ลาบควาย ลำปาง ร้านลาบหลู้ ก๋าสะลอง ทางไป ม.ราชภัฏลำปาง ของเค้าเด็ดจริงๆ นะจะบอกให้


ควายไม่มีโรค เป็นลาบอันประเสริฐ ...วลีนี้ ใช้ได้ตลอดกาล เวลาท่านมาร้านลาบแถวภาคเหนือ วันนี้ ผู้เขียนก็รู้สึก ครึ้มอกครึ้มใจ อยากกินแบบลาบเมืองๆ สไตล์บ่าวบ้าน ไค่ยากลาบ  เลยพามารีวิวร้านลาบก๋าสะลอง ใกล้มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เป็นร้านลาบดังประจำถิ่นที้นี้ ความจริงก็มีอีกร้าน ลาบเดือนเพ็ญ ก็อร่อยฝีมือดีไม่แพ้กัน ไว้วันหลัง จะมารีวิวเพิ่มเติมกัน



ดูหน้าตา ผักกับลาบก่อน กินคนเดียวจะหมดมั้ยนี่ สั่งลาบควายขม ใส่เพลี้ย แบบคั่วสุกครับ หน้าตาดูดีเลยครับ ลาบเมืองลำปางหนา วัฒนธรรมอาหารชาวลำปาง รับอิทธิพลมาจากหลายชาติพันธุ์ตั้งแต่อดีตกาล ๑) ชาวลัวะ : ชาวป่าโบราณที่ครองลำปางมาตั้งแต่ยุคหินใหม่-เวียงเจ็ดริน (10,000ปีที่แล้ว) นิยมกินข้าวนึ่ง ลาบดิบ ส้าจิ้น แกงหอยใส่ข้าวคั่ว ยำผักหน่อไม้ใส่น้ำปู๋ ตำเตา ปรุงอาหารประเภทแอ๊บ,ห่อนึ่งด้วยใบตอง ๒) ชาวไทยวน : สม้ยโยนก-หิรัญเงินยาง รับมาจากเชียงแสน-ติดลาว นิยมข้าวนึ่ง จัดอาหารเป็นขันโตก ปรุงเนื้อสัตว์ด้วยน้ำพริก เช่นลาบ หลู้ ยำไก่ น้ำพริกหนุ่ม ไส้อั่ว จิ้นส้ม หมูยอ แกงอ่อม แกงผักกาดใส่ไก่ วิธีการปรุงไม่ยุ่งยากมากนัก ใกล้เคียงอาหารอีสาน




๓) ชาวไทใหญ่ หรือ เงี๊ยว ที่มีอิทธิพลมากสุด รับมาจากเชียงรุ้ง-พม่า สมัยตั้งอาณาจักรล้านนา นิยมกินข้าวเจ้า ดูจากข้าวกั้นจิ้น ปรุงอาหารใส่เครื่องหลากหลาย หอมแดง มะเขือเทศ ข่า ตะไคร้ เช่น ตำบ่าเขือ ตำขนุน ยำบ่าถั่วบ่าเขือ ยำหนัง แกงขนุน แกงหยวก น้ำพริกอ่อง ขนมจีนน้ำเงี้ยว แกงกะด้าง แกงผักใส่ถั่วเน่า ๔) ชาวม่าน พม่ายึดครองลำปางมาหลายร้อยปี อาหารก็ได้รับอิทธิพลมา ใส่เครื่องเทศแบบอินเดีย เช่นฮังเล คั่วตับหมู แกงโฮ๊ะ ๕) ไทลื้อ รับมาจากเมืองสิบสองปันนา อ้างอิงจากประวัติศาสตร์เรื่องจริง ยุคพระเจ้ากาวิละได้มีกุศโลบายให้ชาวไทลื้อโกนหัว ถ้าใครโกนหัวจะได้อยู่ที่สิบสองปันนาดังเดิม ใครไม่ยอมโกนก็ต้องไปอยู่ล้านนา ปรากฏว่าคนโกนหัวมีเยอะกว่า ด้วยเหตุเพราะอยากอยู่ที่ถิ่นฐานเดิม พระเจ้ากาวิละเลือกเอาเฉพาะพวกที่โกนหัวมาอยู่ล้านนาแทน ด้วยเหตุว่าเป็นพวกหัวอ่อน เชื่อฟังคำง่าย ปกครองไม่ยาก นิยมข้าวนึ่ง อาหารปรุงจากผักเป็นหลัก เช่นน้ำผัก น้ำเหมี่ยง แกงแค ผักกาดจอ ส้าผัก ยำผักดอง ไม่มีเครื่องปรุงมากนักคล้ายอาหารยูนนาน

