ปัญญา เรณู: ใส สวย มีความสุข :)
ปัญญา เรณู ใสมาก ดีมาก มีความสุขมากที่ได้ดู คือทวิตที่ฉันพิมพ์หลังออกจากโรงฉายปัญญา เรณู รอบบ่ายๆ ของวันอาทิตย์ และตั้งใจเอาไว้เลยว่า จะกลับมาเขียนอะไรบางอย่างให้กับหนังเรื่องนี้ หลังจากที่ไม่ได้เขียนถึงหนังมาหลายเดือน (จนลืมไปแล้วว่าเรื่องสุดท้ายที่เขียนคือเรื่องอะไร) ปัญญา เรณู เล่าถึงวิถีชีวิตบางส่วนของคนไทยในภาคอีสาน โดยมีตัวละครหลักคือ เด็กชายปัญญา และ เด็กหญิงเรณู พาเราเข้าไปมองดูเด็กทั้งสองและเพื่อนๆ ของพวกเขากำลังจะต้องเตรียมวงดนตรีหางเครื่องเพื่อไปแข่งขันระดับอำเภอ ที่มีคู่แข่งเป็นโรงเรียนใหญ่ทุนหนา ถ้าใครชนะจะได้ไปแข่งต่อในระดับจังหวัด เพื่อหาตัวแทนหนึ่งเดียวมาแข่งในรายการชิงช้าสวรรค์ที่กรุงเทพฯ แต่ด้วยความที่โรงเรียนของปัญญาและเรณูอยู่ห่างไกลเกินกว่าที่งบประมาณและความใส่ใจจากเจ้าหน้าที่รัฐหรืออะไรก็แล้วแต่ จะเข้ามาถึงได้ ทำให้วง หนหวย ของพวกเขาต้องซ้อมกันแบบตามมีตามเกิดหนังกลองที่เก่าจนใกล้จะแตก พิณ แคน โปงลาง กำลังจะสิ้นสภาพความเป็นเครื่องดนตรี หางเครื่องก็เต้นกันไปตามใจคิด ไม่มีท่าทางใหม่ๆ ไม่มีใครเข้ามาสอน สิ่งที่ทั้งวงต้องการก็คือ เงินสำหรับซื้อเครื่องดนตรีใหม่ และครูหางเครื่องดีๆ ซักคนที่จะมาสอนเด็กๆ นั่นคือเรื่องราวที่หลากตัวละครได้ร่วมเผชิญด้วยกัน ที่เหลือนั้นหนังให้น้ำหนักไปที่เด็กชายปัญญา เราได้เห็นบ้านที่เขาอยู่ ครอบครัวของเขาที่มีพ่อและแม่ท่าทางใจดี เพื่อนฝูงของเขา และ มิว เด็กสาวชาวกรุงที่ปัญญาแอบหลงรัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะมีก้างตัวโตคือเด็กหญิงเรณู ที่ออกปากเอาไว้เลยว่า มิวน่ะ แค่หมู่ แต่เรณูน่ะผู้สาวตัวจริงนะ! (ถ้าจำภาษาอีสานผิดตกบกพร่องอย่างไร ขออภัยด้วยค่ะ) ฉันชอบความใส และจริงใจจนเกือบจะเรียกว่าดิบของหนัง ดูแค่จากเสื้อผ้าหน้าผมที่ธรรมดาและเป็นธรรมชาติมากซึ่งถ้าเกิดเป็นความตั้งใจของผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายก็ยิ่งต้องชื่นชม เพราะมันธรรมดาจนเหมือนกำลังดูภาพเบื้องหลังการถ่ายทำ หรือไม่ก็เป็นหนังสารคดีซักเรื่อง รวมถึงการแสดงของเด็กๆ แก๊งค์อีสาน ที่เล่นได้เป็นธรรมชาติเหมือนกับพวกเขามองไม่เห็นกล้องอยู่ตรงนั้น ที่โดดเด่นและฉันชอบคือน้องที่เล่นเป็นปัญญา ฉากที่ ปลิงเข้าหำ น้องเค้าเล่นซะจนฉันเชื่อและอดเสียวแทนไม่ได้ส่วนการแสดงของเด็กแก๊งค์กรุงเทพฉันว่ายังไม่ลงตัวเท่าไหร่ บทของ กี่ ตุ๊ดเด็กเมืองกรุง ดูพยายามมากไป อีกอย่างที่ฉันรู้สึกคือ ทุกสิ่งที่อยู่ในหนังมันคือภาพสะท้อนความคิดความรู้สึกต่อวิถีชีวิตคนอีสานของผู้กำกับ (ซึ่งก็คือคุณ บิณฑ์ บันลือฤทธิ์) ที่เล่าออกมาแบบไม่ยัดเยียด ประดิษฐ์ประดอยจนเกินไป แต่มันอยู่ในจังหวะจะโคน ในเหตุการณ์ คำพูด และความเชื่อของตัวละคร เท่าที่ฉันเห็น ชาวไทยอีสานใน ปัญญา เรณู มีความผูกพันกับสถาบันอย่าง วัด โรงเรียน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (อาจหมายถึงภูติผี เจ้าแม่ เจ้าพ่อ เจ้าป่าเจ้าเขา) ดูได้จากหมู่บ้านของปัญญา ที่หากจะจัดอันดับความห่างไกลจากความเจริญ (ที่รัฐควรจะจัดให้) หมู่บ้านนี้คงได้ลำดับต้นๆ ของประเทศ พวกเขายังไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้า