เพื่อครอบครองสิ่งที่ปราถนาจนดูเหมือนจะเกินเอื้อม คนคนหนึ่งจะยอมลงทุนเท่าไร ยอมขาดทุนเท่าไร และยอมลดศักดิ์ศรีตัวเองลงแค่ไหน ฉันถามตัวเอง ฉันเคยปราถนาในสิ่งที่เกินเอื้อมบ้างไหมในชีวิต สิ่งที่ปราถนาต้องมีแน่ สิ่งที่เกินเอื้อมก็ต้องมี แต่กับการปรารถนาในสิ่งเกินเอื้อมจนยอมทำทุกอย่างเพื่อไขว่คว้ามาอยู่ในกำมือ...ฉันส่ายหน้ากับตัวเอง ฉันไม่ใช่คนมีความทะเยอทะยานขนาดนั้น คนประเภทฉัน คนที่สู้กับแรงต้านทานได้น้อยกว่าค่าเฉลี่ยย่อมไม่มีทางสู้สุดแรงจนยอมทิ้งทุกอย่างที่มีโดยเฉพาะอย่างยิ่งศักดิ์ศรี(ที่มีอยู่ไม่มากเท่าไร)ของตัวเอง คนอย่างฉันที่รู้จักตัวเองดีพอและประเมินความสามารถของตัวเองออก หรือก็คือดูตัวเองถูกที่ไม่ดูถูกตัวเองนั้น ยอมปล่อยมือกับสิ่งที่เกินมือได้ง่ายดายกว่าที่คนอื่นคาดไว้กับตัวฉันด้วยซ้ำ เพราะงั้นฉันจึงมักให้ความชื่นชมและมอบนับถือในใจกับคนที่ยอมเดิมพันทั้งหมดของชีวิตเขาเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปราถนาอย่างเหลือแสนแม้บางกรณีมันจะเป็นเรื่องหมิ่นเหม่กฎหมายและศีลธรรมอยู่ไม่น้อยก็ตามเถอะ ความชื่นชมที่ให้ก็คือชื่นชมในความแกร่งของเขากับการไม่แคร์กับสายตาสังคม จนเกินเลยไปถึงการยอมเสียเบี้ยบ้ายรายทางเพื่อมุ่งไปจุดมุ่งหมายที่ต้องการนั้น คนทำแบบนี้ได้ต้องแกร่งทั้งความคิดและจิตใจอย่างชวนน่ากลัวไม่น้อยเลยทีเดียว ถือเป็นความแกร่งระดับที่คนเรื่อยๆมาเรียงๆนกพาฉันบินเฉียงไปทั้งหมู่ไม่แม้แต่จะกล้ำกลายเฉียดไปใกล้ และกับความนับถือ ก็คือนับถือในหัวใจที่กล้าพอ กล้าที่จะไม่แค่ปรารถนาแต่ลงมือทำแม้มันจะบ้าบิ่นแค่ไหนก็พร้อมจะไขว่คว้ามาไว้ในกำมือ คนที่สนุกไปกับการปั้นอากาศเป็นอักษรอย่างฉันก็อดให้ความนับถือหัวใจคนแบบนั้นไม่ได้จริงๆ ส่วนเรื่องที่ก้าวข้ามกฎหมายและกฎศีลธรรมไปนั้น ฉันถือว่าฉันไม่เกี่ยวแล้ว นั่นคือสิ่งที่คนทำต้องเป็นคนรับผลของมันเท่านั้นเอง(บอกตรงๆตามประสาคนตาขาวคือสนุกกับการลุ้นแต่ไม่ยินดีจะลงลายเซ็นต์รับผิดชอบร่วมนั่นเอง) Mad Men Season 5, Episode 11: The Other Woman ดอน เดรเปอร์ต้องการให้บริษัทโฆษณาของตน Sterling Cooper Draper Pryce (ยังยาวได้กว่าอีกนะหลังจากซีซั่นนี้ ) ขึ้นมาเป็นเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ของวงการโฆษณา สิ่งที่เขาต้องทำก็คือการได้ทำโฆษณารถยนต์หรู และรถยนต์ที่เป็นเป้าหมายครั้งนี้ก็คือ "จากัวร์" ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อต้องสู้กับบริษัทโฆษณาระดับแถวหน้าทั้งยังติดต่อเป็นลูกค้าเก่ากันมาก่อนหน้าแล้ว เพราะฉะนั้นคอนเซ็บบ์ที่ดอนคิดจึงต้องเยี่ยมที่สุด เจ๋งยิ่งกว่า ดึงดูดยิ่งขึ้นเพื่อให้จากัวร์ยอมหันกลับมามอง...