เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่
<<
มกราคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
7 มกราคม 2555

มาสด้า บีที-50 โปร...นี่มันเก๋งยกสูงชัดชัด
















































      ใคร
มีโอกาสไปงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2011ครั้งที่ผ่านมา
แล้วเดินดุ่มไปแถวบูธมาสด้าคงได้เห็นปิกอัพคันโต
หน้าตาสวยประหลาดจอดเด่นเป็นสง่าอยู่สองคัน โดยบริษัท มาสด้า เซลส์
ประเทศไทย จำกัด ขอโหนกระแสไปกับคู่แข่ง
และไม่ยอมเสียโอกาสในอารมณ์ซื้อขายช่วงปลายปี ซึ่งจริงๆแล้ว “บีที-50 โฉมใหม่” มีคิวเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 มกราคมนี้


























       ที่บอกว่าไม่ยอมเสียโอกาสในการขาย เพราะในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2011
มาสด้าได้แย้มราคาบีที-50บางรุ่นออกมาเพื่อให้ลูกค้าที่สนใจได้จอง
ซึ่งมาสด้าแจ้งว่าหลังการเปิดตัว ก็จะมีรถพร้อมส่งมอบทันที
(เห็นว่ามีสต็อกล็อตแรกไว้ 2,000 คัน)

      

       โดยตัวถังฟรีสไตล์แค็บขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคาเริ่มต้น 5.8 แสนบาท
ส่วนรุ่นขับเคลื่อนสองล้อยกสูง “ไฮเรเซอร์” ราคา 6.5 แสนบาท
ขณะที่ตัวถังดับเบิลแค็บเริ่มต้น 6.2 แสนบาท และรุ่น“ไฮเรเซอร์”ราคา 7.4
แสนบาท ทั้งหมดเป็นเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร

      

       อย่างไรก็ตามก่อนถึงวันที่ 24 มกราคม
มาสด้าพยายามสร้างกระแสให้ปิกอัพคันเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ล่าสุดพาสื่อมวลชนไปเข้าห้องเรียนทำความรู้จักกับ “บีที-50 โมเดลเชนจ์”
พร้อมลองขับระยะทางสั้นๆ ที่สนามทดสอบยางบริดจสโตน จังหวัดสระบุรี

      

       งานนี้ได้ “ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์”
ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด
มาบอกถึงแนวคิดการพัฒนา และจุดเด่นจุดขายของ “บีที-50 โฉมใหม่”


























      

























       สำหรับบีที-50 โฉมใหม่ จะมีชื่อหรือ Sub-name ต่อท้ายว่า “โปร”
เพื่อให้ติดหูผู้บริโภค และสร้างความเข้มแข็งในการรับรู้มากขึ้น
ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาโปรดักต์ใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างแชสซีส์
ตัวถัง การตกแต่งภายนอก-ภายใน เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ช่วงล่าง
อุปกรณ์อำนวยความสะดวก-ปลอดภัยต่างๆ

      

       โดยมาสด้าพยายามเน้นว่า “บีที-50 โปร”
จะเข้ามาลดช่องว่างระหว่างเก๋งกับปิกอัพให้น้อยลง หรือกล่าวคือ “บีที-50
โปร” มีรูปลักษณ์ทันสมัย พร้อมประโยชน์ใช้สอยอันสอดรับกับชีวิตสมัยใหม่
ทั้งยังขับไปได้ทุกที่ ตั้งแต่ห้างใหญ่ไปจนถึงโรงแรมหรู
ขณะเดียวกันยังมอบการขับขี่ที่เป็นเลิศ จากเครื่องยนต์ทรงพลัง
ช่วงล่างนิ่มนวล หรือไม่กระด้างเหมือนปิกอัพในอดีต

























       “บีที-50 โปร
มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและบ่งบอกได้เลยว่านี่คือรถมาสด้าตั้งแต่แรกเห็น
สะท้อนการออกแบบในอนาคต ตลอดจนอุปกรณ์ทุกชิ้นส่วนมีความกลมกลืนสวยงาม
อันอยู่บนพื้นฐานความแข็งแกร่ง และมากด้วยประโยชน์ใช้สอยตามแบบฉบับปิกอัพ”
ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ กล่าว

      

       ในส่วนของข้อมูลทางเทคนิคไล่เรียง
ตั้งแต่เครื่องยนต์ดีเซล DI THUNDER PRO 5 สูบ3.2 ลิตรและ 4 สูบ2.2
ลิตรที่มาสด้าย้ำว่าถูกปรับจูนโดยวิศวกรของตนเองเพื่อให้ได้บุคคลิกการขับ
ขี่ตามสไตล์มาสด้า (แต่แรงม้าแรงบิดยังเท่ากับพันธมิตรในการพัฒนา ฟอร์ด
เรนเจอร์)


