Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
11 มกราคม 2552
 
All Blogs
 
Requiem II :The West Wing VII



และแล้วก็มาถึงการถ่ายทำแบบlongshot ที่กล่าวนำตั้งแต่ต้น เริ่มด้วย.....

ภาพจับเจ้ดก้มต่ำมองพื้น โดยมีแอ็บบี้เป็นกำลังใจอยู่ไม่ห่าง เมื่อพยายามดึงพลังในตัวก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องรับเลี้ยง ความเศร้าหมองสวมหน้ากากยิ้มแย้มรื่นเริงเมื่อก้าวเดินเข้าไปในห้องงานพิธีอำลาลีโอ
กล้องตามจับไปกับจังหวะการเคลื่อนไหวของเจ้ด บาร์ทเล็ตด้วยการให้เจ้ดเดินตรงตรงเข้าหากล้องก่อนเบี่ยงกล้องตามหลัง ผู้คนในห้องถูกมาร์คตำแหน่งให้เข้ามาอยู่ในเฟรมด้วยจังหวะการขยับของเจ้ด
“ลีโอจะโกรธมากถ้าเรายังเศร้าอยู่แบบนี้” เจ้ดร้องขึ้นก่อนหันมองรอบตัวเรียกหา “เราต้องการดนตรีหน่อยนะ เรามีดนตรีหรือเปล่า”
“ฉันมีเครื่องเล่นซีดีอยู่ในห้อง” สตาฟคนหนึ่งพูดขึ้น
“ต้องอย่างนี้สิ” เจ้ดหมุนตัวกลับไปข้างหลังตามเสียง

แล้วความผิดพลาดของกล้องก็เกิดขึ้น เมื่อตามจังหวะเจ้ดพลาดจึงเกิดฉากดำมืดทั่วจอเกิดขึ้น ก่อนกล้องเบี่ยงไปตามเมื่อเจ้ดหันไปทักเด้บบี้เลขาคนเก่ง จนมาถึงซี.เจเมื่อจูบทักทายตามธรรมเนียมแล้ว ซี.เจพยักเพยิดไปทางมาร์กาเร็ต ลูกน้องคนสนิทของลีโอที่ยืนเศร้าอยู่ไม่ห่าง
เจ้ดเดินนำไป กล้องจับตามจากด้านหลัง
มาร์กาเล็ตที่หันหลังให้อยู่ถูกเจ้ดสะกิดที่ไหล่ แล้วเจ้ดเดินอ้อมไปด้านหน้าทำให้กล้องหมุนอีกด้านมายังอีกฟากของโต๊ะบุฟเฟ่ห์
“แม่หนู ลีโอรักคุณนะรู้ใช่ไหม” เจ้ดกล่าวให้กำลังใจ
มาร์การเล็ตรัวพยักหน้ารับ
“ผมไม่รู้ว่าถ้าไม่มีคุณเขาจะทำได้อย่างไร”

จากนั้นคือการเล่าเรื่องราวบางเรื่องครั้งหาเสียงครั้งแรกของเจ้ดกับลีโอที่มาร์กาเร็ตเป็นหนึ่งในสตาฟนั้น กล้องค่อยๆหมุนรอบจากโต๊ะมาจนถึงด้านหลังของเจ้ด เห็นภาพแบ็คกราวด์เป็นนักแสดงทั้งตัวเอกและตัวประกอบอยู่ตามจุดตามตำแหน่งแสดงท่าทางยิ้มหัวรับ
ก่อนเปลี่ยนไปจับผู้คนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงแต่ละคน

มาหยุดจับนิ่งสีหน้าที่แสดงความกังวลใจของแอ็บบี้กับทีท่าเสแสร้งร่าเริงจนเกินเหตุของสามีตัดกับสีหน้ายิ้มแย้มกับเรื่องเล่าขำขันในอดีตจากฝีปากปธน.ของผู้คนทั่วทั้งห้อง

Longshotนี้ยาวเพียง 1 นาที 22 วินาทีถึงแม้จะดูสั้นแต่ทุกอย่างต้องวางแผนไว้เป็นอย่างดี จังหวะทั้งกล้องและการแสดงรวมถึงตำแหน่งต้องเป๊ะและตามกันให้ทัน แต่กระนั้นแม้วางแผนมาอย่างดี ความผิดพลาดมีเกิดขึ้นจนได้ แต่ทางทีมงานยังคงนำมาฉายไม่ได้ตัดต่อทิ้งไป ก็ต้องนับถือใจจริงๆ


ฉากยังคงเป็นในห้องงานเลี้ยง มาถึงธีมฝันสลายของแดนนี่

“ผมเอาเครื่องดื่มมาให้ไหม” แดนนี่รินไวน์ให้คลอเดีย จีน
“ก่อนที่คุณจะมอมเหล้าฉัน ฉันต้องบอกคุณว่า...” ซี.เจ. แก้ตัวเสียงอ่อนออกมา
“คุณเป็นสาวบริสุทธิ์” แดนนี่สวนเบาๆ
“ไม่ใช่”
“เจ็บใกล้ตาย”
“เปล่า” ซี.เจ.แทบไม่อยากสบตาแดนนี่ “เรื่องที่ฉันชวนคุณก่อนหน้านี้น่ะ”
“ที่คุณเสนอจะมีเซ็กส์กับผมงั้นเหรอ” แดนนี่เย้าแล้วยิ้มจนกว้าง
“ใช่” ซี.เจ.กระซิบบอกแบบระวังตัว “แต่มันเป็นไปไม่ได้แล้ว”
รอยยิ้มกว้างของแดนนี่ค่อยๆเหี่ยวเหมือนดอกไม้โดนแดดจ้า
“ดอนน่าไม่มีที่อยู่ ฉันเลยบอกให้เธอมาค้างที่ห้องฉันได้”
“เธอมาได้” แดนนี่ยังมองไม่เห็นปัญหา “คุณจะไม่อยู่ที่นั่น เธอจะได้ครองบ้านคนเดียวไง”
“ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้”
“ทำไม”
“แล้วจะให้ฉันบอกเธอว่าฉันไปนอนที่ไหนล่ะ” ซี.เจแจงปัญหาให้เห็น
“แล้วใครจะสนว่าคุณบอกเธอว่าอะไรล่ะ” แดนนี่ก็ยังไม่เข้าใจ
“เธอจะถามแล้วฉันต้องแต่งเรื่องขึ้นมา” ซี.เจ.ไม่ยอมตามใจเพราะมีสาเหตุ “หูฉันจะแดงเวลาฉันพูดโกหกแถมยังพูดติดอ่างอีก เธอจะจับโกหกได้”
ทำเอาแดนนี่อ้าปากค้างกับคำแก้ตัวแบบเด็กน้อยของผู้หญิงทรงอิทธิพล
“คุณจะบอกว่าที่ไม่ไปค้างบ้านผมเพราะคุณไม่รู้ว่าจะบอกดอนน่าว่ายังไงน่ะหรือ”
“มันไม่เกี่ยวกับดอนน่า มันเกี่ยวกับว่าฉันต้องใช้เวลาทั้งบ่ายเพื่อหาทางวางแผนจะบอกหรือไม่บอกเธอดี หรือไม่ต้องมีคำอธิบายใดใดแม้แต่กับตัวเอง” ซี.เจชักโยงเรื่องเล็กวุ่นไปจนกวัดเกี่ยวอีกเรื่อง “ฉันไม่รู้และไม่เข้าใจว่าเรื่องของเราคืออะไรหรือจะลงเอยอย่างไร”
แดนนี่ชักกลุ้มหลับตาส่ายหัวกับอาการคิดมากของสาวตรงหน้า
“แล้วฉันก็จะมัวแต่คิดเรื่องนั้นตลอดแม้แต่ตอนฟังคนอื่นพูดถึงเรื่องความตายหรืองานรัฐบาลน่ะ” คลอเดีย จีน ใส่เป็นชุดไม่หยุด
แดนนี่มองอาการตีตนไปก่อนไข้ของซี.เจ.อย่างเอ็นดูจนเห็นได้ชัด โดยที่ซี.เจ.ไม่สามารถเบรคคำพูดที่รินไหลดั่งสายน้ำไว้ได้
“เราผลัดไม่คุยเรื่องนี้มาเจ็ดปีแล้ว ผลัดอีกคืนหนึ่งไม่เสียหายอะไรหรอก”

ดอนน่าลอบหันมามองคนทั้งคู่อย่างไม่แน่ใจเดินเข้ามาทักทายเป็นการช่วยหยุดน้ำไหลบ่าของซี.เจ.พอดี
“ดีใจที่ได้เจอคุณนะ” แดนนี่เหล่ประชดดอนน่าที่เข้าเป็นมารขวางความฝันโดยไม่รู้ตัว