ดอนในฐานะครีเอทีฟไดเร็คเตอร์และหนึ่งในผู้บริหารคิดเพียงแค่นั้นในการไขว่คว้าโอกาสที่เขาอยากได้แทบเป็นแทบตายนี้ หากทว่าหุ้นส่วนที่เหลืออีกสี่คนไม่คิดแบบนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพีท ผู้ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับฝ่ายบริหารจากัวร์ เมื่อพีทนัดดินเนอร์กับหนึ่งผู้บริหารจากัวร์พร้อมได้รับข้อเสนอแกมขู่ว่าเขาต้องการที่จะใช้เวลาหนึ่งคืนกับโจน ผู้ประสานงานสาวสวยผมแดงเป็นการแลกเปลี่ยน พีทเอาเรื่องนี้มาปรึกษากับหุ้นส่วนทุกคน และแน่นอนดอนปฏิเศษไม่เห็นด้วยทันที เขาต้องการต่อสู้ด้วยฝีมือและเดินออกจากห้องไป พีทตอกหน้าดอนกลับไปภายหลังว่าการสนทนาไม่จบลงแค่ดอนเดินหนีไปไม่รับรู้ โจนได้รับรู้ข้อเสนอ เธอถูกเกลี้ยกล่อมจากมิสเตอร์ไพรส์หนึ่งในหุ้นส่วนอีกคนว่าเหล่าหุ้นส่วนทุกคนคุยกันถึงเรื่องจะมอบเงินเป็นจำนวนถึงห้าหมื่นดอลล่าห์เป็นสินน้ำใจกับงานชิ้นนี้ เงินจำนวนนี้มันเป็นมากเป็นสี่เท่าของรายได้ต่อปีของเธอเลยทีเดียว แต่ทว่าไพรส์ก็ไม่ยอมให้โจนต้องเสียเปรียบในการค้าชิ้นนี้ เขายกตัวเองเป็นตัวอย่างขึ้นมาว่า เมื่อสามปีก่อนเขาตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ 'น้อยกว่า' สิ่งที่เขาต้องการ ไพรส์แสดงความเสียดายต่อการตัดสินใจในครั้งนั้นให้โจนเห็นด้วยการแนะให้โจนรู้ว่าเงินเพียงห้าหมื่นมันจะเปลี่ยนชีวิตโจน(และลูก)ได้ไม่มากเท่าไรนัก แต่กับ...การเข้าเป็นหุ้นส่วนโดยถือสัดส่วน 5%ในบริษัทนั้นมันจะสามารถเปลี่ยนชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งทั้งชีวิตไปเลย โจนที่ยืนกรานปฏิเศษที่จะขายตัวเองมาตลอดนั้นจึงเริ่มลังเล...และสุดท้ายเธอตัดสินใจทิ้งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ลงเพื่อคว้าเอาสิ่งที่เธอคิดว่ามีค่ายิ่งกว่ามาแทนที่ ก่อนวันพรีเซนต์หนึ่งวัน พีทเข้ามาหาดอนเพื่อแจ้งให้เขาสบายใจได้ว่าอุปสรรคต่างๆได้รับการกำจัดไว้แล้ว และดอนก็เข้าใจในทันที เขารีบเดินทางไปหาโจนที่บ้าน โจนออกมาหาทั้งเสื้อคลุมอาบน้ำสีเขียว เมื่อดอนบอกกับโจนว่า "ผมมาเพื่อบอกคุณว่ามันไม่คุ้มหรอก ถ้าไม่ได้จากัวร์...