Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
 
22 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 
คนที่เรายกโทษให้ยากที่สุด ก็คือ 'ตัวเราเอง'




...ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เรา'ติด'กับในความคิดนี้
มันอาจจะฟังแปลก

แต่เมื่อเดินทางมายืนตรงจุดนี้ของชีวิตมันทำให้เริ่มเข้าใจ และมองเห็นกับเรื่องราว กับความรู้สึกได้ต่างไปจากสมัยเมื่อยังเด็ก
เพราะงั้น...มันเลยไม่แปลก....ละมั๊ง!?



ถ้าคิดแบบผ่านๆ มองโดยไม่ค้นให้ลึก

"การชี้นิ้ว โทษคนอื่น ให้พ้นจากตัวเอง" ดูจะเป็นเรื่องทำได้ง่าย

ส่วน

"การยอมรับเอาความผิดทั้งหมดใส่ตัวเอง" กลับจะเป็นเรื่องทำได้ยาก หรือไม่อยากทำ



...แต่มันจริงแค่ไหนกัน??!



เมื่อมองผ่านอีกมุม

คนเราต้องใช้ความกล้าแค่ไหน ในการกวาดความผิดใส่คนอื่น ให้คนอื่นรับไปเต็มๆ
...เราเองคิดว่ามันไม่ง่ายหรอกนะ
อาจฟังดูตลก แต่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องการใช้ "ความกล้า" อย่างอักโข
ถึงมันจะเป็นความกล้าในทางที่ห่วยแตกตามทีก็เถอะ



เพราะงั้น


"การยอมรับเอาความผิดทั้งหมดเป็นของตัวเอง"

เราถึงได้มองว่ามันง่ายดายกว่าเยอะ


เพราะอะไรงั้นเหรอ
...คงเพราะมัน "ปลอดภัย" (ในชีวิตและทรัพย์สิน -____-"~)


จริงๆนะไอ้เรื่อง "ความปลอดภัย" นี่น่ะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลอดภัยจาก "ความหวาดระแวง" ในสิ่งที่จินตนาการไปล่วงหน้า ไอ้เรื่องที่จะตามมาด้วยฝีมือผู้อื่น
เหลือให้แค่ระวัง'ใจ'ตัวเอง
เหลือแค่รับมือกับความหลอนที่ตามติดเป็นเงาตามตัว ซึ่งจะว่าไปมันคือ "ความใจไม่เป็นสุข"

เพียงเพราะ

ใจยอมรับไม่ได้กับความผิดนั้น




แต่เมื่อมองอย่างแยกแยะ ยิบย่อยลงไปอีก
ความผิดแบบไหนที่คนเราสามารถยอมรับเอามาเป็นของตัวเองได้ง่ายกว่า

คิดว่านะว่าความผิดในเชิง "รูปธรรม" นั้น ให้คนอื่นไปง่ายกว่าตัวเองรับไว้
คงเพราะ...มันจับต้องได้ล่ะมั๊ง


แต่เมื่อมันเป็นความผิดในเชิง "นามธรรม" คนเรามักโกยเข้าใส่ตัวเองอย่างง่ายดายเกินคาด


แล้วที่แย่กว่านั้นก็คือ เมื่อยอมรับเอาเป็นความผิดของตัวเองแล้ว

มันก็กลับกลายเป็นเรื่องยากยิ่งกว่ายาก

ที่จะ

ยกโทษให้กับตัวเองในความผิดนั้น











ER season XIV "Atonement"





ดร.โรเบิร์ต ทรูแมน...ไม่น่าต่างจากนี้ไกลสักเท่าไร

ดร.ทรูแมนเข้ามารับการรักษาพร้อมกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เขาได้กระโดดลงทะเลสาบอันเย็นเฉียบเพื่อช่วยชีวิตไว้
เขาร้องตะโกนบอก "เกร็ก" หมอในห้องerที่เข้ามาดูแลว่า "ช่วยเขาเท่ากับช่วยผม"
และคร่ำครวญย้ำอีกว่า
"โปรดช่วยเขา ไม่งั้นผมตกนรกแน่"