แล้วก็ถึงเวลาที่ว่าที่ปธน.มาพบเจอกับปธน.คนปัจจุบันที่งานเลี้ยง
นำโดยเจ้ดปรบมือกล่าวต้อนรับ โดยจอชที่เดินเคียงข้างมาเดินถอยหลังเปิดที่พร้อมปรบมือไปพร้อมกับผู้คนในงานเลี้ยง
คลอเดียหันไปมองแดนนี่ที่ยืนอยู่ข้างหลัง แดนนี่ส่งสายตาอาฆาตมอบคืนให้

จอชได้รับการทักทายจากเอมี่เพื่อนเก่าที่มีอดีตร่วมกัน แล้วดึงตัวจอชออกไปเพราะมีเรื่องอยากคุยด้วย โดยมีสายตาดอนน่ามองตามอย่างระแวง

“รายชื่อมีใครบ้าง” สาวแกร่งเพื่อสิทธิเสมอภาคของสตรีเปิดปากถามขึ้น
“สำหรับงานตำแหน่งไหน” จอชเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่จอชยากจะรับมือจริงๆ “จาก 6,000 ตำแหน่งที่เราต้องหาคนมาภายใน 10 อาทิตย์”
จอชทำเป็นเฉไฉ
“งานของลีโอ” เอมี่ไม่เล่นเกมตาม “ฉันมีบางความคิด”
“แครอล เกลซี่ย์อยู่ในรายชื่ออยู่แล้ว” จอชก็ยังทันเช่นเคย
“อยู่ลำดับไหนล่ะ” สาวสวยดักคอขึ้นมา
“ที่อันดับต้นๆ” ทำเอาจอชชักลำบากใจที่จะตอบ
“อย่างอันดับหนึ่งงั้นเหรอ”
“อย่างอันดับสอง” จอชตอบให้จบ
“เบเกอร์อันดับหนึ่ง” เอมี่บอกให้รู้ว่าเท่าทันเช่นกัน
“ใช่”
“มันไม่ถูกต้อง มันเป็นตัวเลือกที่แย่มากนะ คุณไม่น่าที่จะให้คนคิดว่าพวกคุณใจแคบตั้งแต่แรกนะ” สาวสวยพยายามกล่อม
“เวลาเราคุยกันผมรู้สึกดีจังเลย” จอชบอกยิ้มๆ
“คุณไม่ต้องการเบเกอร์ คุณชนะเพนซิลวาเนียโดยไม่ต้องให้เขาช่วย” เอมี่เริ่มจริงจัง แล้วแนะอนาคต “ในอีกสี่ปีจากนี้ไป ส.ส.หญิงจากฟลอริด้าจะเหมือนของขวัญจากสวรรค์เลยนะ”
“เบเกอร์มีประสบการณ์” รอยยิ้มหายไปจากหน้าจอช การพูดคุยเริ่มเป็นการเป็นงาน
“เกลซีย์เป็นส.ส.นานกว่าแซนโตสถึง 6 ปี” เอมี่ใส่อารมณ์กับข้ออ้างของจอช “ตอนเธอทำงานฝ่ายจัดสรรเขายังต้อนวัวอยู่ที่ฮิวสตันส์อยู่เลย”
“เธอลงสมัครชิงผู้ว่าแต่เธอแพ้” จอชบอกข้อด้อยของผู้ถูกเสนอชื่อกลับไป
“นั่นเป็นเรื่องเมื่อ 10 ปีก่อน” เอมี่ไม่ยอมแพ้ “คะแนนนิยมของทั้งรัฐเธออยู่ที่ 63%”
“แซนโตสต้องการคนที่มีประสบการณ์บริหารอย่างจริงจัง” จอชยืนกราน “ท่านผู้ว่าเพนซิลวาเนียมีประสบการณ์มาก เราต้องการนักการเมืองอาวุโส มันเป็นเรื่องของบารมี”
“คุณอยากได้ลีโอ แมคแกร์รี่ต่างหาก” เอมี่สาดน้ำกรดใส่หน้าจอช “แต่เขาไม่อยู่แล้ว” แล้วใส่ไม่ยั้ง “นี่มันจะเป็นโอกาสที่ไม่ต้องกล่อมประชาชนว่าผู้หญิงก็ทำงานตำแหน่งสูงได้ พวกเขาจะยอมรับแต่โดยปริยาย”
“คุณคิดว่าเธอเก่งพอๆกับเบเกอร์อย่างนั้นหรือ” สายตาจอชบอกแววประเมินโดยไร้คำพูด
“ฉันคิดว่าเธอเก่งกว่าด้วยซ้ำไป” เอมี่ตอกกลับมา

และเป็นการต้อนจอชให้จนมุมอีกด้วย
จอชออกมาตามหาว่าที่ปธน.เพื่อให้คุยกับเอมี่โดยตรง แต่มาเจอดอนน่าที่เหมือนจะเฝ้ารออยู่แล้วพุ่งเข้ามาคุย หลังจากจอชถามหาถึงทั้งเจ้ดและแซนโตสจนได้รับคำตอบครบถ้วนแล้ว
ชีวิตส่วนตัวของจอชถึงได้มีโอกาสโผล่หน้ามาหายใจกับเขาบ้าง

“คุณยังมีกุญแจอพาร์ทเมนต์ผมอยู่หรือเปล่า” จอชเบี่ยงตัวมาคุยให้ลับสายตาคนอื่นทรุดนั่งที่เก้าอี้ยาวติดผนัง
“ฉันมีกุญแจดอกหนึ่งมาหกปีแล้ว คุณเปลี่ยนล็อคหรือเปล่า” ดอนน่าตามมานั่งด้วย ย้อนประโยคที่(น่า)จะมีรอยประชดเล็กๆอยู่ในนั้น
“เปล่า...เดี๋ยวคุณควรแวะไปนะ” จอชเสนออย่างมุ่งหวัง
“น่ารักจัง แต่ไม่ได้หรอก” ดอนน่าลูบหัวเสร็จปุ๊บตบหลังปั๊บ
“ทำไมล่ะ” จอชเริ่มไม่เข้าใจ “ผมนึกว่าสาวการคลังขี้ตื่นอยู่บ้านคุณเสียอีก”
“ใช่ ฉันก็เลยขอพักกับซี.เจไง” ดอนน่าตอบเหมือนไม่เห็นประเด็น
“ก็ยกเลิกสิ” จอชแนะนำอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องยากลำบากอะไร
“ไม่ได้”
“ทำไมล่ะ” จอชเลยหันมาแปลกใจทวีคูณ
“เธอจะถามถึงสาเหตุน่ะสิ” ดอนน่าทำเสียงแบบว่าไม่น่าถามเลยนะจอช
“โกหกไปสิ” จอชยังพยายามต่อไป
“เธอเป็นเพื่อนนะ” ดอนน่ากดเสียงตอบ
“ทำไมคุณไม่มาถามผมว่าค้างบ้านผมได้ไหมล่ะ” ผู้ชายหน้าโง่ยังทำเป็นถามโง่ๆอีก
“ฉันไม่รู้ว่าเราไปถึงขั้นนั้นหรือเปล่า” ดอนน่าข้องใจในความสัมพันธ์
“งั้นโอเคถ้ามีเซ็กส์ที่โรงแรมแต่ที่บ้านผมไม่ได้งั้นสิ” จอชประชดกลับ
“มันเป็นเรื่องของขั้นตอน” ดอนน่าประชดกลับแรงกว่า “บางคนอึดอัดกับเรื่องแบบนั้นและฉันก็นึกว่าคุณก็เป็นแบบนั้น”
“อึดอัดที่จะมีเซ็กส์ที่บ้านผมงั้นเหรอ” จอชทำเป็นย้อนถามเสียงสูง
“คุณจะบอกว่าฉันต่างหากที่เป็นคนที่รู้สึกอึดอัดแล้วก็เป็นคนประเภทยากที่จะกล่อมใช่ไหม” ดอนน่าใส่ข้อกล่าวหาเข้าตัวชายหนุ่ม
“ไม่ใช่อย่างนั้น” จอชชักเอ๋อแก้ตัว แล้วมองเมินไม่กล้าสบตา
“แต่ขอบคุณที่ถามนะ” ดอนน่าตบท้ายกับตาดุๆ “น่ารักมากล่ะ”




ดูฉากนี้จบแล้วยิ้มเลยล่ะ
บทสนทนานี้บ่งบอกการแก้เผ็ดแถมเอาคืนอย่างแรงของสาวน้อยที่ถูกจุดอารมณ์กรุ่นมาจากชาร์ลีจนมาเห็นอดีตกิ๊กเก่าอย่างเอมี่ดึงจอชไปอีกห้อง