แล้วไง...!ก็ช่างหัวมัน ใครกันอยากทำธุรกิจกับคนแบบนั้น" มันทำให้โจนรับฟังด้วยความตะลึง แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง สายตาเธอบอกออกมาแบบนั้น เสียงถอนหายใจกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านพร้อมเค้นเสียงออกมาว่า "เขาบอกกับฉันว่าหุ้นส่วนทุกคนเห็นด้วย" ดอนจึงยืนยันกลับไปว่าตัวเขาคัดค้านความคิดนั้น โจนหลับตาลงเหมือนจะแสดงถึงความโล่งอก และบอกให้ดอนสบายใจว่าเธอไม่เป็นไร ทุกอย่างเหมือนลงเอยด้วยดี วันพรีเซนต์มาถึง ภาพตัดมาให้เห็นเพียงฟากของทีมงานฝ่ายดอนที่นั่งเรียงกันอยู่ ดอนเริ่มพรีเซนต์งานด้วยการเกริ่นนำเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนด้วยการหยอกนิสัยผู้หญิงว่ามีผู้หญิงสวยมากมายในชีวิตเขาที่ไม่เคยเบื่อที่จะฟังผู้ชายอย่างเราชมว่าพวกเธองดงามแค่ไหน จากนั้นเขากดเสียงเข้มจริงจังราวกล่อมให้ทุกคนหันกลับมายังมุมมองของฝ่ายชาย "หากทว่ามันก็ยังมีความงามแบบล้ำลึก ความงามที่ไม่อาจแตะต้องได้ ความงามที่ทำให้ผู้ชายอย่างเราต้องลุ่มหลงก่อให้เกิดซึ่งแรงปรารถนา ด้วยเรารู้สึกว่าเราไม่อาจครอบครองมันเอาไว้ได้" ภาพตัดไปที่ห้องห้องหนึ่งเปิดประตูออกมา โจนยืนอยู่ตรงนั้นใต้โค้ทหรู สายตาของผู้ชายหัวล้านร่างอ้วนพุงพลุ้ยคนหนึ่งจ้องมองกลับไปอย่างไม่ปิดบังความลุ่มหลงที่มีต่อสิ่งสวยงามตรงหน้า เขาแนะนำตัวเองว่าชื่อเฮิร์บ ดอนขุดลงไปยังจิตใจของมนุษย์ว่าคนเราถูกสั่งสอนมาว่าหน้าที่สำคัญที่สุดก็จริง แต่ทว่าคนเราไม่ว่าใครต่างก็มีซึ่งแรงปราถนาร้อนแรงบางอย่างซ่อนอยู่ เฮิร์บลอบกลืนน้ำลายลงคอขณะบรรจงสวมสร้อยคอมรกตลงที่ลำคอของโจนเพื่อเป็นของกำนัล ดอนรุกคืบไปยังเป้าหมายด้วการอ้างถึงตอนเขาขับรถสปอร์ตอีไทป์ ผ่านเด็กผู้ชายในรถสแตชั่นแวกอนที่แทบเหลียวหลังมาที่เขา สิ่งที่เขามองเห็นในสายตาของเด็กผู้ชายคนนั้นก็คือเด็กนั่นเพิ่งเห็นสิ่งที่ตัวเองกระหายอยากได้ไปจนวันตาย เฮิร์บรินแชมเปญส่งให้โจนด้วยสีหน้าเหมือนเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ พูดอย่างลิงโลดว่าเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสุลต่านแห่งอาราเบียแล้วมีเฮเลนแห่งทรอยมาเยือนยังกระโจม ดอนย้ำให้เห็นว่าเด็กคนนั้นเห็นสิ่งที่ไขว่คว้าไม่ได้แล่นฉิวผ่านจนสุดเอื้อม น้ำเสียงเขาดั่งเย้ย "มันก็มักเป็นแบบนี้จริงไหม กับสิ่งที่สวยงาม"....