Bloggang.com : weblog for you and your gang
Group Blog
ทานตะวัน
หลากเรื่องยุ่งอิลุงตุงนังมาแบกบาล
วิ่งตลอนตลุยไปกับนักล่าฝัน
เมื่อ...ผีเสื้อขยับปีก
touch de scène
Time Between Nat and Tol
Emotion
Tempus Fugit
My QS Project : เรื่องเขียนสลับกันอ่าน
<<
กุมภาพันธ์ 2553
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
22 กุมภาพันธ์ 2553
คนที่เรายกโทษให้ยากที่สุด ก็คือ 'ตัวเราเอง'
All Blogs
สิ่งงดงาม...ที่คุณเข้าครอบครองได้ ในที่สุด : Mad Men
งั้นเสียงของพระเจ้าเป็นยังไง!? : The Newsroom
...ขอเป็นเศษฝุ่นเศษผงเสียยังจะดีกว่า
เลือกจะเป็นคนแบบไหน...บนโลกที่เป็นสีเทาใบนี้
SOUTHLAND เด็กใหม่ที่ไม่ใหม่อีกแล้ว
ในที่สุด ดอน ก็หยุดความโสดลง(จนได้)
สองทางกลางกระแส
แม่ของหนูแอบจูบกับซานต้าเมื่อคืน~!
หรือนี่จะเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ปํญหาการรังแกเกย์?!
คนที่เรายกโทษให้ยากที่สุด ก็คือ 'ตัวเราเอง'
จูบแรก...อีกหลายต่อหลายครั้ง
มิโอะ ทสุขุฉิ...ฉันจะเป็นเหมือนกับไม้หลักนำทางเรือให้กับเธอ
19 ปี 3 เดือน
หมายความว่า ฉันชนะ ไงล่ะ
เมียของผมบนโลกนี้มีเพียง คาโอรุ คนเดียว
'เกลือ' ของครอบครัว
พระเจ้าฉีกแผ่นเนื้อคู่แล้วโปรยลงมา ให้ฉันคู่เธอ
เมื่อไรจะ เข้าหอ...หวา!!?~
เธอถูกกำหนดให้เป็นคนของฉัน ตั้งแต่...ตอนที่เกิดมาแล้ว
บางที...นี่อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเจอกัน
โป๊กเกอร์เกม วินิค ปะทะ แซนโตส:The West WingVII
Requiem II :The West Wing VII
Requiem I :The West Wing VII
Hypocrite , Be Compassion not Blame; The West Wing
เส้นบางเบาที่ขีดกั้น ;CSI: NY III:what schemes may come
มันช่างเป็น คำสารภาพรัก ที่ยอดเยี่ยมกับ CSI Miami season 6 : All In
คนที่เรายกโทษให้ยากที่สุด ก็คือ 'ตัวเราเอง'
...ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เรา'ติด'กับในความคิดนี้
มันอาจจะฟังแปลก
แต่เมื่อเดินทางมายืนตรงจุดนี้ของชีวิตมันทำให้เริ่มเข้าใจ และมองเห็นกับเรื่องราว กับความรู้สึกได้ต่างไปจากสมัยเมื่อยังเด็ก
เพราะงั้น...มันเลยไม่แปลก....ละมั๊ง!?
ถ้าคิดแบบผ่านๆ มองโดยไม่ค้นให้ลึก
"การชี้นิ้ว โทษคนอื่น ให้พ้นจากตัวเอง"
ดูจะเป็นเรื่องทำได้ง่าย
ส่วน
"การยอมรับเอาความผิดทั้งหมดใส่ตัวเอง"
กลับจะเป็นเรื่องทำได้ยาก หรือไม่อยากทำ
...แต่มันจริงแค่ไหนกัน??!