๖) ชาวมอญ อาศัยอยู่บริเวณอ.ป่าซาง อ.เวียงหนองล่อง อ.สันป่าตอง อ.แจ้ห่ม อ.เถิน เป็นชาติพันธุ์ที่ตามพระนางจามเทวีจากกรุงละโว้ มาเผยแพร่พุทธศาสนานิกายเถรวาท และปกครองเมืองหริภุญชัย และ เขลางค์นคร สมัยนั้นจัดว่าชาวมอญ มีอารยธรรมที่เจริญสูงกว่าพวกลัวะ มีอักษรมอญไว้เขียนจารึกกันแล้ว และยังมีสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมศาสตร์ชั้นสูงในการสร้างปราสาทหิน กู่ยอดเจดีย์ ซึ่งชาวมอญรับอิทธิพลสืบทอดมาจากชาวอารยัน (อินเดียตอนเหนือ) พวกนี้สืบเชื้อสายมาจากชาวเมโสโปรเตเมีย สร้างปิรามิดเก่ง และ เก่งคณิตศาสตร์มาก ชาวอารยันได้อพยพมาก่อตั้งอาณาจักรฟูนัน และเป็นปฐมกษัตริย์แห่งขอมโบราณ จะเห็นได้ว่าที่อินเดีย มีปราสาทหินแบบนี้เยอะมากและเก่ากว่าของไทยหลายพันปี จนได้รับเป็นมรดกโลกหลายแห่ง ทำให้ชาวลัวะที่มีอารยธรรมด้อยกว่า เป็นพลเมืองชนชั้นสองไป ต้องอาศัยอยู่นอกเมือง อาหารชาวมอญนำมาด้วยคือ แกงขี้เหล็ก แกงบอน แกงใส่ใบส้มป่อย แกงผักปลัง แกงใส่ใบกระเจี๊ยบ

๗) ชาวยอง ชาวลำพูนในปัจจุบัน 80เปอร์เซนต์ สืบเชื้อสายมาจากชาวยอง ชาติพันธุ์ที่มีต้นกำเนิดอยู่ที่เมืองยอง ปัจจุบันก็คือจีนตอนใต้ติดชายแดนพม่า มาในยุคเก็บผักใส่ส้า เก็บข้าใส่เมือง ยุคที่การเมืองในล้านนาเปลี่ยนแปลง กองทัพพม่าถูกขับไล่ เจ้ากาวิละแห่งราชวงค์ทิพย์จักร ได้นำล้านนาเข้าเป็นประเทศราชแห่งสยาม ...ขณะนั้น เชียงใหม่ ลำพูน กลายเป็นเมืองร้าง ย่อยยับจากการสู้รบ ชาวบ้านพากันหลบหนีเข้าป่าไปหมด จึงต้องนำเอาชาวยอง เทครัวเข้ามาสร้างบ้านสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ จนกลายเป็นพลเมืองหลักของลำพูนไปแล้ว อาหารโปรดชาวยอง ก็คือ หน่อไม้ดอง ที่เรียกตามภาษายองว่า หน่อโอ่ ทานกันเล่น ไว้จิ้มพริกกับเกลือ อร่อยเด็ดเหมือนเฟรนส์ฟรายกันเลยทีเดียว





ชาวไทใหญ่ เป็นกลุ่มมีอิทธิพลต่ออาหารเหนือมากที่สุด คาดการณ์ว่าในยุคที่ล้านนาอยู่ภายใต้การปกครองของพม่ากว่า200ปี ได้เทครัวอพยพชาวไทใหญ่จำนวนมาก ลงมาตั้งถิ่นฐานใหม่ในหัวเมืองนครต่างๆ ทั่วล้านนา ... เมืองแม่ฮ่องสอน มีจำนวนประชากรไทใหญ่มากที่สุด เนื่องจากความต้องการแรงงานจำนวนมากในการทำอุตสาหกรรมป่าไม้ ในยุคนั้นไม้สักทอง คือ ทรัพยากรที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับบรรดาเจ้าเมืองในล้านนา รวมทั้งใช้ไม้สักทอง เป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองทางการเมืองทั้งกับอังกฤษและสยาม ในยุคล่าอาณานิคมเมืองขึ้น

แม่ฮ่องสอน เป็นเมืองเพิ่งจะสร้างขึ้น อายุยังไม่ถึง200ปี ด้วยเหตุว่าบริษัทของอังกฤษได้ทำสัมปทานป่าไม้ในฝั่งพม่า มานานหลายปี จนไม้สักในฝั่งพม่าเริ่มหายาก จึงมีการติดต่อมายังเจ้าเมืองเชียงใหม่ เพื่อขอเปิดป่า ทำสัมปทานป่าไม้ แถบลุ่มแม่น้ำยวม ซึ่งยังอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยไม้สักทอง ซึ่งสมัยนั้นมีการจ่ายค่าตัดไม้ โดยนับจากตอไม้ คิดตอละ 1 รูปี รายได้ทั้งหมดเป็นของเจ้าเมืองล้านนาทั้งหมด ไม่ต้องแบ่งใคร เหตุผลที่ล้านนาใช้เงินรูปีอินเดีย เป็นเงินสกุลหลัก เพราะคู่ค้าสำคัญในยุคนั้นก็คือพม่า และอังกฤษ ต่างก็ใช้เงินสกุลรูปีกันหมด (พม่ายุคนั้นอยู่ในบริติชอินเดีย) เงินพดด้วงของสยามจึงไม่นิยมใช้กันในล้านนา ... ศูนย์กลางทางการเงินของพม่าในสมัยนั้น ก็คือ เมืองมะละแหม่ง เพราะสินค้าจากล้านนาทุกอย่าง รวมทั้งไม้สักทอง ต้องอาศัยล่องเรือไปตามแม่น้ำสาละวิน ขนส่งไปยังเมืองมะละแหม่ง เมืองท่าเรือส่งออกสำคัญของพม่า มีการใช้เรือขนาดใหญ่บรรทุกไม้สักทองเหล่านี้ไปยังกรุงลอนดอน