มักเกินมือเราคว้าเสมอ คำว่าสิ่งที่สวยงามของดอนดังขึ้นมาพร้อมๆกับภาพโจนที่มองไปยังเฮิร์บ สาวสวยราวรูปสลัก ผิวนั้นขาวดั่งหิมะแรกชวนให้ลูบไล้ ผมแดงจัดดั่งแสงอาทิตย์ยามสายช่างเจิดจ้าชวนให้ตาพร่า ลำคอระหงรับกับหน้าอกอวบอิ่มเรียกร้องให้ลิ้มลอง มันทำให้เฮิร์บมองมาด้วยสายตาหื่นกระหาย จนต้องหลุดปากออกมาอย่างไม่รั้งรออีกแล้วว่า "ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะอดใจไปได้นานอีกแค่ไหนแล้ว" สายตาเฮิร์บเหลือบต่ำลงตรงมรกตสีเขียวบนเนินอกนูนรับนั้นพร้อมสั่ง "ขอผมดู!" โจนกล้ำกลืนความรู้สึกหันด้านหลังแทนการเอ่ยปากให้เฮิร์บช่วยดึงซิบที่ด้านหลังเสื้อ สายตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บช้ำและรวมถึงความดูถูกตัวเอง มีรอยน้ำจางๆเอ่ออยู่ในนั้นท่ามกลางเสียงหอบหายใจรดต้นคออย่างน่าขยะแขยง ดอนเข้าเป้าหมายด้วยการบรรยายให้เห็นภาพชายร่ำรวยนั่งอ่านนิตยสารเพลย์บอยหรือเอสไควร์เปิดผ่านเจอหน้าหนังสือที่ส่งประกายจากผิวสีของส่วนเว้าโค้งรถยนต์จากัวร์แล้วก็ต้องจ้องตาไม่กระพริบ แต่ที่จะต่างออกไปจากเด็กผู้ชายตัวเล็กๆนั่นก็คือชายคนนั้นสามารถครอบครองเป็นเจ้าของรถจากัวร์คันนี้ได้ไม่ต้องครอบครองเพียงแค่สายตา กล้องแพลนจับมาให้เห็นอีกฟากของผู้บริหารจากัวร์นั่งฟังดอนพรีเซนต์งาน และเฮิร์บเป็นหนึ่งในนั้น นั่น...นั่นมันทำให้คนนั่งดูอย่างฉันใจหายทั้งตระหนักเลยว่าเราโดนการตัดต่อหลอกเข้าแล้วสินะเมื่อนึกไปเองว่าตลอดการพรีเซนต์ของดอนนั้นเกิดขึ้นไปพร้อมกับการยอมลดศักดิ์ศรีของโจน แถมฉันยังกล่าวหาแกมเสียดายที่โจนไม่ยอมฟังคำเตือนของดอนตลอดช่วงเวลาที่เกิดขึ้นนี้ ภาพตัดฉับกลับอย่างไม่ปราณีมายังโจนซึ่งนอนลืมตาโพลงไม่แสดงความรู้สึกใดใต้ผ้าห่มสีขาว ให้เห็นเฮิร์บตะแคงมองมายังเธอทั้งพูดขึ้นอย่างสมใจ "ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาแสนวิเศษนี้ คุณช่างเป็นเร่าร้อนอะไรอย่างนี้" เสียงนั้นแม้สุภาพไม่หยาบโลนอะไรแต่สายลมของความหมายแฝงในถ้อยคำนั้นมันพัดกระชากตัวโจนให้เด้งตัวลุกหนีไม่ต่างจากโดนลมพายุโหมสะบัด พร้อมๆกับเสียงเย้ยหยันของดอนที่ยังพรีเซนต์งานต่อไปดังกระด้างในความรู้สึกสาดกระหน่ำกลับมาไร้ความปราณ๊ "รถคันนี้ สิ่งนี้...