สิ่งแวดล้อมมาหลายปีแล้ว พร้อมมีแรงกระตุ้นเบาๆ จากเทสลา โรดสเตอร์ รถสปอร์ตพลังมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน ที่ออกขายไปเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว กระแสโลกสีเขียวและการกระตุกนิดๆ ของเทสลา ทำให้หลายสุดยอดผู้ผลิตรถสปอร์ตอย่างเฟอร์รารี พอร์ช และโลตัส ต่างขยับตัวเร่งพัฒนารถสปอร์ตใหม่บางรุ่นให้เป็นไปตามแนวทางนี้ แต่ไม่เลือกผลิตแบบมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน กลับพัฒนาและใช้ระบบไฮบริด ได้แก่ เฟอร์รารี 599 ไฮ-เคอร์ส คอนเซปต์, พอร์ช 918 สไปเดอร์ คอนเซปต์, โลตัส อีโวรา 414อี ไฮบริด คอนเซปต์ ออกแสดงครั้งแรกที่งานรถยนต์เจนีวาเดือนมีนาคม

แม้รถทั้ง 3 รุ่นไม่ได้เป็นรถไฟฟ้าล้วนๆ แบบเทสลา แต่เพราะความนิยมรถเทสลาในหมู่คนมีเงินและบุคคลมีชื่อเสียง ทำให้ทั้ง 3 ยี่ห้อต้องหันมาสนใจรถประหยัดพลังงาน ทั้งนี้คนมีเงินและบุคคลมีชื่อเสียงโดยเฉพาะอุตสาหกรรมไฮเทคในสหรัฐอเมริกาต่างหันมาขับเทสลา เนื่องจากพวกนี้ส่วนใหญ่ชอบอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว เมื่อมีรถสปอร์ตไฟฟ้าที่ผลิตโดยบริษัทไฮเทค จึงให้การอุดหนุนเต็มที่ ตั้งแต่ปี 2008 ถึงต้นปีนี้ มีการจำหน่าย เทสลา โรดสเตอร์ ไปแล้วกว่า 1,000 คันในสหรัฐอเมริกาและ 20 ประเทศที่ใช้รถพวงมาลัยซ้ายแล้ว
ปลายปีนี้จะเริ่มขายพวงมาลัยขวา มีราคาคันละประมาณ 3.3 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีในแต่ละประเทศ) ขณะที่มียอดผลิตเพียง 15 คัน/สัปดาห์

ซึ่งทั้งราคาและยอดผลิตเหมือนเป็นรถสั่งทำพิเศษ แต่ความจริงเป็นการขายรถในเชิงอุตสาหกรรมไฮเทค ที่นับอายุสินค้าเป็นเรื่องสำคัญ อธิบายง่ายๆ คือ สินค้าทุกชนิดจะมีอายุขัย และประเด็นนี้เองที่ทำให้บริษัทไฮเทคต่างกับผู้ผลิตรถ เพราะในขณะที่บริษัทรถพากันแสวงผลกำไรจากสินค้าติดตลาดแล้วอย่างไม่มีสิ้นสุด ด้วยการขยายช่องทางจำหน่ายและการผลิต บริษัทไฮเทคกลับกำหนดอายุสินค้าและคิดแสวงผลกำไรในเวลานั้นๆ โดยนำกำไรไปคิดค้นสินค้ามาทดแทน เพื่อจะได้มีสินค้าใหม่ต่ออายุกิจการไปอีก เฟอร์รารีพัฒนา 599 ไฮ-เคอร์ส คอนเซปต์ จากเค้าโครงรถ 599 GTB

ฟิออราโน ซึ่งเป็นรถรุ่นหลัก โดยใช้เครื่องยนต์วี12 แรงม้า 602 ตัวเหมือนเดิม แต่เพิ่มมอเตอร์ขนาด 100 แรงม้า สำหรับใช้ออกตัว แซงรถคันอื่น และขับในเมือง โดยเมื่อขับนอกเมือง เครื่องยนต์ถึงเริ่มทำงาน แต่ประเด็นที่วงการรถสปอร์ตกำลังมอง คือ ระบบกู้คืนพลังงานจลน์จากแรงห้ามล้อชื่อว่า KERS ย่อจาก KINETIC ENGERY RECOVERY SYSTEM และเฟอร์รารี เคยใช้กับรถแข่งเอฟวันของตน ประโยชน์ก็คือ ช่วยเพิ่มความฉับไวในการออกตัวรถหลังถอนเบรก