      

       โดยดีเซลคอมมอนเรล บล็อก 5 สูบ 20 วาล์ว ขนาด 3.2ลิตร เทอร์โบแปรผัน
อินเตอร์คูลเลอร์ มีความกว้างกระบอกสูบ 89.9 มิลลิเมตร ช่วงชัก 100.7
มิลลิเมตร ปริมาตรเครื่องยนต์สุทธิ 3198 ซีซี รีดกำลังสูงสุดได้ 200
แรงม้าที่ 3,000 รอบต่อนาที แรงบิด 470 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500
รอบต่อนาที

      

       ส่วนดีเซลคอมมอนเรล บล็อก 4 สูบ 2.2 ลิตร มาพร้อมเทอร์โบแปรผัน
และอินเตอร์คูลเลอร์ มีความกว้างกระบอกสูบ 86.0 มิลลิเมตร ช่วงชัก 94.6
มิลลิเมตร ปริมาตรสุทธิ 2199 ซีซี
ซึ่งเครื่องบล็อกนี้มีน้ำหนักและขนาดเบากว่า MZR-CD 2.5 ลิตรเดิม
แต่รีดกำลังได้ถึง 150 แรงม้าที่ 3,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 375
นิวตันเมตร ที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที (2.5 เดิม 330 นิวตันเมตร)

























      

























       ด้านระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และธรรมดา 6
สปีด โดยปรับอัตราทดในแต่ละเกียร์ให้สัมพันธ์กัน
คลอบคลุมการทำงานตั้งแต่รอบต่ำ
หรือการวิ่งทางไกลความเร็วสูงจะช่วยเรื่องการประหยัดน้ำมันดีขึ้น

      

       นอกจากนี้เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ยังมาพร้อมระบบ AAS - Active
Adaptive Shift เหมือนมาสด้า 3
ซึ่งจะประเมินข้อมูลต่างๆและสถานการณ์การขับขี่
เพื่อสั่งงานควบคุมการทำงานของเกียร์ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
และสอดคล้องกับใจผู้ขับ ขณะเดียวกันยังมีฟังก์ชัน SSC -Sequential Shift
Control ให้ผู้ขับเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้แบบเกียร์ธรรมดาอีกด้วย

      

       ด้านช่วงล่างหน้าเป็นปีกนกสองชั้น
และเปลี่ยนจากทอร์ชันบาร์มาเป็นคอยล์สปริง
พร้อมปรับตำแหน่งยึดของเหล็กกันโคลงหน้า เพื่อช่วยลดการโคลงตัวของรถ
ส่วนช่วงล่างหลังเป็นคานแข็งและแหนบแผ่นซ้อน
โดยความยาวของแหนบเพิ่มขึ้นเป็น 1,330 มิลลิเมตร (เดิม 1,320 มิลลิเมตร)
รวมถึงพัฒนาจุดเชื่อม และยางซับแรงกระแทกต่างๆ
หวังลดแรงสะเทือนจากพื้นถนนให้ดียิ่งขึ้น

      

       ขณะที่พวงมาลัยหันมาใช้แบบแรคแอนด์พิเนียน
แทนความโบราณของบอลแอนด์นัทเดิม
ทั้งยังพัฒนาโครงสร้างการยึดชุดระบบบังคับเลี้ยวแบบ Rigid Mounting
ซึ่งไม่มีการใช้บุชยาง รวมถึงติดตั้งแดมเปอร์ วาล์ว
เพื่อการควบคุมที่ง่ายขึ้น

























      

























       ดังนั้นบีที-50 โปร ที่มีความยาวฐานล้อมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม
แต่ด้วยการเพิ่มมุมองศาการเลี้ยว ส่งผลให้ระยะวงเลี้ยวแคบสุด 11.8 เมตร
(เดิม 12 เมตร) ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 12.4 เมตร
ในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ

      

       ขณะที่ระบบเบรกเป็นหน้าดิสก์หลังดรัม
พร้อมระบบเพิ่มแรงเบรกอัตโนมัติ
ขณะที่เส้นผ่าศูนย์กลางของดิสก์เบรกหน้าใหญ่ขึ้นเป็น 16 มิลลิเมตร (เดิม 14
มิลลิเมตร)
และเปลี่ยนมาใช้คาลิปเปอร์เบรกแบบลูกสูบคู่อีกด้วย(เดิมเป็นคาลิปเปอร์
เดี่ยว)


      