เมื่อมองผ่านอีกมุม
คนเราต้องใช้ความกล้าแค่ไหน ในการกวาดความผิดใส่คนอื่น ให้คนอื่นรับไปเต็มๆ
...เราเองคิดว่ามันไม่ง่ายหรอกนะ
อาจฟังดูตลก แต่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องการใช้ "
ความกล้า"
อย่างอักโข
ถึงมันจะเป็นความกล้าในทางที่ห่วยแตกตามทีก็เถอะ
เพราะงั้น
"การยอมรับเอาความผิดทั้งหมดเป็นของตัวเอง"
เราถึงได้มองว่ามันง่ายดายกว่าเยอะ
เพราะอะไรงั้นเหรอ
...คงเพราะมัน "ปลอดภัย" (ในชีวิตและทรัพย์สิน -____-"~)
จริงๆนะไอ้เรื่อง "ความปลอดภัย" นี่น่ะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลอดภัยจาก
"ความหวาดระแวง"
ในสิ่งที่จินตนาการไปล่วงหน้า ไอ้เรื่องที่จะตามมาด้วยฝีมือผู้อื่น
เหลือให้แค่ระวัง'ใจ'ตัวเอง
เหลือแค่รับมือกับความหลอนที่ตามติดเป็นเงาตามตัว ซึ่งจะว่าไปมันคือ "ความใจไม่เป็นสุข"
เพียงเพราะ
ใจยอมรับไม่ได้กับความผิดนั้น
แต่เมื่อมองอย่างแยกแยะ ยิบย่อยลงไปอีก
ความผิดแบบไหนที่คนเราสามารถยอมรับเอามาเป็นของตัวเองได้ง่ายกว่า
คิดว่านะว่าความผิดในเชิง
"รูปธรรม"
นั้น ให้คนอื่นไปง่ายกว่าตัวเองรับไว้
คงเพราะ...มันจับต้องได้ล่ะมั๊ง
แต่เมื่อมันเป็นความผิดในเชิง
"นามธรรม"
คนเรามักโกยเข้าใส่ตัวเองอย่างง่ายดายเกินคาด
แล้วที่แย่กว่านั้นก็คือ เมื่อยอมรับเอาเป็นความผิดของตัวเองแล้ว
มันก็กลับกลายเป็นเรื่องยากยิ่งกว่ายาก
ที่จะ
ยกโทษให้กับตัวเองในความผิดนั้น
ER
season XIV
"Atonement"
ดร.โรเบิร์ต ทรูแมน...ไม่น่าต่างจากนี้ไกลสักเท่าไร
ดร.ทรูแมนเข้ามารับการรักษาพร้อมกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เขาได้กระโดดลงทะเลสาบอันเย็นเฉียบเพื่อช่วยชีวิตไว้
เขาร้องตะโกนบอก "เกร็ก" หมอในห้องerที่เข้ามาดูแลว่า
"ช่วยเขาเท่ากับช่วยผม"
และคร่ำครวญย้ำอีกว่า
"โปรดช่วยเขา ไม่งั้นผมตกนรกแน่"
ดร.ทรูแมนเป็นหมอในเรือนจำมาถึง 16 ปี
หน้าที่ของเขาก็คือ การฉีดยาพิษให้กับนักโทษประหาร
เขาฉีดยาให้กับนักโทษเหล่านั้นมากกว่า 10 ราย
จนถึงรายสุดท้าย เกิดความผิดพลาดในการฉีดยา เขาต้องทำการแก้ไขจนภาระกิจลุล่วงไปจนได้
แต่ปรากฏภายหลังในอีกสามเดือนต่อมาว่า นักโทษคนนั้นโดนใส่ความ