ดร.ทรูแมนเป็นหมอในเรือนจำมาถึง 16 ปี
หน้าที่ของเขาก็คือ การฉีดยาพิษให้กับนักโทษประหาร
เขาฉีดยาให้กับนักโทษเหล่านั้นมากกว่า 10 ราย
จนถึงรายสุดท้าย เกิดความผิดพลาดในการฉีดยา เขาต้องทำการแก้ไขจนภาระกิจลุล่วงไปจนได้
แต่ปรากฏภายหลังในอีกสามเดือนต่อมาว่า นักโทษคนนั้นโดนใส่ความ
ทำให้เขาร่ำร้องอย่างหวาดกลัวว่าเขาละเลยสิ่งที่พระเจ้าทรงส่งสัญญาณให้เขา 'หยุด' ฆ่าชีวิตผู้อื่น



จุดนั้นเองที่ดร.ทรูแมน กอดรับเอาความผิดในการคร่าชีวิตนักโทษประหารทุกคนที่เขาลงมือฉีดยาพิษนั้น เข้ามาเป็นความผิดของตัวเอง

ประโยคหนึ่งที่เขาพูดกับเกร็กแสดงให้เห็นถึงสาเหตุที่ทำให้เขากล่าวโทษตัวเอง


"ใครจะอยู่หรือตาย ควรเป็นเรื่องของพระเจ้า ไม่ใช่ลูกขุน"


ประโยคเดียวนี้ มันบอกอะไรหลายอย่าง

อย่างหนึ่งวิ่งชนเปรี้ยงในความคิดก็คือ คนเขียนบทตอนนี้ ต่อต้านโทษประหารชีวิตแน่นอน(ว่ะ)

เขากำลังบอกอะไรล่ะ
บอกว่า คนเราไม่มีสิทธิ์อะไรในการตัดสินการอยู่หรือตายของผู้อื่น
แม้ว่าไอ้คนนั้นมันสารเลวจนไม่สมควรมีลมหายใจต่อแม้อีกวินาทีเดียว
ไม่ว่าใคร ก็ไร้ซึ่งสิทธิ์นั้น
ไม่มีใครยิ่งใหญ่ปานนั้น


เราลองถามตัวเอง ก็ได้รับคำตอบอย่างง่ายดายว่า เราไม่เคยต่อต้านโทษประหารชีวิต
เราคิดว่ามันสมควรด้วยซ้ำไป
คนพรากชีวิตคนอื่นไม่ว่าจะเป็นหรือตาย คนอย่างนั้นไม่สมควรมีชีวิตลอยหน้าอยู่ต่อไป
คนพรรค์นั้นมีสิทธิ์อะไรหายใจ ในเมื่อพรากลมหายใจคนอีกคนไป


ความคิดเราก็หยุดแค่ตรงนั้น
เราไม่เคยคิดเลยไปกว่านั้น
เราไม่เคยคิดว่าเมื่อตัดสินไปแล้วว่าไอ้คนนั้นมันสมควรตาย


แล้วใครล่ะจะเป็นคนลงมือ


เราอาจจบแค่พอใจที่คนสมควรตาย ถูกตัดสินให้ตาย
โดยทำเป็นเมินเฉย ไม่รับรู้ถึงวิธีการตาย ผลักภาระการพรากหนึ่งชีวิตให้กับคน "มีหน้าที่" นั้นไป


เราลืมนึกถึงใจ ถึงความรู้สึกคนที่ต้องทำหน้าที่นั้นไป...จริงไหม


แค่วางคำว่า "หน้าที่"
แล้วคนหนึ่งคนนั้นจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรในการปลิดชีวิตคน ในการฆ่าคน
...ถ้าคิดแบบนี้ ใจคนจะทั้งกระด้างและเย็นชาขนาดไหนกัน



ดร.ทรูแมนใกล้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต มะเร็งของเขาลามไปจนทั่วปอด

"ความกลัว" ของเขาไม่น่าใช่ความรู้สึกผิด
การยอมรับเอามาเป็นความผิด เกิดจาก "ความกลัว" ไม่ใช่รู้สึกว่าเขาเป็นคนผิดเช่นนั้นจริงๆ


การที่เขากระโดดลงไปช่วยเด็กคนนั้น เพียงเพราะเขาพยายามไถ่บาปที่เขาได้ฉีดยาฆ๋าพ่อของเด็กคนนั้น


เขาไถ่บาปอะไรกัน!!?

