบโหระพา เป็นหลัก
ร่างกายจึงได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน เท่าที่ควร
แต่ด้วยภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ท่านได้คิดปรุงอาหารที่มีคุณค่า
ทางอาหารและมีสรรพคุณทางยาขึ้นมาเช่น ทางภาคกลางจะมีแกงส้ม
และแกงเลียง ภาคใต้มีแกงไตปลา ภาคอีสาน มีแกงเปรอะ
ภาคเหนือมีแกงแค วันนี้ขอคุยเรื่องแกงแคนะคะ
แกงแค เป็นแกงของชาวล้านนา ที่เรียกว่า “แกงแค” อาจเป็นเพราะ
ในแกงชนิดนี้ใส่ใบชะพลู ซึ่งชาวล้านนาเรียกว่า “ใบแค”
แกงแคประกอบไปด้วยผักหลายชนิด และมีเนื้อสัตว์หนึ่งอย่าง
เช่น หมู เนื้อ ไก่ ปลาแห้ง หรือกบ
ผักที่ใช้ยืนพื้นประกอบด้วย ผักตำลึง ผักชะอม ใบชะพลู ผักชีฝรั่ง
ผักเผ็ด ผักขี้หูด มะเขือพวง เห็ดลม และพริกขี้หนูสด
นอกจากนั้นเป็นผักตามฤดูกาล ตามแต่จะหาได้เช่นใบพริก
ดอกงิ้ว ผักกูด ยอดมะพร้าวอ่อน ดอกข่า และยอดฟักทองค่ะ
ผักแต่ละชนิดมีสรรพคุณทางยาเช่น ใบชะพลู ช่วยบำรุงธาตุ
คุมเสมหะให้ปกติ แก้จุกเสียด ใบตำลึงช่วยดับพิษร้อน ข่าช่วยขับลม
ชะอมมีสรรพคุณแก้ท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้ แก้อาการปวดเสียวในท้อง
ผักเผ็ด มีรสเอียนเฝื่อนเล็กน้อย มีสรรพคุณแก้ริดสีดวงทวาร
ช่วยเจริญอาหาร ขับลม และช่วยย่อยอาหารได้อีกด้วย
รสชาติของแกงแคคล้ายแกงป่าของภาคกลาง
ต่างกันตรงที่น้ำพริกแกงแคไม่ใส่ผิวมะกรูด รากผักชีและพริกไทยค่ะ
มีประโยชน์ และน่ารับประทานซะขนาดนี้ เข้าครัวกันเลยนะคะ
เตรียมผักเช่น ผักตำลึง ผักขี้หูด ผักชีฝรั่ง ผักเผ็ด ผักกรูด ผักชะอม
ใบชะพลู ถั่วแปบ มะเขือเปราะ ข้าวโพดอ่อน ถั่วพู
น้ำพริกแกง พริกแห้ง ข่า ตะไคร้ หัวหอม กระเทียม เกลือ กะปิ
พอดีขุดได้ข่าอ่อนๆ เอามาหั่นเป็นชิ้นบางๆผสมลงไปในผักด้วย
เคี้ยวอร่อยค่ะ ...ไม่ต้องเป็นโคแก่ ก็กินข่าอ่อนๆได้ค่ะ... อิอิ!!!
ข่าส่วนที่แก่ก็หั่นบางๆ แล้วโขลกเป็นน้ำพริกแกงค่ะ
ข่าไม่เหมือนขิงที่ยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด แต่ข่ายิ่งแก่ยิ่งแข็งนะคะ
อย่าเคี้ยวข่าแก่เลยนะคะมันแข็งมากๆ ฟันจะหักเสียเปล่าๆค่ะ... ฮา!!!