ทำให้เขาร่ำร้องอย่างหวาดกลัวว่าเขาละเลยสิ่งที่พระเจ้าทรงส่งสัญญาณให้เขา 'หยุด' ฆ่าชีวิตผู้อื่น
จุดนั้นเองที่ดร.ทรูแมน กอดรับเอาความผิดในการคร่าชีวิตนักโทษประหารทุกคนที่เขาลงมือฉีดยาพิษนั้น เข้ามาเป็นความผิดของตัวเอง
ประโยคหนึ่งที่เขาพูดกับเกร็กแสดงให้เห็นถึงสาเหตุที่ทำให้เขากล่าวโทษตัวเอง
"ใครจะอยู่หรือตาย ควรเป็นเรื่องของพระเจ้า ไม่ใช่ลูกขุน"
ประโยคเดียวนี้ มันบอกอะไรหลายอย่าง
อย่างหนึ่งวิ่งชนเปรี้ยงในความคิดก็คือ คนเขียนบทตอนนี้ ต่อต้านโทษประหารชีวิตแน่นอน(ว่ะ)
เขากำลังบอกอะไรล่ะ
บอกว่า คนเราไม่มีสิทธิ์อะไรในการตัดสินการอยู่หรือตายของผู้อื่น
แม้ว่าไอ้คนนั้นมันสารเลวจนไม่สมควรมีลมหายใจต่อแม้อีกวินาทีเดียว
ไม่ว่าใคร ก็ไร้ซึ่งสิทธิ์นั้น
ไม่มีใครยิ่งใหญ่ปานนั้น
เราลองถามตัวเอง ก็ได้รับคำตอบอย่างง่ายดายว่า เราไม่เคยต่อต้านโทษประหารชีวิต
เราคิดว่ามันสมควรด้วยซ้ำไป
คนพรากชีวิตคนอื่นไม่ว่าจะเป็นหรือตาย คนอย่างนั้นไม่สมควรมีชีวิตลอยหน้าอยู่ต่อไป
คนพรรค์นั้นมีสิทธิ์อะไรหายใจ ในเมื่อพรากลมหายใจคนอีกคนไป
ความคิดเราก็หยุดแค่ตรงนั้น
เราไม่เคยคิดเลยไปกว่านั้น
เราไม่เคยคิดว่าเมื่อตัดสินไปแล้วว่าไอ้คนนั้นมันสมควรตาย
แล้วใครล่ะจะเป็นคนลงมือ
เราอาจจบแค่พอใจที่คนสมควรตาย ถูกตัดสินให้ตาย
โดยทำเป็นเมินเฉย ไม่รับรู้ถึงวิธีการตาย ผลักภาระการพรากหนึ่งชีวิตให้กับคน "มีหน้าที่" นั้นไป
เราลืมนึกถึงใจ ถึงความรู้สึกคนที่ต้องทำหน้าที่นั้นไป...จริงไหม
แค่วางคำว่า "หน้าที่"
แล้วคนหนึ่งคนนั้นจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรในการปลิดชีวิตคน
ในการฆ่าคน
...ถ้าคิดแบบนี้ ใจคนจะทั้งกระด้างและเย็นชาขนาดไหนกัน
ดร.ทรูแมนใกล้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต มะเร็งของเขาลามไปจนทั่วปอด
"ความกลัว" ของเขาไม่น่าใช่ความรู้สึกผิด
การยอมรับเอามาเป็นความผิด
เกิดจาก "ความกลัว"
ไม่ใช่รู้สึกว่าเขาเป็นคนผิดเช่นนั้นจริงๆ
การที่เขากระโดดลงไปช่วยเด็กคนนั้น เพียงเพราะเขาพยายามไถ่บาปที่เขาได้ฉีดยาฆ๋าพ่อของเด็กคนนั้น
เขาไถ่บาปอะไรกัน!!?