พ่อของเด็กทำผิดจริง สมควรตายจริง ไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ที่ถูกใส่ความ

แล้วทำไม ดร.ทรูแมนถึงยอมรับเอามาเป็นความผิดบาปของตัวเองด้วย
ทั้งๆที่เขาก็แค่ "ทำหน้าที่" ในขอบเขตความรับผิดชอบของตัวเองไม่ใช่หรือ


เขาไม่ชี้นิ้วไปยังทนาย อัยการ ผู้พิพากษา ลูกขุน ในครรลองก่อนหน้า
และยิ่งไม่ชี้นิ้ววางโทษแก่ตัวนักโทษผู้ลงมือทำความผิดนั้นด้วยซ้ำ

แต่เขากับเอานิ้วทั้งสิบหันใส่ตัวเอง
กำรับโทษความผิดนั้นใส่ตัวทั้งหมด



ตอนที่ดร.ทรูแมนได้รับการแจ้งว่ามะเร็งนั้นลุกลามไปจนเกินเยียวยาแล้ว
เขาคำรามบอกออกมาว่า "ผมไม่ได้อยากอยู่ แค่กลัวสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า"


เขาไม่ได้กลัวความตาย แค่กลัวสิ่งที่รออยู่หลังความตาย


เพราะงั้น


เขาถึงยอมรับเอาความผิดทั้งหมดมาเป็นของตัวเอง


เพราะเชื่อว่านั่นคือการไถ่บาป...บาปในการทำงานแทนพระเจ้า


...นี่ใช่สิ่งที่เรียกว่า "ศรัทธา" หรือเปล่านะ
จนป่านนี้ เราก็ยังทำความเข้าใจคำคำนี้ไม่ได้เลย เวลามันไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่หาคำอธิบายไม่ได้
หรือเพราะยิ่งจับต้องไม่ได้ คนเราถึงต้องยิ่งมีศรัทธาหรือเปล่า





"ซีเลีย" แม่ของเด็กผู้ชายได้รับรู้โดยบังเอิญในเรื่องของดร.ทรูแมน

เมื่อลูกได้รับการรักษาจนปลอดภัย เธอเดินมาหาดร.ทรูแมน
สายตาคู่นั้นเกรี้ยวกราด เธอสาดคำพูดใส่หน้า เธอผลักภาระแห่งความผิดใส่มือเขา
"ฉันไม่ยกโทษให้คุณ ไม่มีวันยกโทษให้ คุณต้องทนอยู่กับสิ่งที่คุณทำลงไป"



การหาคนรับความผิดเพื่อลดความรู้สึกผิดในใจของตัวเอง
เพื่อตัวเองจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ
เพื่อให้มีคนรับรู้และแบ่งปันถึงความเจ็บแค้นที่สุมกัดกินใจ
และเพื่อ...หลอกตัวเอง



มันยากหรือง่ายกว่ากัน
...ทำแบบดร.ทรูแมน
หรือ
...ทำแบบซีเลีย


มันคงขึ้นว่าเราอยู่ในสถานการณ์ไหน และเป็นคนแบบใด



แม้ท้ายสุด

ไม่ว่าจะฝ่ายไหน ต่างคนต่างก็จมในความรู้สึก 'เจ็บ' ไม่ต่างกัน


















Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2553 3:56:32 น. 7 comments
Counter : 843 Pageviews.

 


โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:12:06:33 น.  

 
โทษคนอื่นง่ายกว่าโทษตัวอง เพราะเรารักตัวเองมากมั้งค่ะ


โดย: บางส้มเปรี้ยว วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:14:08:41 น.  