ท่านสุภาพบุรุษ เราจะยอมจ่ายเท่าไร พฤติกรรมขนาดไหนที่ตัวเราจะยอมให้เกิดขึ้นเพื่อให้ได้มาครอบครอง" สายตาดอนเต็มไปด้วยความมั่นใจแล้วว่าเป้าหมายอยู่ในกำมือเขาแล้ว สุดท้ายเขาก็เอาทุกคนอยู่ ทิ้งท้าทาย "ก็ถ้ามันไม่สวยซะขนาดนี้ ไม่เร่าร้อนยั่วยวน...และถ้ามันไม่เกินเอื้อมขนาดนี้ ทั้งเรายังไม่อาจคุมมันไว้ในกำมือได้แล้วล่ะก็...เราจะยังปรารถนามันถึงขนาดนี้ไหม!" ดอนปิดงานพรีเซนต์นี้ด้วยไลน์โฆษณาอย่างเย่อหยิ่ง "จากัวร์ สิ่งงดงามที่คุณครอบครองได้...ในที่สุด" At Last , Something Beautiful You Can Truly Own พร้อมภาพฉายรับจับลงตรงที่เฮิร์บกับคำว่าในที่สุดคุณก็ครอบครองมันได้ ประโยคนั้นยิงทะลุกลางใจชายคนนี้ สายตาเขาบ่งบอกความเข้าใจอย่างลึกซึ้งไปกับทุกคำพูดที่ดอนพรีเซนต์...ทำไมจะไม่เข้าใจล่ะ ในที่สุด...จริงไหม เฮิร์บแทบเก็บรอยยิ้มย่องอันแสนผยองของตัวเองไว้ไม่อยู่ เด็กผู้ชายผู้ที่ได้ครอบครองสิ่งสวยงามที่น่าจะดูเกินเอื้อมกับคนอย่างเขา...ในที่สุด! ฉากวนย้อนกลับมาเฉลย โจนกับชุดราตรีสีดำอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำจ้องมองตัวเองค่อยถอดสร้อยมรกตออกเก็บด้วยมือสั่นระริก แม่ของเธอเข้ามาบอกว่าดอนมาหา สายตาของโจนยังแดงกร่ำและเต็มไปด้วยความเจ็บช้ำ ทั้งๆที่ยังไม่พร้อมพบใครแต่เธอก็จำต้องออกไป โจนดึงเสื้อคลุมอาบน้ำสีเขียวมาคลุมชุดราตรีแล้วเดินออกมาหาดอน การตัดต่อหลอกเราตั้งแต่ต้น ฉากที่ดอนมาหาโจนก่อนหน้านั้น...ที่แท้ดอนมาช้าไปก้าว โจนเลือกและลงมือไปแล้วและกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว ฉันยังคิดแม้ดูตอนนี้จบไปนาน ดอนมาช้าไปจริงหรือ ถ้าดอนมาเร็วกว่านี้ล่ะ ถ้าโจนรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่ต้อนเธอให้จนมุม เธอจะยอมจนมุมด้วยตัวเธอเองแบบนั้นไหม ฉันถามตัวเองหลายครั้ง แต่ทว่าคำตอบดูจะไม่เปลี่ยนไปเลยสักครั้ง ฉันยังเชื่อว่าถึงแม้ดอนจะมาทันก่อนโจนออกไปหาเฮิร์บ ถึงแม้โจนจะรู้ก่อนว่าดอนไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอขายตัวเธอแลกจากัวร์ โจนเธอก็ยังเลือกทางเดินเดิมนี้อยู่ดี ซิงเกิ้ลมัมอย่างโจน ผู้หญิงแกร่งแบบโจน ผู้หญิงที่ต้องต่อสู้ในยุคสมัยที่ผู้ชายยังถือตัวเป็นใหญ่ โลกที่กดผู้หญิงลงเป็นเพียงพลเมืองชั้นสอง โลกที่สติปัญญาของผู้หญิงยังเป็นสิ่งยากจะยอมรับ เรือนร่างและรูปโฉมต่างหากที่เป็นเครื่องมืออันฉกาจของผู้หญิง สิ่งสวยงามที่อยากครอบครองของผู้หญิงแบบโจนก็น่าจะคือการก้าวขึ้นมาเท่าเทียมกับผู้ชายพวกนี้โดยใช้วิถีทางที่เธอคิดว่าเธอมีประสิทธิภาพที่สุดมาต่อรอง เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ใช่การมาทันหรือไม่ทัน แต่มันคือโจนได้ตัดสินใจไปแล้วด้วยตัวเธอเองต่างหาก เธออยากครอบครองสิ่งสวยงามที่เธอปรารถนาโดยยอมขายตัวของเธอแลกมา ฉันอาจไม่เห็นด้วยด้วยวิธีการของโจน แต่ฉันเข้าใจเธอและอาจฟังดูแปลกสำหรับใครบางคนที่ฉันจะบอกว่าฉันไม่รู้สึกว่ามันเป็นความเลวร้ายในสิ่งที่โจนตัดสินใจทำ คนเราต่างมีความต้องการแตกต่างกัน สิ่งที่ไขว่คว้าของคนเรามีระดับต่างกันเสมอ โจนตกลงยอมรับในข้อเสนอ มันไม่ได้เกิดจากการบังคับ เธอคิดอย่างถี่ถ้วน ไตร่ตรองเงื่อนไขคำนวณต้นทุนกำไรขาดทุนด้วยตัวเธอเอง เมื่อเธอคิดว่าเธอได้กำไรจากข้อตกลงนี้ และการกระทำของเธอไม่ส่งผลเลวร้ายต่อฝ่ายไหน ฉันคนที่เป็นคนนอกจึงคิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะตัดสินเธอ หากว่าโจนเธอคิดว่ามันคุ้มค่ากับการค้าแลกเปลี่ยนชิ้นนี้ แม้กระทั่งเฮิร์บก็ตาม เขาใช้ฐานะคนที่เหนือกว่ายื่นข้อเสนอเพื่อได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนาแม้จะมาด้วยเงื่อนไขอันโสมมเชิงบีบบังคับก็ตามแต่...หากอีกฝ่ายล้มข้อตกลงนี้ ผลก็คือบริษัทSterling Cooper Draper Pryceก็แค่จะไม่ได้จากัวร์ เฮิร์บเองก็ไม่ได้จะไปลงมือทำร้ายฆ่าแกงใครหากได้รับการปฏิเศษ มันจึงกลายเป็นข้อตกลงที่หาความตกลงร่วมของทั้งสองฝ่าย นั่นทำให้เฮิร์บจึงเป็นแค่พ่อค้าน่ารังเกียจในความคิดของฉัน ผู้คนบนโลกต่างดิ้นรนใช้เครื่องมือที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าอีกฝ่ายเพื่อต่อรองให้ได้สิ่งที่ต้องการเสมอมา ต่างกันตรงที่ใครจะทำให้โฉ่งฉ่างน้อยกว่าก็เท่านั้น มันจะกลายเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมหากทั้งสองฝ่ายยังยินยอมพร้อมใจ ...โลกเราเป็นแบบนี้ไม่เคยเปลี่ยนเลยสินะ คนที่กล้าเดิมพันทั้งหมดที่ตนมีในสิ่งที่ตนเองปรารถนา ฉันมองคนแบบนี้ด้วยสายตาชื่นชมปนอิจฉาเสมอ มันต้องมีความกล้าในหัวใจเขาอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยก็คือกล้าที่จะยอมทนอยู่กับตัวเองหากต้องทำในเรื่องที่ต้องหันกลับมาดูถูกตัวเอง...ในที่สุด หากฉันก็ยังสงสัย เขาเก็บความกลัวไว้ตรงไหนกัน ความกลัวที่ทำให้คนแบบฉันไม่กล้าทุ่มเสี่ยงเพื่อไขว่คว้าสิ่งที่ปรารถนาเกินตัว เขาซุกเก็บความกลัวเอาไว้ตรงความกล้าไปด้วยกันหรือเปล่านะ |