 


มะละแหม่ง มีความเจริญมากในยุคนั้น ถึงขนาดว่าเจ้าน้อยศุขเกษมแห่งเมืองเชียงใหม่ ยังต้องมาเรียนหนังสือที่เมืองนี้เลย จนมาพบสาวมอญตาคม นามว่ามะเมี้ยะ แม่ค้าขายบุหรี่ในตลาดสดมะละแหม่ง พบรักกันจนเป็นตำนานดังแห่งเมืองล้านนาจนถึงทุกวันนี้ โรงเรียนเซนต์แพททริค ที่เจ้าน้อยศุขเกษมได้เล่าเรียนศึกษานั้น เป็นระบบอินเตอร์ใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอน คาดว่าเจ้าน้อยน่าจะใช้ภาษาอังกฤษนี้แหล่ะ ในการจีบมะเมี้ยะ นั่นก็แสดงว่า มะเมี้ยก็คงพูดภาษาอังกฤษได้ดีเลยทีเดียว บ่งบอกถึงระดับการศึกษาและฐานะของมะเมี้ยะคงจะดีไม่น้อย ไม่ใช่แม่ค้าจนๆแบบในนิยายแน่ สมัยก่อนนั้น ไม่แน่ใจว่า มีความคิดจับผู้ชายรวยๆแบบสมัยนี้แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่มี แสดงว่า ความรักของมะเมี้ยะกับเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ คงเป็นแบบ รักแรกพบ (Love at first sight) ทำให้ต้องทนลำบากเดินทางมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกันในเมืองเชียงใหม่ ... มีนักวิชาการบางท่านในปัจจุบัน ก็เลอะเทอะออกมาบอกว่า มะเมี้ยะไม่มีตัวตนจริงบ้างล่ะ ในส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า สมัยนั้นคงไม่มีเจ้าเมืองที่ไหน จะยอมให้ใครเอาเรื่องราวในวัง ไปแต่งนิยายเพชรล้านนาได้ หากไม่มีเค้ามูลความจริง




ลาบ นี้ขออธิบายแบบวิชาการสักหน่อยครับ คงไม่เบื่อกันน่ะ เป็นวัฒนธรรมอาหารดั้งเดิม ของชาวลัวะ หรือ ละว้า ชนเผ่าดั้งเดิม อาศัยบริเวณในแถบภาคเหนือของไทย และ ลาวภาคเหนือ รวมไปถึงบางส่วนในรัฐฉานพม่าปัจจุบัน ณ เมื่อหลายพันปีมาแล้ว
... ลาบ เป็นอาหารที่ถูกแพร่หลายไปในสมัย อาณาจักรล้านนา และ อาณาจักรล้านช้าง ยังอยู่รวมกัน ส่งผลสืบต่อมาในวัฒนธรรมอาหารการกินลาบ แบบในภาคอีสานของไทย โคราช และเมืองเชียงตุง รัฐฉาน เมืองชาวไทใหญ่ ในปัจจุบัน และสังเกตุได้ว่า จะไม่พบว่ามีวัฒนธรรมการกินลาบในบริเวณภาคอื่นๆของไทยเลย ทั้งภาคกลาง ภาคใต้ ภาคตะวันออก รวมถึง ประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า (ยกเว้นรัฐฉาน) และ กัมพูชา
ซึ่งในสมัยก่อน ไทยยังไม่มีพริกทานกัน พริกนั้นถูกนำพันธุ์มาจากทวีปอเมริกาใต้ นำมาเผยแพร่โดยชาวโปรตุเกส ในสมัยอยุธยาตอนต้น





..สรุปคือ  ชาวลัวะ ก็ใช้ดีปลี(มีรสเผ็ด) มะแขว่น เม็ดผักชี เป็นเครื่องปรุงในการปรุงลาบควายดิบ เพื่อดับความคาวของเลือด และได้รสชาติเผ็ดอร่อย และสันนิษฐานเพิ่มเติมว่า ที่ต้องสับเนื้อให้ละเอียดก่อนปรุง เพราะ เจ้าผู้ใหญ่ปกครองนครสมัยโบราณ อาจมีปัญหาสุขภาพฟัน คือ ฟันไม่ดี พอจะเคี้ยวเนื้อเหนียวๆได้ เลยต้องสับให้ละเอียด



Create Date : 08 สิงหาคม 2560
Last Update : 16 กันยายน 2562 23:56:49 น.
Counter : 2570 Pageviews.

0 comments

Lampang Eat and Trip
Location :
ลำปาง  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



กินลำ กินม่วน ลำปางหนา บ้านเฮาเน้อ
Group Blog
สิงหาคม 2560

 
 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
28
29
30
31
 
 
All Blog