ดอนน่าลุกหนีไปทิ้งจอชนั่งเซ็งอยู่ลำพัง...ไม่นาน
เพราะเพื่อนผู้ตกในชะตาแบบเดียวกันเปี๊ยบเข้ามาทรุดตัวนั่งข้างๆ
แดนนี่ทรุดตัวลงนั่งพร้อมเสียงถอนหายใจยาว แล้วหันไปมองคลอเดีย จีนที่ยืนคุยกับมาร์กาเล็ตอย่างแมวที่จ้องปลาย่างในจานใบสวยที่กำลังยกมาเสิร์ฟต่อหน้าแต่แค่พริบตาก็ลอยหายไป
สองหนุ่มที่ไม่รู้ว่าเส้นด้ายแดงแห่งโชคชะตาผูกติดกันไว้ หันมาสบตากันทำหน้าชวนเซ็งชีวิตทั้งคู่
“เป็นพิธีไว้อาลัยที่ดีมาก” แดนนี่ประชดประชัน
ส่วนจอชก็เหนื่อยล้าทางอารมณ์จนเกินจะพูดต่อปากต่อคำ

ภาพตัดมาที่แซนโตสนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ จอชเดินเข้ามาพบ
“ท่านปธน.กลับไปแล้ว” จอชเริ่มเปิดบทสนทนาไกลตัวออกไปหน่อยหยั่งเชิง
“ใช่ ผมเห็นแล้ว” แซนโตสหันกลับมาเขียนบางอย่างบนโต๊ะ “บ็อบ รัสเซลล์อาสาเป็นรองปธน.ต่อถ้าเราต้องการ”
“งั้นเหรอ แล้วคุณบอกเขายังไง” จอชเดินเข้ามาทรุดนั่งลงข้างกัน
“ผมขอบคุณเขาที่ทำงานรับใช้ชาติมานานหลายปีแล้วควรที่จะหาทางปลีกตัวออกมาได้แล้ว” แซนโตสพูดติดตลก
ทำให้จอชหลุดหัวเราะออกมา ก้มหน้าถอนหายใจอย่างหนักอก
“เอมี่ การ์เนอร์ดันแครอล เกลซีย์หนักมาก”
“สำหรับตำแหน่งรองปธน.หรือ”
“เธอเป็นคนดังที่ฟลอริด้า แล้วคนทุกพรรคในเขตเธอก็สนับสนุนเธอ” จอชนำเสนอโพรไฟล์
“คุณเชื่อหรือ” แซนโตสดูจะไม่เชื่อถือเท่าไร
“อาจจะเชื่อ” แล้วลุกขึ้นเดินไป “เอมี่อยู่ที่ล็อบบี้เผื่อคุณอยากฟังจากเธอดู”


แล้วแซนโตสก็วางฟางเส้นสุดท้ายหลงบนหลังลาที่กำลังเดินออกนอกห้องไป
และเป็นการแจงความน่ารังเกียจของพวกล็อบบี้ยิสต์ผ่านบทสนทนาอย่างเนียนกริบ

“แบร์รี่ กู๊ดวินบอกว่าคุณไปพูดกับเขาเรื่องที่จะให้สเวนเป็นรมต.ว่าการกระทรวงกลาโหม”
“ใช่” ท่าท่างจอชเหนื่อยหนัก...โดยเฉพาะที่ ‘ใจ’
“เขายังคิดว่ามันเป็นความคิดที่เข้าท่า แต่จอชคุณก็ยังไม่เห็นด้วยงั้นสิ” แซนโตสไขว้ห้างเงยมอง
“ใช่แล้วครับ” จอชพยายามข่มอารมณ์ที่เหมือนตัวเองกำลังถูกรุกไล่ให้จนมุม
“เขายังคิดว่าผมควรหาอีกสิบเสียงให้ทิม ฟิลด์” แซนโตสเห็นว่าฟางมันดูจะวางไม่ถูกที่ จับวางให้ลงตรงกลางหลังจนพอดี
ความอดทนของจอชเลยขาดผึง
“คุณจะมอบตำแหน่งประธานสภาให้กับส.ส.เพื่อนซี้ปึ้กของคุณไม่ได้”
“คุณไม่อยากให้กฎหมายการปฏิรูปการล็อบบี้ผ่านหรือ” แซนโตสย้ำนโยบายการเมืองของเขา
“ไม่...ถ้ามันหมายถึงการยัดเยียดลงคอแกนนำเดโมแครตทุกคน” จอชฟิวส์ขาดหลุดออกมาไม่ระวังวาจาอีกแล้ว “ไม่! ถ้าเราไม่อยากพังกันลงไป”
“ถ้าคุณตัดพวกล็อบบี้ออกไปได้ เรื่องล็อบบี้จะหายไปตลอดกาลนะ” ว่าที่ปธน.ยกเหตุผลเดิมที่ยังหาคนให้เหตุผลดีดีโต้กลับไม่ได้มาตอกใส่หน้าจอช
“ถ้าคุณไม่มั่นใจในคำแนะนำของตัวผมล่ะก็...” จอชท้าทายโดยมีความฉุนในอารมณ์บังจนมองไม่ได้มองใบหน้าที่แทบจะเก็บรอยยิ้มไม่มิดของแซนโตส
“นี่ยังเกี่ยวกับเรื่องที่แบร์รี่เป็นคนดูแลการผลัดถ่ายคณะรัฐบาลหรือ” แซนโตสย้อนถามกลับเสียงสูง
“กู๊ดวิน ประธานสภา สเวน” จอชไล่เลียงความขัดแย้ง
“ผมขอโทษถ้าคุณเคืองผมที่ผมจ้างกู๊ดวินโดยไม่ปรึกษาคุณก่อน” แซนโตสถอย..และถอยไปนั่งเก้าอี้ ประชดกลับมาอย่างใส่อารมณ์
“การสนับสนุนฟิลด์เป็นเรื่องผิดพลาด” จอชทะลักความคิดแทบเทกระจาดแจงออกมาให้เคลียร์ “งานในทำเนียบเป็นเรื่องการเมือง” พยายามและพยายามอีกครั้งให้ว่าที่ปธน.รับฟังความคิด “หน้าที่ผมในฐานะหัวหน้าสำนักงานปธน.คือกันไม่ให้คุณทำพลาดเรื่องการเมือง แล้วเรื่องนี้ก็เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ด้วย”

ภาพจับใบหน้าด้านข้างของแซนโตสที่นิ่งฟังอยู่เหมือนมีความพอใจบางอย่างแฝงอยู่ในนั้น

“ถ้าคุณต้องการคนที่ตอบรับเห็นด้วยทุกอย่างทุกเรื่องล่ะก็” จอชกางแขนสองข้างออกกว้างท้าทาย และแทบจะตะโกนใส่หน้าว่าที่ปธน. “ผมไม่ใช่คนคนนั้น!”

หลังจากระเบิดอารมณ์ออกไปจนจบจอชก็เดินหนีไปโดยไม่หันกลับมาดู
กล้องเคลื่อนถ่ายจากจอชที่แทบกระโจนหนีไปจากมุมด้านหลังของแซนโตส ทุกคำพูดช่วงนี้ของจอชภาพไม่จับให้เห็นความรู้สึกของแซนโตสแม้แต่แวบเดียว เห็นเพียงแผ่นหลังแน่นหนาภายใต้สูทเนื้อดีแล้วค่อยแพนกล้องตามมารับใบหน้าด้านข้างเผยให้ได้เห็นแววตาที่แสดงความพอใจ รอยยิ้มตรงมุมปาก พร้อมกับหยิบโพยกระดาษในมือออกมา

...และนี่คือความคิดส่วนตัว
หลังจากที่ดูตอนนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง คิดว่าตัวเราไม่น่าจะเข้าใจผิด
การแสดงของจิมมี่ สมิทธิ์ในบทบาทของแมทธิว แซนโตส สื่อให้เห็นอากัปกิริยาที่เก็บซ่อนหลังจากพูดเหมือนท้าทายหรือทำเป็นไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นจากจอช หรือแม้กระทั่งการกล่าวอ้างเอาความคิดของแบร์รี่มาใช้แล้วทำให้จอชถึงกับสะอึก มันมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ ทั้งรอยยิ้มและรอยตาเหมือนจะท้าทายว่าจอชจะรับมือกับตนเองในฐานะประธานาธิบดีอย่างไร จะยอมตามใจหรือยอมขัดใจ จะกล้าแย้งขนาดไหนเมื่อความเห็นไม่ลงรอยกัน โดยการบีบให้จอชระเบิดออกมาจนยอมบอกเหตุผล ความคิดอ่านจนถึงความรู้สึกออกมาตรงๆ
และรอยยิ้มสุดท้ายที่เมื่อจอชระเบิดออกมาจริงๆว่าถ้าคุณต้องการ yes man ผมก็ไม่ใช่คนคนนั้น
สำหรับเราเราคิดว่า ในที่สุดจอชก็สอบผ่านกับข้อสอบโหดหินข้อสุดท้ายที่ออกโดยมือของประธาธิบดีคนต่อไป