พ่อของเด็กทำผิดจริง สมควรตายจริง ไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ที่ถูกใส่ความ
แล้วทำไม ดร.ทรูแมนถึงยอมรับเอามาเป็นความผิดบาปของตัวเองด้วย
ทั้งๆที่เขาก็แค่
"ทำหน้าที่"
ในขอบเขตความรับผิดชอบของตัวเองไม่ใช่หรือ
เขาไม่ชี้นิ้วไปยังทนาย อัยการ ผู้พิพากษา ลูกขุน ในครรลองก่อนหน้า
และยิ่งไม่ชี้นิ้ววางโทษแก่ตัวนักโทษผู้ลงมือทำความผิดนั้นด้วยซ้ำ
แต่เขากับเอานิ้วทั้งสิบหันใส่ตัวเอง
กำรับโทษความผิดนั้นใส่ตัวทั้งหมด
ตอนที่ดร.ทรูแมนได้รับการแจ้งว่ามะเร็งนั้นลุกลามไปจนเกินเยียวยาแล้ว
เขาคำรามบอกออกมาว่า
"ผมไม่ได้อยากอยู่ แค่กลัวสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า"
เขาไม่ได้กลัวความตาย แค่กลัวสิ่งที่รออยู่หลังความตาย
เพราะงั้น
เขาถึงยอมรับเอาความผิดทั้งหมดมาเป็นของตัวเอง
เพราะเชื่อว่านั่นคือการไถ่บาป...
บาปในการทำงานแทนพระเจ้า
...นี่ใช่สิ่งที่เรียกว่า
"
ศรัทธา"
หรือเปล่านะ
จนป่านนี้ เราก็ยังทำความเข้าใจคำคำนี้ไม่ได้เลย เวลามันไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่หาคำอธิบายไม่ได้
หรือเพราะยิ่งจับต้องไม่ได้ คนเราถึงต้องยิ่งมีศรัทธาหรือเปล่า
"ซีเลีย"
แม่ของเด็กผู้ชายได้รับรู้โดยบังเอิญในเรื่องของดร.ทรูแมน
เมื่อลูกได้รับการรักษาจนปลอดภัย เธอเดินมาหาดร.ทรูแมน
สายตาคู่นั้นเกรี้ยวกราด เธอสาดคำพูดใส่หน้า เธอผลักภาระแห่งความผิดใส่มือเขา
"ฉันไม่ยกโทษให้คุณ ไม่มีวันยกโทษให้ คุณต้องทนอยู่กับสิ่งที่คุณทำลงไป"
การหาคนรับความผิดเพื่อลดความรู้สึกผิดในใจของตัวเอง
เพื่อตัวเองจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ
เพื่อให้มีคนรับรู้และแบ่งปันถึงความเจ็บแค้นที่สุมกัดกินใจ
และเพื่อ...หลอกตัวเอง
มันยากหรือง่ายกว่ากัน
...ทำแบบดร.ทรูแมน
หรือ
...ทำแบบซีเลีย
มันคงขึ้นว่าเราอยู่ในสถานการณ์ไหน และเป็นคนแบบใด
แม้ท้ายสุด
ไม่ว่าจะฝ่ายไหน
ต่างคนต่างก็จมในความรู้สึก 'เจ็บ' ไม่ต่างกัน
Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2553 3:56:32 น.
7 comments
Counter : 843 Pageviews.
Share
Tweet
มอร์นิ่งๆ คร้าา^^
โดย:
หาแฟนตัวเป็นเกลียว
วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:12:06:33 น.
โทษคนอื่นง่ายกว่าโทษตัวอง เพราะเรารักตัวเองมากมั้งค่ะ
โดย:
บางส้มเปรี้ยว
วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:14:08:41 น.