       ด้านระบบความปลอดภัยถือว่ามาสด้าจัดหนักไม่แพ้ใคร ทั้ง
เทรคชันคอลโทรล ป้องกันล้อหมุนฟรี เบรกป้องกันล้อล็อก ABS
ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเพิ่มแรงเบรกฉุกเฉิน EBA
ระบบควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง DSC รวมถึงระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน
Hill Launch Assist และระบบควบคุมความเร็วเมื่อขับลงทางลาดชัน Hill Descent
Control เป็นต้น
ทั้งนี้แต่ละระบบอาจจะมาเป็นออปชันต่างกันไปในแต่ละรุ่นย่อย

      

       ในส่วนของความรู้สึกการขับขี่ ผู้เขียนมีโอกาสลองขับ 2
รุ่นทั้งตัวถังดับเบิลแค็บรุ่นเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ
ขับเคลื่อนสี่ล้อ และตัวถังฟรีสไตล์แค็บ เครื่องยนต์ 2.2 ลิตร เกียร์ธรรมดา
ขับเคลื่อนสองล้อยกสูง

























      

























       โดยขับรุ่นละหนึ่งรอบสนามทั้งทางตรง โค้งยาว รวมถึงถนนแคบคดเคี้ยว
และทางขรุขระ หรือระยะทางรวมๆไม่น่าจะเกิน 6-7 กิโลเมตรต่อรอบ
ซึ่งความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้เหมือนกันทั้งสองรุ่นคือการเก็บเสียงภายใน
ห้องโดยสารค่อนข้างดี การสั่นแรงสะท้านของเครื่องยนต์น้อย
(ตอนดับเครื่องจะรู้สึกชัด)

      

       ส่วนช่วงล่างพัฒนาใหม่
ซับแรงสะเทือนจากพื้นถนนนุ่มนวลให้อารมณ์เทียบเท่าเอสยูวี
(ที่ใช้พื้นฐานรถยนต์นั่ง) โดยขับผ่าน SPECIAL ROAD SURFACE
ซึ่งมีพื้นผิวขรุขระหลากหลาย (มีให้เลือกว่าจะวิ่งเลนไหน) ระยะทางประมาณ
500 เมตร รับรู้ถึงความนิ่งเงียบ
และอาการเด้งกระดอนสะท้อนเข้ามาในห้องโดยสารน้อย


      

       ส่วนการขับขี่ความเร็วสูง (ไม่มีโหลด)
แม้จะตัวถังจะมีการโยนตัวบ้างเล็กน้อย แต่ในภาพรวมถือว่าทรงตัวยอด
ตัวรถถ่ายเทน้ำหนักเยี่ยม

      

       พวงมาลัยน้ำหนักกำลังดี
ยิ่งช่วงเข้าโค้งยาวหรือหักเลี้ยวในโค้งแคบตอบสนองการขับคล่องตัว
แต่ก็อาจมีอาการเหวี่ยงดึงตามสภาพรถยกสูงอยู่บ้าง

      

       ด้านสมรรถนะเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร 200 แรงม้า ขับได้พลุ่งพล่าน
แรงบิดจัดให้ต่อเนื่องตั้งแต่รอบต่ำ
ส่วนเกียร์อัตโนมัติส่งกำลังฉับไวไร้การกระตุก ขณะที่รุ่น 2.2 ลิตร 150
แรงม้า เกียร์ธรรมดา พลังมาแบบสมเหตุสมผล
คันเกียร์สั้นแต่การสับเปลี่ยนค่อนข้างยาก(อาจไม่คุ้น)
ส่วนแป้นคลัทซ์ไม่หนักและจับไม่ลึกมาก
ทั้งยังติดระบบไฟเตือนให้เปลี่ยนเกียร์ Shift Indicator
(ช่วยถนอมเครื่องยนต์)เหมือนรถสปอร์ตมาให้อีกด้วย

      

       รวบรัดตัดความ...ถือ
เป็นน้ำจิ้มเล็กน้อย ทั้งการเปิดเผยข้อมูลทางเทคนิค พร้อมลองขับสั้นๆ
แต่กระนั้นทำให้รับรู้ถึงบุคลิกใหม่ของ“บีที-50 โปร”พอสมควร
โดยเฉพาะช่วงล่างเซ็ทมานุ่มนวล หรือนิ่มกว่าพันธมิตร “ฟอร์ด
เรนเจอร์”แบบรู้สึกได้ ขณะที่การขับรวมๆก็ดีเข้าขั้นเอสยูวีแท้ๆ
หรือถ้าจะเปรียบ“บีที-50 โปร” เป็นรถยนต์นั่งยกสูง คงไม่เกินเลยนัก

























      

























      

























      

























      





















Create Date : 07 มกราคม 2555
Last Update : 7 มกราคม 2555 18:54:31 น. 0 comments
Counter : 1414 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

karnoi
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]