เหตุการณ์ตอนนี้ทำให้นึกย้อนกลับไปสมัยที่ลีโอกับเจ้ด ยามระเบิดอารมณ์เพราะความเห็นขัดแย้งไม่ลงรอย แล้วต่างผลัดกันยอม ผลัดกันชนะ
พอหมดหยุดสมัยสิงห์เฒ่า ก็เปลี่ยนถ่ายมาเป็นเสือหนุ่มรุ่นคะนองยิ่งไม่ต่างเลย
ภาพจากเอพิโสตสุดท้ายของซีรี่ส์เรื่องนี้ “Tomorrow” วันแรกในห้องรูปไข่กับตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อสตาฟที่เหลือทยอยถอยออกไป
แซนโตสทรุดตัวลงนั่งหลังโต๊ะไม้โอ๊คตัวใหญ่ จอชเดินมานั่งด้านข้างไม่ห่าง เริ่มงานชิ้นแรกร่วมกัน เป็นการสร้างยุคสมัยแซนโตส-จอช ภาพแสงสีทองอร่ามจับปกคลุมทั่วทั้งห้อง กล้องค่อยๆเคลื่อนถอยออกมาเห็นชายหนุ่มฉกรรจ์สองคนจับมือกันทำงานเพื่อวันพรุ่งนี้
มันคือ ‘อนาคต’




จอชทอดถอนหายใจหนักยาววว เดินจำอ้าวเร็วมาก่อนหันแว้บมองกลับไปยังทิศทางที่ระเบิดอารมณ์จากมา เดินมาหาเอมี่บอกว่าแซนโตสรอคุยด้วยเรื่องแครอล เกลซี่ย์ ทำเอาเอมี่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่จอชทำให้ (ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลย กับผู้หญิงแกร่งคนนี้ จอชไม่เคยรับมือไหวสักครั้ง...จริงไหมล่ะจอช)
หลังจากเอมี่ทั้งขอบคุณทั้งชมจอชไปแล้ว จู่ๆก็อยากแปลงร่างเป็นกามเทพขึ้นมาเอาดื้อๆ

“ฉันมีชื่อให้คุณ” หลังจากฟังจอชล้อเลียนชีวิตรักส่วนตัวของตนจบไปแล้ว อยู่ๆเอมี่ก็เอ่ยขึ้นมา
จอชถอนหายใจยาวให้เห็นชัดๆ ทั้งเหนื่อยทั้งรำคาญกับความดื้อดึงของผู้หญิงคนนี้
“เราคุยเรื่องรองปธน.กันไปแล้ว ถ้าคุณจะหาคนมา...” จอชเข้าใจไปอีกทางกับคำพูดของสาวสวย
“ไม่” เอมี่รีบปฏิเศษสวนขึ้นมา “สำหรับคุณคนเดียว สำหรับเซ็กส์และการสนทนาแบบผู้ดี”

....ในหัวจอชคงมีแต่เรื่องงาน งาน และงาน
ให้อดีตคนเคยรัก มาจับคู่ให้นี่ มันจะเรียกความตกต่ำในชีวิตได้ไหมนะจอชนะ
แถมยังโดนแดกดันว่าตัวเองเป็นคนบกพร่องทางการสื่อสารตบท้ายอีกด้วยนี่มัน....ฮ่า ฮ่า ฮ่า

“ฟังดูไม่น่าเชื่อเท่าไรนะ” จอชยังคงไม่วางใจกับลูกเล่นของแม่สาวคนนี้ด้วยความที่รู้จักกันดีเกินไป
“ซาร์ร่า โพเทโร่” เอมี่เปิดเผยสาวลึกลับคนนั้นออกมา “เธอเป็นเพื่อนที่ดี และคุณไม่คู่ควรกับเธอ แต่จะทำไงได้ล่ะ โลกใบนี้มันก็โหดร้ายแบบนี้ล่ะ”
“เราไม่ควรคุยเรื่องนี้กัน” ขนาดจอชยังรู้เลย เพื่อนของอดีตนี่นะ...โห~
“มันถึงเวลาแล้วนะโจชัว” เอมี่เตือนอย่างหวังดี “คุณถึงวัยที่ควรแต่งงานได้แล้ว”
“ตอนนี้คุณชักพูดเหมือนแม่ผมเข้าไปทุกทีแล้ว” จอชบ่นงึม

หลังจากปล่อยให้จอชอยู่ในอุ้งมือแม่เสือสาวมาจนใจเกินทนทานไหว
ดอนน่าเดินปรี่ตรงมา
“เราถึงเวลาที่จะต้องไปที่พักท่านปธน.กันได้แล้ว”
ดอนน่าตรงเอาเรื่องข่าวตำแหน่งงานที่ลือออกมาสู่นักข่าวมาใช้ดึงโจชัวหันเหความสนใจ
เอมี่ที่หันหลังไปเติมไวน์ส่งเสียงถามปนบอกเล่ากลายๆลอยมาให้อีกหนึ่งสาว
“คุณรู้จัก ซาร์ร่า โพเทโร่หรือเปล่า”
“จากกระทรวงยุติธรรมใช่ไหม”
“ใช่”

ดอนน่าปลีกตัวเดินเข้ามาคุยกับเอมี่ทิ้งให้จอชยืนเตะขาวางตัวไม่ถูกอยู่ด้านหลัง
“คุณว่าจอชควรโทรหาเธอไหม” เอมี่หาพวก
จอชแทรกเสียงบอกมา “สำหรับเดท”
ดอนน่าหน้าหันขวับ ถามเสียงสูงปิ๊ด “กับคุณหรือ”

ตาที่ไม่ยิ้มเลยของดอนน่าขณะที่สบกับจอชหลังจากจอชพยักหน้ารับ
บ่งบอกชัดว่า ดอนน่าเห็นเงียบๆปล่อยๆจอชแบบนี้ ขี้หึงสะบัด
หน้าจอชออกเจื่อนๆติดยิ้มนิดๆแบบคนที่ไม่รู้จะจับตัวเองวางไว้ตรงไหนดี
องค์ประกอบภาพจับจอชอยู่ระหว่างโฟว์กราวด์เลือนรางของสองสาว

“คุณไม่คิดว่ามันถึงเวลาแล้วหรือ” เอมี่ยิ่งรุกไล่
“ผมมันแก่ไปแล้ว” จอชเก็บรอยยิ้มไว้ในดวงตาจับจ้องดอนน่าที่เดินถอยกลับมาหาตนกล่าวเชิงติดตลก
“ซาร่าห์เข้าทีมาก เธอเป็นคนน่ารักมาก” ดอนน่าพยายามเก็บความรู้สึกเล่นตามน้ำ
“เห็นไหมล่ะ เธอเป็นคนในวงการเมืองแต่ไม่ได้อยู่ในทำเนียบ” เอมี่พยายามแจงข้อดีที่เหมาะสมระหว่างคนที่เธอจะจับคู่ด้วย “พวกคุณจะได้มีเรื่องคุยกันโดยไม่ต้องขัดแย้งกันอีกด้วยนะ”

ภาพจับเอมี่ที่หันมาเผชิญหน้าคู่รักที่ปกปิดเอาไว้ โดยมีฉากหลังเป็นว่าที่ปธน.ก้าวเดินจ้องมองอยู่ไม่ห่าง
“เธออยากหาคนคบแบบจริงจัง คุณควรแกล้งทำอย่างนั้นเหมือนกันด้วย” เอมี่รุกคืบหนัก
“ได้เลย” จอชรับปาก
“ผู้ใหญ่เขาทำแบบนี้กันรู้ไหม” เอมี่สั่งสอนปิดท้าย

ภาพแซนโตสเอามือซุกกระเป๋าจากฉากหลังชัดขึ้นเรื่อยๆ จนก้าวเดินเข้ามาในวงสนทนา
“ผู้ใหญ่เขาทำอะไรกันหรือ” ตาของแซนโตสจ้องจับที่คู่กรณีอย่างจอช
ก่อนก้าวตรงเข้าทักทายเช็คแฮนด์กับเอมี่

“เราจะปล่อยให้พวกคุณได้พูดคุยกันครับ” มือของจอชอ้อมไปแตะแขนพาตัวดอนน่าขยับตามกันมา “เราจะไปให้ไกล ออกไปให้ไกล”

จอชก้มหน้าจ้ำเดินหนีไปเปิดโอกาสให้เอมี่ มันอาจด้วยรอยบาดหมางที่เกิดขึ้นก่อนหน้ายังไม่หายเจ็บจากใจผสมโรงไปด้วย
แต่แล้วเสียงที่ส่งออกมาก็กลับแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างชายหนุ่มสองคน
ยกแรก...จะเรียกว่าจอชชนะได้ไหมนะ

“จอช” เสียงเรียกจากแซนโตสทำให้ขาที่กำลังก้าวเดินหนีหยุดชะงัก “ผมโทร.นัดส.ส.ฟิลด์มาคุยกันคืนนี้”
“คุณอยากให้ผมอยู่ด้วยไหมครับ” จอชเริ่มรับรู้กับนัยยที่ผ่านแววตาของแซนโตส
“ไม่ต้องหรอก” แซนโตสนิ่งมอง ยิ้มนิดๆในที “ขอบคุณ”