 
เราดู Series เรื่องเดียวกันอีกแล้วหล่ะพี่ O_o

กำลังร่ำๆชั่งใจว่าจะหาแผ่นมาเก็บไว้ในครอบครองทั้งหมดดีหรือไม่ (ตอนนี้เก็บถึง Season 8 เท่านั้นเอง ขาดอีกเกือบครึ่ง)

ตอนนี้ยังไม่ได้ดูเลยค่ะ (ช่วงห้าซีซั่นสุดท้ายดูไม่ครบอ่ะ แต่ที่เหลือน่าจะเก็บเกือบๆหมดนะ)

อ่านข้อเขียนของพี่แล้วนึกถึงหนังสือของคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ที่กล่าวถึงเรื่องในอดีตชาติซึ่งเกี่ยวพันกับอาการป่วยเรื้อรังของเขา...อันนี้อ่านแบบใช้วิจารณญานนะคะ ^^"

คุณอาจินต์เล่าว่ามีคน(หรือวิญญาณ)บอกเขาว่าสาเหตุของอาการปวดหัวเรื้อรังในชาตินี้เป็นผลมาจากการที่เข้ามีหน้าที่ทรมานนักโทษเมื่อชาติก่อน ทั้งๆที่มันเป็นหน้าที่นี่แหล่ะ แต่เหมือนว่าจะมีคนหนึ่งที่ไม่ได้มีความผิดจริง และเขาก็ยังต้องทรมานคนๆนั้นอยู่ดี ประมาณนี้...

ตอนอ่านก็ตั้งคำถามว่า เอ...ถ้าเราทำร้ายคนอื่นโดยที่มันเป็นหน้าที่ของเราแบบนี้ เราจะบาปไหมหนอ (แอบเบี่ยงประเด็นจากข้อเขียนพี่เล็กน้อย)

จริงๆความรู้สึกผิดที่กัดกินใจแต่ละคนมันก็คือการตกนรก...ส่วนคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสบายใจไม่ได้ต้องกังวลกับสิ่งที่ตัวเองทำ ก็เหมือนกับขึ้นสวรรค์ก่อนตาย

คนที่ไม่สามารถยกโทษให้กับสิ่งที่ตัวเองทำกับคนที่ป้ายความผิดไปให้คนอื่นทั้งหมดก็ต่างอยู่ในนรกของตัวเองทั้งนั้นเลย

จิตที่อาฆาตพยาบาท ไม่ให้อภัยคนที่ทำให้เราไม่มีความสุขก็เหมือนตกนรกเหมือนกันค่ะ เรียนรู้มาจากสังคมแฟนคลับนี่แหล่ะ

(วันนี้มาโหมดธรรมะยังไงไม่รู้แฮะ )


โดย: gibt วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:16:18:37 น.  

 
การเก็บความผิดไว้กับตัว สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการให้อภัยตัวเอง

การโทษคนอื่น ใช้ความกล้าแค่เพียงครั้งแรกเท่านั้น ครั้งที่สองก็จะไม่ยากอีกต่อไป

ซึ่งการโทษคนอื่น เป็นกลไกทางจิตใจอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่ใช้ในการป้องกันความเจ็บปวดทางจิตใจค่ะ


โดย: blue passion วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:19:18:55 น.  

 
ความจริงแล้วลึกๆคนเราก็โทษตัวเองทุกคนแหละคับ

แต่สิ่งที่แสดงออกมา คือการหลอกตัวเอง
ปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง ปลอบใจตัวเองหลอกตัวเอง

สวัสดียามดึกคับ


โดย: sKY (2ndStory ) วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:21:51:27 น.  

 
สวัสดียามเที่ยงคร้าบ^^
บุญรักษาจริงๆแหละครับ ถึงได้เจ็บเพียงเท่านี้

มีสิ่งศักดิ์สิทธิคุ้มครองอิอิ
มีความสุขมากนะครับ


โดย: Sky (2ndStory ) วันที่: 9 มีนาคม 2553 เวลา:11:42:33 น.  

 
ป้าอี๊ดมาเยี่ยมคร่า เรื่องนี้ลึกซึ้งอีกแล้ว คืนนี้กลับมาอ่านนะ ติดไว้ก่อน


โดย: dolores วันที่: 27 เมษายน 2553 เวลา:7:52:31 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Quaver
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ




Friends' blogs
[Add Quaver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.