นี่เป็นกรณีรถแข่ง แต่เมื่อนำมาใช้กับรถ 599 ไฮ-เคอร์ส จะช่วยเพิ่มการชาร์จไฟแบตเตอรีมาใช้กับอุปกรณ์ในห้องโดยสาร และทำให้รถมีพิกัดในการเดินทางด้วยกระแสไฟมากกว่าเดิม เฟอร์รารีตั้งใจเปิดตัวขายรถไฮบริดรุ่นนี้แน่ เพราะรุ่น 599 ขายดีมาก โดยเฉพาะจีทีโอ ที่จะผลิตเพียง 599 คัน ก็ขายหมดก่อนขึ้นโชว์รูม ดังนั้นถ้าเปิดตัวรุ่นไฮ-เคอร์ส ก็ย่อมขายง่ายเช่นกัน พอร์ชตั้งใจให้ 918 สไปเดอร์ คอนเซปต์ เป็นรถธงในอนาคต ซึ่งจะทำให้เป็นบริษัทรถสปอร์ตชั้นนำแห่งแรกที่มีรถธงเป็นรถพลังงานสีเขียว ด้วยการใช้เครื่องยนต์วี8 3.4 ลิตรของ RS สไปเดอร์ เลอมังส์ ซึ่งเป็นรถแข่ง เดิมเครื่องยนต์นี้มี 502 แรงม้า แต่เมื่ออยู่ใน 918 สไปเดอร์ ได้มีกำลังรวมมอเตอร์ไฟฟ้าเพิ่มเป็น 718 แรงม้า จากการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว

โดยมีโหมดไฟฟ้าล้วน, โหมดไฮบริด, โหมดสปอร์ตไฮบริด และโหมดเรซไฮบริด ให้เลือกขับ แม้ยังไม่ได้ผลิต แต่ 918 สไปเดอร์ ได้ชื่อว่าเป็นรถสปอร์ตที่ขับบนถนนได้เร็วที่สุดแล้ว จากการทำเวลารอบสนามแข่ง NURBURGRING ที่เยอรมนีต่ำกว่า 7.3 นาที แต่ที่ฮือฮาเป็นความสิ้นเปลืองเพียง 33 กิโลเมตร/ลิตร

ในการขับปกติ ราคาประมาณ 1 ล้านเหรียญ (33 ล้านบาท) ซึ่งนับว่าแพงมากในต่างประเทศ (ถ้าเข้าไทยคงแตะ 100 ล้านบาท) และจะต้องวางขาย เพราะพอร์ชไม่เคยผลิตไว้โชว์เฉยๆ ระยะนี้โลตัสมีการเคลื่อนไหวเสมอ ล่าสุดได้เปิดตัวรถ อีโวรา 414อี ไฮบริด คอนเซปต์ ที่เจนีวามอเตอร์โชว์ ซึ่งเป็นรถที่สร้างจากเค้าโครงของรุ่นอีโวราใหม่เอี่ยม และเพิ่งเริ่มจำหน่ายปีที่แล้ว น่าสนใจตรงที่เป็นรถไฮบริดแบบ EXTENDED-RANGE ELECTRIC ซึ่งหมายถึงการเป็นรถไฟฟ้าที่แล่นด้วยมอเตอร์ พลังเครื่องยนต์ถูกใช้เพียงชาร์จแบตเตอรี โดยจะเริ่มชาร์จเมื่อรถแล่นถึง 56 กม./ชม. ด้วยวิธีนี้นอกจากจะประหยัดเชื้อเพลิง ก็จะมีความแรงมากกว่าปกติ โดยมีกำลังรวมของระบบถึง 408 แรงม้า ทั้งที่ใช้เครื่องยนต์เล็กแค่ 3 สูบ 1,200 ซีซี น่าแปลกแต่แนวคิดดีที่ติดตั้งระบบเสียงเครื่องยนต์ เพื่อทดแทนเสียงที่หายไปเมื่อมอเตอร์ไฟฟ้าทำงาน และการที่โลตัสเป็นบริษัทในเครือโปรตอน ต่อไปค่ายรถจากมาเลเซียจะมีรถไฮบริดเหมือนกัน รถสปอร์ตไฮบริดเป็นของใหม่ ยิ่งถ้าผลิตด้วยค่ายรถชั้นนำด้วยแล้ว ก็น่าจะปลุกให้ผู้คนในโลกยนตรกรรม ใส่ใจสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น