ผู้ชายอย่างจอชเก็บความรู้สึกไม่เก่งเท่า สีหน้าบ่งบอกไม่ใช่ว่าได้รับชัยชนะ แต่แสดงความพอใจที่คำพูดของเขาได้รับการยอมรับและยอมฟัง ความเคร่งเครียดที่เกาะกุมมาทั้งวันเริ่มโบกมือลาไปจากใบหน้าที่ชักจะยับแล้วของจอช


เอมี่พยายามโฆษณาคุณสมบัติของแครอล เกลซี่ย์
แล้วคำตอบที่ออกมาจากปากแซนโตสไม่ผิดเพี้ยนไปจากปากจอช ทั้งๆที่ทั้งสองยังไม่ได้สนทนากันเรื่องนี้ด้วยซ้ำไป
“เธอจะดูเหมือนถูกเลือกเพื่อแสดงจุดยืน”
เมื่อเอมี่ยืนกรานเกี่ยวกับ บทบาทของผู้หญิงที่ก้าวเข้ามามีอิทธิพลต่อการโหวตให้พรรคเดโมแครต
“คะแนนจากเพศตรงข้ามทำให้เดโมแครตชนะ ถ้ามีแต่ผู้ชายโหวต เดโมแครตไม่มีทางชนะการเลือกตั้งแน่” เอมี่เตือนทั้งรอยยิ้ม

...ทำให้ได้รู้ฐานคะแนนของทั้งสองพรรคได้โดยง่ายจากบทสนทนาแค่ประโยคเดียว...ยอดจริงๆ

เมื่อเอมี่ยิ่งย้ำว่าให้ผู้หญิงก้าวเข้ามาได้รับผลตอบแทนบ้างกับการเลือกตั้ง แต่ยังไม่เพียงพอให้แซนโตสเปลี่ยนใจ เบเกอร์ยังคงอยู่ในอันดับหนึ่งอยู่ดี
แล้วผู้ต้อนกลายเป็นผู้ถูกต้อน เรามองเห็นผ่านจากบทสนทนาต่อไปนี้

“จอชบอกว่า คุณจะไม่มีทางทำงานในทำเนียบขาว” แซนโตสพูดเกริ่นนำธรรมดาเหมือนไม่สำคัญ
“ฉันมีเป้าหมายของฉัน” เอมี่ยึดมั่นในความคิดตน “ฉันมีเป้าหมายในการดำเนินงาน ทำงานโดยไม่อ่อนข้อ คนเรียก..”
“ผมคิดว่าอย่างนี้” แซนโตสเริ่มวางกับดัก” ก็การขว้างหินใส่บ้านมันง่ายกว่าการสร้างบ้าน” แล้วเริ่มปิดประตูไม่ให้มีทางรอด “และผมคิดว่าคุณพร้อมที่จะเริ่มงานอย่างอื่นได้แล้ว”
“คุณกล่าวหาว่าฉันขี้ขลาดอย่างนั้นหรือ..คะ” เอมี่ฉุนกึก
“ผ.อ.ฝ่ายงานนิติบัญญัติ” ว่าที่ปธน.เป็นคนเสนองานให้ด้วยตัวเอง “ซ่อมแซมจากภายใน” ท้าทายตบท้ายก่อนเดินจากไป “ผู้ใหญ่เขาทำกันแบบนี้”


ในที่สุด...ผู้ชายที่ทำให้เอมี่แพ้ได้ก็คือ ว่าที่ประธานาธิบดีแซนโตสนี่เอง
และบ่งบอกถึงความฉลาดและเล่ห์กลพอตัวของแซนโตส ในเมื่อไม่อาจรับเอาตัวแทนที่องค์กรสิทธิสตรีเสนอมาได้ การเอาตัวเอมี่มาทำงานให้ได้ ก็ถือเป็นการระงับความไม่พอใจขององค์กรนี้ได้แถมยังกุมหัวใจฐานคะแนนเสียงสนับสนุนทางฝ่ายผู้หญิงไว้ในกำมืออีกด้วย กลทางการเมืองที่แซนโตสใช้ครั้งนี้ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง


กลับมายังคู่รักปากแข็ง เดินคู่กันมา
ดอนน่าทำเป็นพูดเรื่องซี.เจที่เรียกให้จอชไปพบก่อนวกกลับมาที่...
“ซาร่าห์น่ารักมาก” ผู้หญิงปากแข็งที่ขี้หึงก็เป็นแบบนี้เอง
“หยุดเถอะ”
“ฉลาด น่ารัก หุ่นดี” จะหยุดได้ไง ดอนน่ายังแกล้งไม่หนำใจเลย
“นี่ชักจะแปลกขึ้นทุกทีแล้ว” จอชยิ้มกริ่มแบบนกรู้ขึ้นมาบ้าง


จอชเดินเข้าห้องซี.เจ. ห้องที่จะกลายเป็นที่ทำงานของเขาในอนาคต และเป็นอดีตของหัวหน้าที่เปรียบดังพ่อและเพื่อนอย่างลีโออีกด้วย
หลังจากซี.เจ.เสนอชื่อคนที่จะให้เข้าร่วมงานกับคณะทำงานของแซนโตสแก่จอชแล้ว

“ฉันคิดถึงลีโอตอนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวนั้น” ซี.เจ.พยักไปด้านหน้า
จอชหันกลับไปมองเก้าอี้บุผ้าที่มีร่องรอยของอดีตกุมอยู่
“มันแปลกดีนะ นาทีหนึ่งเราอยู่ที่นี่ แต่อีกนาทีหนึ่ง...ก็จากไปแล้ว”
จอชได้แต่นิ่งฟัง

...เศร้าจริงๆฉากนี้


บนห้องพักเจ้ด บาร์ตเล็ต
“ลบสิบองศาหนาวซะจนทำให้กระดูกร้าวได้ ผมไม่มีทางลงจากรถโดยไม่สวมแจ้คเก็ตแต่ลีโอไม่ยอมให้สวม เขาบอกว่ามันจะทำให้ผมดูเหมือนเพิ่งเดินออกมาจากทุ่งน้ำแข็ง” เจ้ดยืนชงกาแฟแล้วเดินหันกลับมานั่งที่โซฟา “แต่ขอบอกก่อนนะผมโตขึ้นที่นิวแฮมเชียร์ แต่เขากลับบอกผมว่าประชาชนจะไม่โหวตให้ผมเพราะผมใส่เสื้อกันหนาว”
จอชและดอนน่าเดินเข้ามา
“มาแล้วเหรอ นั่งสินั่ง” เจ้ดตะโกนเรียก “ผมเพิ่งเล่าเรื่องเสื้อกันหนาวไป” เจ้ดชี้ไปยังคนที่มาก่อน “สองคนนี้หลับไปแล้ว ส่วนชาร์ลีก็เคยฟังไปแล้ว”
“มากกว่าหนึ่งครั้งด้วยครับ” ชาร์ลีรีบบอกออกมา
“เลือกตั้งรอบแรกที่นิวแฮมพ์เชียร์หรือคะ” ซี.เจ.ระลึกความหลัง
“แล้วลีโอไม่ยอมให้เสื้อกันหนาวผม เราสองคนเลยดึงยื้อกันไปมา แล้วตอนที่เราต่างคนต่างดึง จอชก็เปิดประตู..” เจ้ดหันไปมองด้านหลังที่จอชยืนอยู่ไม่ห่าง
“ไม่ใช่ผม” จอชปฏิเศษเสียงสูง เลียเศษขนมในมือไปมา
“เป็นคุณนั่นแหล่ะ” เจ้ดยืนกราน
“ผมไม่ได้อยู่ที่นั่นนะครับ” ขนมเต็มปากขณะที่จอชเอ่ยปฏิเศษอีกครั้ง
“คุณอยู่ที่นั่น” เจ้ดหัวดื้อไม่ยอมแพ้ “ใครเป็นคนเล่ากันแน่ คุณหรือผม”
“ท่านครับ” จอชเลยต้องเป็นคนยกธงขาว
“งั้นก็มานั่งซะ แล้วเงียบฟังเฉยๆ” เจ้ดบอกแกมเผด็จการกวักมือเรียก

ทุกคนต่างพากันหัวเราะ จอชเดินมานั่ง เจ้ดหันไปชี้ทันที
“จอช ไลแมนเปิดประตูรถในขณะที่ลีโอปล่อยมือจากเสื้อพอดี ผมเลยปลิวออกมานั่งก้นกระแทกบนถนนต่อหน้ากล้องทีวี 50 ตัว”
“มีแค่ประมาณ 5 ตัวเท่านั้นค่ะ” ซี.เจ.แก้จำนวนให้ถูกต้องชนิดตัดงบไปเยอะ
“ซี.เจ.แล้วหนังสือพิมพ์ยูเนี่ยนลีดเดอร์สฉบับเช้าต่อมาลงพาดหัวข่าวว่าไงนะ”
“ลูกเด็กท้องถิ่นคนโปรดล้มก้มจ้ำเบ้าในรัฐแกรนิต” ซี.เจ.นึกทีละคำ
“มีรูปผมนอนแอ้งแม้ง” เจ้ดกลั้วหัวเราะตาม “ยังกับถูกกฎหมายสวัสดิการของจอห์น ฮอยน์ น็อคเอาน่ะ”