เนื้อไก่ อาจใช้เนื้อวัว เนื้อหมู ปลาแห้ง หรือกบก็ได้ค่ะ
น้ำมันพืช น้ำปลา ยังไม่ได้เปิดขวดใช้สักที เพราะขวดเก่ายังไม่หมดค่ะ
ล้างผักเด็ดหรือหั่น โดยแยกออกเป็นสองส่วน คือผักที่สุกช้า
เช่นถั่วแปบ มะเขือเปราะ ข้าวโพดอ่อน ถั่วพู
ส่วนนี้เป็นผักที่สุกเร็ว เช่นผักตำลึง ผักขี้หูด ผักชีฝรั่ง ผักเผ็ด
ผักกรูด ผักชะอม ใบชะพลู ผักทั้งหมดทั้งหมดสะเด็ดน้ำพักไว้ค่ะ
สับไก่ขนาดพอดีคำใส่จานพักไว้
ล้างพริกแห้ง ซอยตะไคร้ ปอกหอม กระเทียม หั่นข่าเป็นชิ้นบางๆ
โขลกพริกแห้งกับเกลือให้ละเอียดแล้วใส่ตะไคร้ ข่า กระเทียม หัวหอม
โขลกต่อ เมื่อเข้ากันดีใส่กะปิ แล้วโขลกต่อให้เข้ากัน
เมื่อน้ำพริกแกงละเอียด และเข้ากันดีแล้วตักใส่ถ้วยรอไว้
ตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน พอร้อนใส่น้ำพริกลงผัดด้วยไฟอ่อนจนหอม
ใส่เนื้อไก่ลงไปผัดให้เข้ากัน ใช้ไฟกลางค่อนข้างอ่อน จะได้ไม่ไหม้ค่ะ
เติมน้ำพอท่วมไก่ เคี่ยวด้วยไฟกลาง เมื่อเนื้อไก่นุ่มเติมน้ำปลา
ตัดรสด้วยน้ำตาลทรายนิดหน่อย ชิมรสให้รสเข้มไว้ก่อน
หวานหวานตักแบ่งใส่หม้อเก็บไว้ทานมื้อหน้า
เพราะถ้าใส่ผักค้างไว้ มาทานมื้อต่อไป สีของผักจะไม่สวยค่ะ
ส่วนที่จะทานในมื้อนี้ก็ใส่ผักที่สุกช้าลงก่อน...คนให้เข้ากัน
ใช้ไฟกลาง ตามด้วยผักที่สุกเร็ว ...คนให้เข้ากัน
แล้วชิมรสอีกครั้ง ...เติมให้ได้อย่างใจค่ะ
เสร็จแล้ว รีบปิดไฟ ....หน้าตาแกงแคเป็นอย่างนี้ค่ะ
ตักใส่ถ้วยเสิร์ฟร้อนๆนะคะ ....หิวหรือยังคะ !!!
แกงถ้วยนี้ทานแล้วสบายท้อง เหมือนกับได้ปรับธาตุของร่างกายค่ะ
แถมกุนเชียงทอด ทานกับแกงแคอร่อยดีนะคะ
กุนเชียงเจ้าอร่อย ต้องถามที่ BG ฅนสยามและBG ครูเสาค่ะ
ขอให้ทุกท่านเจริญอาหาร และมีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรงนะคะ
.
เกร็ดความรู้คู่ครัว
.
บทความจากมูลนิธิหมอชาวบ้านกล่าวว่า....
แกงแคมีสรรพคุณทางยาหลายขนาน สำหรับสารอาหารแม้จะมีปริมาณ
และชนิดสารอาหารไม่ครบทั้งหมด แต่ในพืชผักที่ใส่ลงหม้อแกงแค
เฉพาะเบตาแคโรทีนที่ได้จากใบชะพลู ๓,๐๙๕ ไมโครกรัม ตำลึง ๔,๐๓๖ ไมโครกรัม
ใบพริก ๙,๔๙๕ ไมโครกรัม และชะอม ๑,๒๙๗ ไมโครกรัมต่อน้ำหนัก ๑๐๐ กรัม
ใบผักที่มีสีเขียวเข้มจะมีเบตาแคโรทีนสูงมาก
คุณสมบัติเด่นและสำคัญของเบตาแคโรทีน คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
และเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย ซึ่งน่าจะนำตำรับอาหารพื้นบ้านอย่างแกงแคนี้
มาศึกษาให้ผู้ติดเชื้อเอดส์ ซึ่งมีจำนวนมากในพื้นที่ภาคเหนือให้ได้กินเป็นประจำ
เพื่อดูแลสุขภาพให้อยู่ในภาวะปกติให้นานพอที่จะมีเวลาเตรียมการ
สำหรับสมาชิกครอบครัวให้ลำบากน้อยที่สุด
สำหรับคนปกติธรรมดา แกงแคนี้จัดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะให้สารอาหาร
และสารธรรมชาติมากมาย ให้พลังงานต่ำจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับ
ผู้ต้องการควบคุมน้ำหนักนะคะ
ขอสูตรไปลองทำนะคะ /ขอบคุณมากค่ะ