ถนนก็พังจนขี่ควายหรือขี่จักรยานเอาสบายใจกว่า เมื่อเวลาที่เกิดปัญหา ที่พึ่งพิงของชาวบ้านก็หนีไม่พ้นการบนบานศาลกล่าว การวิ่งมาให้หลวงพ่อพรมน้ำมนต์ให้ หรือถ้าโชคดี ก็จะมีคอนเน็คชั่นดีๆ จากกรุงเทพมาให้ได้พึ่งพา อย่างที่ปัญญาเรียกใช้บริการหางเครื่องจากตุ๊ดเด็กกี่ พอเข้าเมืองมาหน่อย เป็นหมู่บ้านของโรงเรียนโคกสอาดที่ดูเจริญหูเจริญตามากขึ้น ถึงจะเริ่มมีเส้นสายเป็นคนจากรัฐเข้ามาช่วยเหลือโอบอุ้มบ้าง แต่ก็เป็นการช่วยเหลือด้วยสิเน่หา เพื่อแลกกับการรักษาชื่อเสียงของนักการเมืองเหล่านั้นไม่ให้ห่างไปจากใจของชาวบ้าน...ไม่ใช่การช่วยเหลืออย่างเป็นระบบจากหน่วยงานของรัฐ เขียนแล้วดูจะหดหู่เกินไป เพราะเอาเข้าจริงๆ ภาพชีวิตของชาวไทยอีสานในความทรงจำของคุณบิณฑ์นั้นมีความสุขดี อยู่กันแบบพึ่งพาอาศัย มีเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น ไฟไม่มีก็ไม่ใช้ น้ำประปาไม่มีใช้น้ำบาดาลก็ได้ เครื่องดนตรีไม่มีก็ลองหาด้วยตัวเองเอา เพราะถ้ารอกระทรวงอนุมัติคงทันรุ่นลูกของปัญญาเรณู เป็นมุมมองที่ทำให้ผู้ชมเห็นว่า จริงๆ แล้ว ชาวอีสาน ภาคที่ในหนังสือเรียนวิชาสังคมศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการเขียนเอาไว้ว่า แห้งแล้ง ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น ไม่ได้ดูเศร้าและหดหู่ในแบบที่เราเข้าใจ แต่เขาก็มีวิถีชีวิต ความคิด ความเชื่อที่แตกต่างกันไปตามถิ่นที่อยู่และประสบการณ์ที่ต่างกัน (แต่ถ้าอยากเห็นด้านที่ยากลำบากของชาวอีสาน ไม่ต้องไปไกล แค่ลองเปิดใจแล้วฟังเสียงของพวกเขาที่ถนนเส้นใหญ่ในเมืองกรุง ฮี่ๆ) ยังมีอีกหลายอย่างในหนังเรื่องนี้ที่ฉันชอบ เช่นการไม่ยัดเยียดความสุดโต่งให้กับตัวละครใดๆ คือจะเป็นผู้ร้ายก็ร้ายไม่สุด นักการเมืองในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่คนเลว, บักเป่วลูกคนรวยในหมู่บ้านก็ไม่ใช่เด็กดื้อเอาแต่ใจจนเกินงาม เรายังได้เห็นด้านน่ารัก กวนตีน (และหล่อ) ของหนุ่มน้อยคนนี้อยู่ รวมถึงการถ่ายภาพในหนังเรื่องนี้ก็ไม่ถือว่าขี้เหร่ ฉากที่เด็กๆ วิ่งว่าวกันกลางทุ่งใหญ่ สวยดี (เป็นฉากที่ต้องรอดูใน end credit อย่ารีบลุกออกจากโรง) หรือแม้แต่เสียงเพลงหมอลำทุกเพลงที่ช่างบันเทิงและมีชีวิตชีวา เป็นมรดกทางวัฒนธรรมดนตรีอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้เห็นว่าชนชาติไทยก็โจ๊ะไม่แพ้ใครในโลก ต้องยกความดีความชอบให้ความตั้งใจเกินร้อยของผู้กำกับ บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ ที่ฉันเชื่อว่า คุณบิณฑ์สามารถนิพพานได้แล้วหลังจากทำหนังเรื่องนี้ เพราะจากที่ได้อ่านและฟังคุณบิณฑ์ให้สัมภาษณ์ เขาตั้งใจทำเรื่องนี้เพื่อมอบให้ชีวิตตัวเองสมัยเด็กๆ และเล่าความเป็น ลูกอีสาน อวดให้ใครๆ ได้เห็นความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความทรงจำที่ซื่อสัตย์ที่สุดต่อบ้านเกิดตัวเอง คือเสน่ห์ที่เห็นได้ในงานของคุณบิณฑ์ทุกๆ เรื่อง และเข้มข้นตรึงใจที่สุดในเรื่องนี้แหละ ปัญญา เรณู
Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2554 |
|
29 comments |
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2554 22:00:20 น. |
Counter : 2507 Pageviews. |
|
|
|
เป็นเรื่องหนึ่งที่ตั้งใจว่าจะดู ^^