ลีโอกับเจ้ด กับวีรกรรมที่ล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกัน

ต่อมาคือนิสัยใจคอ ความเนี้ยบของสิงห์เฒ่าคนนี้

“ครั้งแรกที่ผมเจอลีโอเขาสวมสูทของอิตาลี ที่ราคาแพงพอๆกับโครงการอวกาศ” วิล แบร์รี่ย์เล่า
“สูทอังกฤษไม่ใช่อิตาลีครับ” ชาร์ลีแก้ให้ถูกต้อง “ของซาร์ไวล์ โรว์”
“เขาเคยสวมสูทตัวเดียวมากกว่าสองครั้งหรือเปล่านะ” ดอนน่าเปิดประเด็น
“ใส่ซ้ำครั้งเดียวก็แทบจะไม่เคยเห็น” ชาร์ลีรู้จริงยิ่งกว่า
“แล้วเสื้อ ‘สีพีช’ นั่นล่ะ” ซี.เจ.เน้น
“ ‘แอปปริคอต’ เขาพูดแก้ให้ฉันมากกว่าหนึ่งครั้ง” แอนนาเบธคนที่ก้าวมาดูแลลีโอตอนรันvpพูดขึ้น “ฉันชอบเสื้อสีชมพูของเขา มีผู้ชายไม่กี่คนที่ใส่เสื้อสีนั้นได้”
“แล้วลีโอก็ไม่ใช่หนึ่งในนั้น” ซี.เจ.พูดขัดขึ้นหน้าตาเฉย

เรียกเสียงหัวเราะขึ้นอีกครั้ง

แล้วก็มาเปิดเผยนิสัยใจคอของลีโอที่เราไม่เคยได้รู้จัก

“เขาเคยโม้เรื่องเดวิสคัพให้ใครบ้างหรือเปล่าครับ” เป็นวิลชงขึ้นอีกครั้ง
“อืมมม ใช่” จอชร้องขึ้นมา
“ฉันก็เคยโดน” ซี.เจก็โดน
“เรื่องเดวิสคัพอะไรค่ะ” แอนนาเบธสงสัยขึ้นมา
“ลีโอชอบโม้แหลกเพื่อดูว่าใครจะเป็นคนโดนหลอกได้ง่ายบ้าง” คราวนี้ถึงคิวจอชเผานายบ้าง “ก็เรื่องที่เขาติดทีมเดวิสคัพก่อนที่หัวเข่าจะพังน่ะ”
ภาพจับไปที่สีหน้ายิ้มอย่างมีความสุขของเจ้ด
“แล้วก็ยังมีเรื่องที่เขาเป็นเซียนหมากรุกเล่นกินเงินที่สแควร์ปาร์ค” วิลพูดต่อ
“หรือเรื่องที่เขาเป็นคนขับรถไฟ” ดอนน่าตามมา
“เคยเป็นนักเบสบอลไมเนอร์ลีค” จอชหลุดหัวเราะ
“ถ้าคุณเชื่อเขา เขาก็จะยิ่งโม้หนักขึ้นเรื่อยๆ” เจ้ดการันตีความขี้โม้ของเพื่อนสนิท
“เรื่องโปรดของฉันคือที่เขาเกือบติดทีมลูจโอลิมปิคเมื่อปี 1962” ซี.เจ.เปิดเผยอีกเรื่อง
“เขาไม่ติดทีมลูจโอลิมปิคปี 1962 หรือคะ” แอนนาเบธพูดด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อบ่งบอกว่าตัวเองยังคงหลงในวังวนคำโม้ของลีโออยู่จนถึงตอนนี้
“ปี 1962 ไม่มีโอลิมปิคนะ” วิลให้หลักฐานเพื่อจับคำโกหก
แอนนาเบธเลยหน้าเบ้กับความซื่อของตัว
“ไม่ต้องรู้สึกแย่หรอก” ซี.เจ.ปลอบใจ “ตัวฉันเองยังหลงเชื่อไปถึงเรื่องเบสบอลไมเนอร์ลีคด้วยซ้ำไป”
“คุณไม่รู้สึกว่ามันแปลกหรือที่เข่าเขาพังแล้วยังจะเล่นเบสบอลได้อีกน่ะ” จอชเย้ายิ้มๆ
“ผมเชื่อไปจนถึงเรื่องทีเขาเป็นครูเต้นรำนะครับ” วิลหลุดสารภาพออกมา
“ไม่ ไม่...นั่นเป็นเรื่องจริง” เจ้ดย้ำบอกอย่างหนักแน่น “เขาเป็นคนสอนผมเต้นฟอกส์ทร็อต”
“จริงหรือคะ” ซี.เจ.ย้อนถามเสียงสูงด้วยเหลือเชื่อ
เจ้ดหันมามองพยักหน้า ทำหน้าตาย...ซี.เจ.รู้ตัวแล้ว โดนอำอีกครั้งจนได้ เสียงหัวเราะประสานกับเสียงหัวเราะลงคอของเจ้ด คู่หูลีโอที่ลีลาไม่แพ้กัน



ตัดกับมาสู่ขั้นสุดท้ายของการชิงชัยตำแหน่งประธานสภา
ณ ตึกสำนักงานใหญ่ว่าที่ประธานาธิบดี

แซนโตสต้อนรับเพื่อนสนิท ส.ส. ฟิลด์

“เซลเนอร์ออกระดมหาเสียงหนักขึ้น” ฟิลด์โพล่งออกมาทันทีที่ก้าวประตูเข้ามา “เขาคิดว่าคุณจะระดมเสียงให้ผมน่ะ”
“เขาไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก” แซนโตสบอกกล่าวขึ้นมา “เพราะผมจะไม่ทำ”
เพื่อนเก่าได้รับคำตอบเกินความคาดฝันได้แต่ก้มหน้าสะกดอารมณ์
“คุณกล่อมให้เซลเนอร์สนับสนุนการปฏิรูปล็อบบี้ได้อย่างนั้นหรือ” ฟิลด์รุกหาเหตุผล
“เขาห่วงเรื่องการรักษาเสียงข้างมากไว้น่ะ” แซนโตสปฎิเศษ
“อย่าไปกังวลเรื่องประชาธิปไตย” ฟิลด์เยาะ
“ผมคิดว่าเขาคิดถูกในเรื่องนี้” แซนโตสก้มหน้าลงราวกับนักมวยที่หัวใจอยากสู้ต่อแต่ไม่เหลือพลังเพียงพอจนต้องยกธงขาว
“เรื่องที่พวกล็อบบี้มีสิทธ์ใช้เงินซื้ออะไรก็ได้นี่นะ” ฟิลด์ยังเยาะต่อเนื่อง
“เขาคิดผิดเรื่องนั้น” แซนโตสแย้ง “ผมจะผลักดันเรื่องนั้นต่อ” พร้อมทรุดตัวลงนั่ง “แต่เขาคิดถูกเรื่องปกป้องส.ส.”
“ใช่ ปกป้องจากพวกเอียงซ้ายอย่างคุณกับผมไง” ฟิลด์เริ่มสะกดอารมณ์ได้ยากขึ้น
“ทิม...แกนนำจะเป็นคนเลือกสรรประธานสภาเอง ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่เป็นที่เชื่อถือ” ในที่สุดแซนโตสก็เห็นด้วยกับจอช “และถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรเลย”
“คุณรู้ใช่ไหมถ้าเซลเนอร์ชนะเขาจะยำผมเละ” ฟิลด์วอนขอความเห็นใจ “ผมจะติดอยู่แค่งานกรรมการระดับล่าง อยู่จนดึกดื่นเพื่อ...”
“เขาจะทำอย่างนั้นถ้าคุณยังขืนสู้ชิงตำแหน่งกับเขาเท่านั้น” แซนโตสเริ่มหาทางออกให้
“คุณอยากให้ผมถอนตัวงั้นหรือ” ฟิลด์ย้อนถามเหมือนไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“ผมอยากให้คุณทำในเรื่องที่จะเป็นการดีต่อพรรค” แซนโตสใจเย็นพอที่จะกล่อมต่อ
ฟิลด์สับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
“มีงานอะไรในคณะรัฐมนตรีให้ผมหรือเปล่า” มันคือดิ้นรนครั้งสุดท้าย “พวกแผนกงานธุรกิจขนาดเล็กหรืองานมหาดไทยก็ได้”
“เราเสี่ยงที่จะเสียเสียงของคุณไม่ได้” แซนโตสลุกยืนเป็นสัญญาณจบการสนทนา “ในขณะที่เรามีเสียงนำอยู่แค่ 4 เสียงแค่นี้”