เราดู Series เรื่องเดียวกันอีกแล้วหล่ะพี่ O_o
กำลังร่ำๆชั่งใจว่าจะหาแผ่นมาเก็บไว้ในครอบครองทั้งหมดดีหรือไม่ (ตอนนี้เก็บถึง Season 8 เท่านั้นเอง ขาดอีกเกือบครึ่ง)
ตอนนี้ยังไม่ได้ดูเลยค่ะ (ช่วงห้าซีซั่นสุดท้ายดูไม่ครบอ่ะ แต่ที่เหลือน่าจะเก็บเกือบๆหมดนะ)
อ่านข้อเขียนของพี่แล้วนึกถึงหนังสือของคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ที่กล่าวถึงเรื่องในอดีตชาติซึ่งเกี่ยวพันกับอาการป่วยเรื้อรังของเขา...อันนี้อ่านแบบใช้วิจารณญานนะคะ ^^"
คุณอาจินต์เล่าว่ามีคน(หรือวิญญาณ)บอกเขาว่าสาเหตุของอาการปวดหัวเรื้อรังในชาตินี้เป็นผลมาจากการที่เข้ามีหน้าที่ทรมานนักโทษเมื่อชาติก่อน ทั้งๆที่มันเป็นหน้าที่นี่แหล่ะ แต่เหมือนว่าจะมีคนหนึ่งที่ไม่ได้มีความผิดจริง และเขาก็ยังต้องทรมานคนๆนั้นอยู่ดี ประมาณนี้...
ตอนอ่านก็ตั้งคำถามว่า เอ...ถ้าเราทำร้ายคนอื่นโดยที่มันเป็นหน้าที่ของเราแบบนี้ เราจะบาปไหมหนอ (แอบเบี่ยงประเด็นจากข้อเขียนพี่เล็กน้อย)
จริงๆความรู้สึกผิดที่กัดกินใจแต่ละคนมันก็คือการตกนรก...ส่วนคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสบายใจไม่ได้ต้องกังวลกับสิ่งที่ตัวเองทำ ก็เหมือนกับขึ้นสวรรค์ก่อนตาย
คนที่ไม่สามารถยกโทษให้กับสิ่งที่ตัวเองทำกับคนที่ป้ายความผิดไปให้คนอื่นทั้งหมดก็ต่างอยู่ในนรกของตัวเองทั้งนั้นเลย
จิตที่อาฆาตพยาบาท ไม่ให้อภัยคนที่ทำให้เราไม่มีความสุขก็เหมือนตกนรกเหมือนกันค่ะ เรียนรู้มาจากสังคมแฟนคลับนี่แหล่ะ
(วันนี้มาโหมดธรรมะยังไงไม่รู้แฮะ
)
โดย:
gibt
วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:16:18:37 น.
การเก็บความผิดไว้กับตัว สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการให้อภัยตัวเอง
การโทษคนอื่น ใช้ความกล้าแค่เพียงครั้งแรกเท่านั้น ครั้งที่สองก็จะไม่ยากอีกต่อไป
ซึ่งการโทษคนอื่น เป็นกลไกทางจิตใจอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่ใช้ในการป้องกันความเจ็บปวดทางจิตใจค่ะ
โดย:
blue passion
วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:19:18:55 น.
ความจริงแล้วลึกๆคนเราก็โทษตัวเองทุกคนแหละคับ
แต่สิ่งที่แสดงออกมา คือการหลอกตัวเอง
ปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง ปลอบใจตัวเองหลอกตัวเอง
สวัสดียามดึกคับ
โดย: sKY (
2ndStory
) วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:21:51:27 น.
สวัสดียามเที่ยงคร้าบ^^
บุญรักษาจริงๆแหละครับ ถึงได้เจ็บเพียงเท่านี้
มีสิ่งศักดิ์สิทธิคุ้มครองอิอิ
มีความสุขมากนะครับ
โดย: Sky (
2ndStory
) วันที่: 9 มีนาคม 2553 เวลา:11:42:33 น.
ป้าอี๊ดมาเยี่ยมคร่า เรื่องนี้ลึกซึ้งอีกแล้ว คืนนี้กลับมาอ่านนะ
ติดไว้ก่อน
โดย:
dolores
วันที่: 27 เมษายน 2553 เวลา:7:52:31 น.
ชื่อ :
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
Quaver
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [
?
]
เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ
artists
Friends' blogs
Webmaster - BlogGang
[Add Quaver's blog to your web]
Links
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.