ในที่สุดฟิลด์ก็รู้สึกตัว แซนโตสคุยกับเขาในฐานะว่าที่ปธน.ไม่ใช่เพื่อนเก่า
ความไม่พอใจฉายชัดที่ใบหน้า รอยเครียดเกร็งบ่งบอกก่อนลุกตาม
“ให้อาหารกับหมาที่หิวโหยแล้วมันจะไม่แว้งมากัดคุณ” ฟิลด์แดกดันเพื่อนเก่าโดยไม่มองหน้า
และเมื่อตาทั้งคู่สบกัน “คนกับหมาแตกต่างกันตรงนี้ล่ะ”

กล้องตัดกับมารับสีหน้าและแววตาของแซนโตสกับประโยคข้างต้น ความเสียใจในแววตาบ่งบอกว่าตัวเองสูญเสียเพื่อนที่ดีไปคนหนึ่งแล้วในวันนี้ ทั้งๆที่เพื่อหน้าที่และผลประโยชน์ของบ้านเมือง เป็นความสะเทือนอารมณ์ชวนสะท้อนใจ
“ถ้าคุณอยากให้ช่วยเรื่องงบประมาณสำหรับฮิวส์ตัน...” แซนโตสขอยื้อความสัมพันธ์เท่าที่จะเป็นได้ฟิลด์ได้แต่แค่นเสียงออกมา ไม่รับเศษเนื้อที่ยื่นให้ หยิบเสื้อโค้ทจ้ำพรวดไปที่ประตู
“แหงล่ะ” เสียงกระแทกแดกดันถูกปล่อยออกมาปิดท้าย
แซนโตสได้แต่ยืนนิ่งมองเพื่อนสนิทจากไปโดยทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว



ก็เข้าใจและเห็นใจทั้งสองฝ่าย
การเมืองไม่ว่าชาติไหน บุญคุณกับหน้าที่มันแยกกันลำบาก
และเมื่อคนที่ก้าวสู่อำนาจในมือ เลือกหน้าที่มากกว่าบุญคุณเพื่อชาติบ้านเมือง
สิ่งที่สูญเสียอาจเป็นความสัมพันธ์ที่ดีอันยาวนาน เหลือเพียงความคลางแคลงต่อกัน
การยืนในคนละตำแหน่ง หัวโขนที่สวมต่าง ทำให้ความเข้าใจอันดีที่มีต่อกันมันอาจสูญสลายไปจนไม่อาจคืนกลับมาเหมือนดั่งเดิม


ซีนสุดท้ายตัดกลับมา เสียงของประธานาธิบดียังคงเรื่องเล่าครั้งความหลัง
“15 ปีก่อนผมชวนเขาไปตกปลาเพื่อที่จะให้เขาอดบุหรี่ได้”
“ลีโอตกปลาด้วยหรือครับ” ขนาดจอชลูกน้องคนสนิทลีโอยังแปลกใจกับข้อมูลนี้
“ตั้งแคมป์และตกปลา” แอ็บบี้ขอเป็นคนยืนยันแถมลงรายละเอียดลึก “ลีโอไม่อยากไปไหนที่มองไม่เห็นรถเขาน่ะ”
“เขาแอบเอาบุหรี่ใส่กล่องอุปกรณ์ตกปลาไปด้วย” เจ้ดเล่าความขี้โกงของเพื่อน “เขาคอยแวบเข้าป่าเพื่อไปสูบบุหรี่”
กล้องตัดมาที่แอ็บบี้ สายตาจับจ้องเจ้ดอย่างกังวลและเป็นห่วง
“ผมเลยต้องเอาเขาลงเรือไปกลางทะเลสาบ” เจ้ดเริ่มเปิดเผยวีรกรรมเด็ดของลีโอ “หลังจากสิบชั่วโมงเขาก็อยากนิโคตินเลยโวยวายให้ผมเอาเรือเทียบฝั่ง ผมบอกว่าไม่ เรายังจับปลาไม่ได้สักตัว เพราะงั้นเราจะยังไม่กลับจนกว่าจะได้ปลาเต็มกระป๋อง”
กล้องตัดสลับระหว่างมิสกับมิสเตอร์บาร์ตเล็ต แอ็บบี้ยิ่งกระวนกระวายมากขึ้นขณะที่ตำนานออกมามีชีวิตด้วยฝีปากเจ้ด
“เราเอาปืนลูกซองไปด้วยเผื่อว่าจะไปเจอหมีเข้า ลีโอได้ยินอย่างนั้นเลยคว้าปืนแล้วยิงลงไปในน้ำ เขายิงแล้วยิงอีก ในที่สุดปลาก็ลอยขึ้นมา เขาหันมาหาผมอย่างใจเย็นแล้วพูดขึ้นว่า...” เจ้ดหยุดโยกตัวเงยมอง กดเสียงลงต่ำ “กรุณาส่งไอ้กระป๋องบ้านั้นมาให้ผมทีเถอะครับ”

เสียงหัวเราะปิดท้าย
และก็ถึงเวลาลาจาก
แอ็บบี้บอกเป็นสัญญาณ “เอาล่ะ ทุกคนกลับกันได้แล้วล่ะ
แม้เจ้ดจะแย้งก็ไม่เป็นผล


ทุกคนต่างลุกอำลา
ฉากอำลานี้บ่งบอกความรู้สึกระหว่างเจ้ดกับสตาฟ
ซึ่งนอกจากบุคคลที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้แล้ว
เจ้ดเพียงหอมแก้มลาจาก หรือไม่ก็เพียงเช็คแฮนด์

เจ้ดอ้าแขนกอดชาร์ลีผู้ไม่เป็นแค่ลูกน้องติดตามคนสนิท แต่ความรู้สึกที่มีต่อกันไม่ต่างจากพ่อลูก แถมยังเป็นลูกชายที่ได้ดั่งใจอีกด้วย กอดที่มอบให้แนบแน่นดั่งพ่อกอดลูก

คลอเดีย จีนหรือซี.เจ. นอกจากหอมแก้มตามธรรมเนียมตามด้วยการสวมกอด
“ฉันคิดถึงเขาจริงๆค่ะท่าน” ซี.เจ.กระซิบบอกที่ข้างหู

เจ้ดหันกลับมา
เจอจอชยืนหน้าเศร้ารออยู่ ความเศร้าที่คลุมรอบตัวจอชมันเห็นชัดเป็นสีหม่น
“ทิม ฟิลด์เป็นประธานสภางั้นหรือ” เจ้ดเดินตรงมา
“ครับ”
“แซนโตสจะไปยุ่งเรื่องการเลือกตั้งสภาล่างไม่ได้นะ” เจ้ดเตือนเบาๆ
“ผมบอกเขาแล้วครับ” จอชแทบไม่มีเสียงหลุดออกมา
“เขารับฟังคุณหรือเปล่าล่ะ” เจ้ดจ้องชายหนุ่มที่เอาแต่ก้มหน้า
“ไม่ทราบครับ” เสียงหลุดมาไม่ต่างจากกระซิบร่ำร้องหาคนที่จากไป “ผมควรทำเรื่องนี้กับลีโอน่ะครับ”
“เขารักคุณเหมือนลูกชายคุณรู้ใช่ไหมจอช” เจ้ดก้าวมาทำหน้าที่แทนเพื่อน “ลีโอกับผมคืออดีต คุณเป็นอนาคต มันขึ้นอยู่กับคุณแล้ว เราหวังพึ่งคุณอยู่”
จอชเหลือบตามอง นิ่งฟัง
มือจากเจ้านายที่เคารพอย่างสูงตบลงบนบ่าเชิงให้กำลังใจ แล้วยิ้มที่ไม่ต้องฝืนของจอชก็ฉายออกมาให้เห็น
“คุณยังมีเบอร์ผมใช่ไหม” เจ้ดยังพร้อมคอยเคียงข้างชายหนุ่มที่เป็นดั่งความหวัง “โทรหาโอเปอร์เรเตอร์ได้ทุกเมื่อ พวกเขาจะต่อให้ทันที”
“ท่านประธานาธิบดี” จอชกล่าวอำลาก่อนเดินออกจากห้อง


นี่คือฉากของคนสองคนที่มีความผูกพันมากมายร่วมกันกับหนึ่งคนที่จากไป
เป็นความเศร้าที่ไม่มีแม้หยดน้ำตา แต่ชวนใจหายจนแทบขาดใจ


กล้องจับแผ่นหลังเจ้ด บาร์เล็ต แอบบี้เดินเข้ามาลูบหลังเบาๆ เอื้อมตัวไปมอง จับมือสามีขึ้นมาบีบให้กำลังใจจนแน่นแล้วก้มลงจูบตรงใจกลางฝ่ามือนั้นเพื่อเติมพลังให้กับชายผู้ยิ่งใหญ่แต่โดดเดี่ยวเหลือเกินผู้นี้
กล้องเคลื่อนมาจับใบหน้าแสดงความขอบคุณของเจ้ด ถึงแม้จะสูญเสียเพื่อนรักไปแต่เขาก็ยังมีภรรยาที่รักเคียงข้างเสมอ อุ้มมือที่ถูกกุมอยู่ถูกเจ้ดดึงไปจูบตอบแทน


ไวท์เฮาส์ยามค่ำคืนท่ามกลางแสงไฟ โจชัวเดินออกจากประตูเหล็กเพียงลำพัง อากาศที่หนาวจัดจนสะท้าน เงาที่ทอดดำเบื้องล่างนำหน้าจอชมาหยุดยืนมองไวท์เฮาส์จากด้านนอก
กล้องจับภาพเงาดำครึ่งตัวด้านหลังของจอชตัดกับไวท์เฮาส์ขาวโพลนอยู่ชั่วครู่
กล้องค่อยเคลื่อนมาด้านหน้า แสงทอดจับใบหน้าชายหนุ่มสว่างจัด สายตาของจอชยังจับจ้องทำเนียบขาวที่ซึ่งตนจะวางงานต่อไปนับจากนี้ไม่วางตาแม้ขณะเดินห่างจากไป ใบหน้าแฝงรอยเศร้าที่เห็นมาตลอดทั้งวันนี้ไม่หลงเหลืออีกต่อไป มีเพียงความมั่นใจที่คงอยู่เต็มเปี่ยมในแววตา


ชายหนุ่มผู้นี้กำลังก้าวสู่ผู้ทรงอิทธิพลที่คอยขับเคลื่อนฟันเฟืองและวางแผนบริหารประเทศอยู่เบื้องหลังผู้นำประเทศโลกเสรี






โจชัว ไลแมน Joshua Lyman










โดยส่วนตัวแล้วมักจะทึ่งกับการเขียนบทแบบนี้
บทสั้นๆไม่กี่ประโยคแต่อธิบายความเป็นมาเป็นไปคลอบคลุมจนหมด
มันเป็นการเขียนที่ยากนะ การใช้คำสั้นๆแต่บอกความรู้สึกของตัวละครออกมาได้

หรือการโยงเรื่องราวทำให้เรารู้จักความนึกคิด ความเป็นไปเป็นมาของตัวละคร จนไปถึงความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวผ่านบทสนทนาสั้นๆ
เราจะไม่เห็นตัวละครออกมารำพึงรำพันความในใจเพื่อให้คนดูรับรู้ว่าตัวละครนั้นรู้สึกอย่างไรแบบไร้ชั้นเชิง

การแสดงความรู้สึกถ้าไม่ผ่านคำพูด คนเขียนบทก็จะจับตัวละครให้ผ่านสถานการณ์บางอย่างแล้วที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของนักแสดงว่าจะคุมตัวละครของตัวเองได้อยู่หมัดแค่ไหน
ซึ่งก็ต้องบอกว่า นักแสดงทุกคนในเรื่องนี้สุดยอดจริงๆ
รับมือกับบทพูดได้ไม่บกพร่อง
และดึงอารมณ์ในเหตุการณ์ตอบโต้แสดงให้คนดูรับรู้ถึงความรู้สึกตัวละครได้ชัดในฉากที่ไม่มีคำพูดมาเป็นอาวุธ

คนเขียนบทตอน Requiem นี้ทำให้เราทึ่งกับฝีมือของเขามากๆ จนต้องไปค้นชื่อเพื่ออยากรู้จักเลยล่ะ

Steve Shill คุณยอดเยี่ยมมาก








Create Date : 11 มกราคม 2552
Last Update : 11 มกราคม 2552 19:24:42 น. 3 comments
Counter : 745 Pageviews.

 


พี่ Q เขียนอย่างนี้ทำเอาอ่านแล้วอยากกลับไปดูละเอียดๆอีกหลายๆรอบ (แต่ดีวีดียังอยู่ที่ไหนไม่รู้ T_T บ่นเป็นรอบที่ 19 แล้วม้ายยยย)

ความจริงเข้ามาอ่านตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะเนี่ย แต่แอบมีอาถรรพ์ว่าเข้ามาแล้วเมนต์ไม่ได้เสียที = ="

สำหรับบิ๊ก Requiem อาจจะดูแล้วหวานปนขม เสียดสีได้อย่างร้ายกาจ ทั้งเรื่องการเมืองและความสัมพันธ์

ฮากับดอนน่า(ขึ้หึง)และจอร์จ (เก่งเรื่องงาน แต่เรื่องความสัมพันธ์ห่วยสุดๆ) ซีเจ(ผู้หญิงเก่งและรวยอารมณ์ขัน) แดนนี่(ผู้ใหญ่ที่ดูเป็นเด็กเมื่องอแงกับซีเจ)

ความสัมพันธ์ระหว่าง Josh กับ Santos นี่เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆเช่นกันเนอะ ชอบตั้งแต่ที่ Josh กับ Santos เจอกันครั้งแรก (อยากเขียนถึงยาวๆแต่ไม่สามารถ 555)

อ่านเพลินมากๆค่ะ ไว้เดี๋ยวมีเวลาแล้วมาเมนต์ยาวๆบ้าง เอิ้กกก


โดย: gibt วันที่: 14 มกราคม 2552 เวลา:9:15:44 น.  

 
พี่จะรอนะบิ๊ก
อยากอ่านความเห็นเราด้วยล่ะ

จอชกับแซนโตสเป็นคู่ที่พี่แอบปลื้ม
ก็พอเห็นล่ะว่าสองคนนี่ ถ้าไม่ตีกันตายซะก่อน ก็ต้องกลายเป็นคู่หูซีย่ำปึ้กล่ะ

ยังจำฉากคืนเลือกตั้งได้เลย
ตอนที่แซนโตสคิดว่าตัวเองอาจแพ้ไง
เพราะสองรัฐที่เหลือ วินิคได้แค่รัฐเดียวก็ชนะ
แต่แซนโตสต้องได้คะแนนจากทั้งสองรัฐถึงชนะ



โดย: Quaver วันที่: 15 มกราคม 2552 เวลา:18:36:51 น.  

 
ต่อๆ ไปกดผิดที่

แล้วทีนี้สตาฟคนอื่นบอกว่าถ้าคะแนนแต่ละรัฐมันแพ้ชนะกันน้อยกว่ากี่เปอร์เซ็นต์นี่ล่ะต้องประท้วง ให้ศาลตัดสิน
เถียงกันไปมา
จนแซนโตสเดินออกไปถามจอช
แล้วเชิงบีบให้จอชตอบแบบตรงไปตรงมา
จำได้ขึ้นใจเลยว่าจอชบอกว่า
คุณยังหนุ่ม อีกสี่ปีคุณก็จะได้เป็นตัวแทนพรรคอีกครั้ง คุณมีโอกาส
แต่ถ้าคุณไม่ยอมแพ้ คนจะจำได้แค่ว่าคุณเป็นไอ้ขี้แพ้ชวนตี แพ้ไม่เป็น

แล้วแซนโตสพยักหน้ายอมรับ

แล้วพอผลออกมาว่ารัฐสุดท้ายเป็นของแซนโตส สองหนุ่มมองหน้าแล้วสวมกอดกัน ฉากนี้คือที่สุดของที่สุดล่ะ

...ความจริงมีอีกฉากที่พี่ชอบระหว่างคู่นี้นะ

มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนหาเสียง แซนโตสแทบไม่ได้หลับได้นอน ตาแดงกร่ำ แล้วออกจะเบลอๆแล้ว
คะแนนก็ลูกผีลูกคน
แซนโตสมองหน้าจอชแล้วถามว่า เราจะชนะไหม
จอชนิ่ง มองตอบ คือพี่ดูแล้วเหมือนจอชก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
แต่สุดท้ายจอชให้ความมั่นใจกับแซนโตสที่เหมือนกำลังทรุดว่า
เราจะชนะ
แล้วแซนโตสก็ดูเหมือนจะมีแรงกลับขึ้นมาอีก


อ่ะ...อีกฉาก ตอนสุดท้าย

ตอนที่จอชเข้ามาแนะนำแซมว่า เป็นคนที่จะเข้ามาทำหน้าที่แทน
แล้วสีหน้าแซนโตสบ่งบอกว่าตกใจมากกกก
เหมือนกับนึกว่าจะโดนจอชทิ้ง ลาออกไปไง
แซนโตสตะลึง อึ้ง จนเห็นชัด
จนจอชบอกว่าขอไปพักร้อนเท่านั้นล่ะ
แล้วจอชก็พล่ามไปเรื่อยว่า ตัวเอง บลา บลา บลา ...บ้าไปทำนองนั้นเพราะไม่ได้พักเลย
แซนโตสบอกว่า ถ้าไม่กลัวเป็นเรื่องใหญ่ล่ะก็ ผมจะขับรถไปส่งคุณที่สนามบินด้วยตัวเอง

โอยย พี่อ่ะกร๊ากเลย
ชอบจริงๆคู่นี้
นิสัยชอบแพ็คคู่ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่เคยเปลี่ยนนะ


พี่จะรออ่านความเห็นบิ๊กนะ
เอายาวๆ


โดย: Quaver วันที่: 15 มกราคม 2552 เวลา:18:50:45 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Quaver
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ




Friends' blogs
[Add Quaver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.