|
Brokeback Mountain
ถึงวันนี้แล้วใครไม่รู้จักหนังเรื่องนี้ต้องถือว่าเชยแหลก เพราะนี่คือภาพยนตร์ที่นำเสนอประเด็นรักร่วมเพศที่ได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุดเรื่องหนึ่งในปี 2005 ประสบความสำเร็จด้านรายได้ด้วยทุนสร้างเพียง 14 ล้านเหรียญ แถมได้รับคำวิจารณ์ที่ค่อนไปทางดีถึงดีมาก และยังกวาดรางวัลมาได้มากมายนับกันไม่หวาดไม่ไหว จนยิ่งเป็นที่พูดถึงกันมากขึ้น หลังจากที่ผลออกมาไม่เป็นไปตามที่เกจิทั้งหลายเก็งกันไว้ ด้วยการไปเพลี่ยงพล้ำให้กับ Crash ในรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ อันนำไปสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่านี่เป็นการประกาศผลรางวัลออสการ์อีกปีที่ฉาวโฉ่มากที่สุด เอาเถอะครับ... เรื่องออสการ์นี่ผมจะไม่ขอพูดถึงแล้วล่ะ พูดมากไปก็มากเรื่อง เอาเป็นว่าเรามาพูดถึงตัวหนังกันอย่างเดียวดีกว่า...
ต่อไปจะสปอยล์นะจ๊ะ...
ฤดูร้อนปี 1963 เอนนิส เดล มาร์ (Heath Ledger) และแจ๊ค ทวิสต์ (Jake Gyllenhaal) ที่ต่างอายุ 19 ปีมาทำงานพิเศษให้กับโจ แอ็กไกวร์ (Randy Quaid) ลักลอบต้อนแกะขึ้นไปบนภูเขาโบรคแบ๊ค โดยคนหนึ่งต้องตั้งแคมป์อยู่ตีนเขาเพื่อคอยดูลาดเลา ส่วนอีกคนต้องขึ้นเขาไปนอนเฝ้าแกะ มีเพียงเวลาอาหารเท่านั้นที่จะลงมาที่แคมป์ได้ เอนนิสเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่เล็ก ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองมาตลอด ส่วนแจ๊คนั้นเปิดเผย เขาเป็นคนร่าเริง มองโลกในแง่ดี และชอบโรดีโอเป็นชีวิตจิตใจ ทั้งสองเริ่มสนิทสนมกัน และใช้เวลาอยู่ด้วยกันที่แคมป์มากขึ้นเรื่อยๆ จนคืนหนึ่ง หลังจากดื่มกันจนเมาได้ที่จนต้องนอนที่แคมป์ด้วยกัน ทั้งคู่ก็มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกัน ซึ่งต่างก็คิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องข้ามคืน แต่สุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็มิอาจปฏิเสธความรู้สึกที่มีต่อกันได้อีกต่อไป ทั้งสองยอมรับว่ามีใจให้กัน และเริ่มใช้เวลาอย่างมีความสุขด้วยกันมากขึ้นจนปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง โชคร้ายที่บังเอิญโจก็กลับล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่เสียด้วย ในที่สุดฤดูร้อนบนภูเขาโบรคแบ๊คของทั้งคู่ก็จบลง เอนนิสกลับไปริเวอร์ตันและแต่งงานกับอัลมา เบียร์ส (Michelle Williams) สาวชาวบ้านที่เขาคบหาตั้งแต่ก่อนจะขึ้นเขา ทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกัน 2 คน ส่วนแจ๊คก็กลับไปโรดีโอจนได้พบกับลูรีน นิวซัม (Anne Hathaway) หญิงสาวผู้ร่ำรวยและมีลูกชายด้วยกัน 1 คน หลังจาก 4 ปีที่ไม่ได้เจอกัน ทันทีที่แจ๊คแวะมาหาเอนนิสที่บ้าน ทั้งคู่ก็กอดจูบกันด้วยความโหยหาซึ่งอัลมามาเห็นเข้าโดยบังเอิญ จนทำให้เอนนิสกับอัลมาหย่าขาดจากกันในที่สุด แต่เอนนิสก็ยังคงหวาดกลัวการใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยกับแจ๊ค จึงปฏิเสธที่จะไปอยู่กับแจ๊ค เลือกเพียงแต่ที่จะแอบพบกันอย่างเคยเป็นครั้งคราว ต่อมาเอนนิสคบหากับผู้หญิงคนใหม่ชื่อว่าลิซ่า คาร์ทไรท์ (Linda Cardellini) แต่ก็คบกันไม่ได้นาน จนในที่สุดเอนนิสก็มาทราบข่าวจากลูรีนว่าแจ๊คเสียชีวิตแล้ว เอนนิสตัดสินใจเดินทางไปที่บ้านของพ่อแม่ของแจ๊ค และพบว่าจริงๆ แล้วแจ๊คไม่เคยลืมเรื่องที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกันจนกระทั่งวาระสุดท้ายในชีวิตของเขา... แหะๆ เล่าจนจบเลยอะ
เรื่องสาเหตุการตายของแจ๊คนี่ในเรื่องเค้าไม่ได้สรุปไว้ว่าเพราะอะไรกันแน่ แต่เท่าที่ผมได้อ่านเรื่องสั้นต้นฉบับของ E. Annie Proulx แล้ว ผมคิดว่าแจ๊คตายเพราะถูกรุมทำร้ายครับ ตอนที่เอนนิสแวะไปที่บ้านของแจ๊คหลังจากการตายของแจ็ค พ่อของแจ๊คบอกว่าแจ๊คเคยพาเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งมาช่วยสร้างบ้านสำหรับเขาและเอนนิส เอนนิสก็เข้าใจทันทีเลยว่าแจ๊คถูกชาวบ้านรุมทำร้าย เพราะเข้าใจผิดว่าแจ๊คจะใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนของเขาคนนั้นน่ะครับ ...ผมคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนี้นะครับ
...สปอยล์จบแล้วจ้ะ
จำได้ว่าไปดูเรื่องนี้ทันทีหลังจากออกจากห้องสอบ A-net วิชาภาษาไทยครับ ไปเดินหารอบหนังทั่วสยามกับไอ้แก้ว เพื่อนผมเลยน่ะครับ ตอนแรกไปสยามพารากอนก็ดันมีรอบเย็นเกินไป เลยมาดูที่เครือ APEX แต่ก็ดันไม่มีรอบอีก สุดท้ายก็กลับมาตายรังที่สยามพารากอนนั่นแหละครับ ยอมกลับบ้านดึกหน่อยแต่เล่นเอาขาแทบขวิด ช่างเป็นการดูหนังที่เปลืองแรงเหลือเกิน แถมเรื่องนี้ยังเป็นการประเดิมโรงหนังที่สยามพารากอนครั้งแรกของผมเลยนา... ต้องบอกว่าพอดูจบแล้ว ผิดหวังแฮะ ยอมรับเลยครับว่าแว่บแรกที่ดูจบมันผิดหวังอะ แต่คิดไปคิดมาต้องพูดใหม่ว่าไม่เป็นไปตามที่หวังถึงจะถูก ผมหวังจะมาร้องไห้เลยครับ ...บอกตามตรง คือคิดไว้ว่าหนังมันจะต้องกระแทกกระทั้นอารมณ์คนดูเต็มที่ แบบว่าให้ร้องกันเหนื่อยโทรมไปเลย แต่ก็เปล่า... หนังดำเนินเรื่องเนิบนาบและราบเรียบมาก ฉากที่ตั้งใจไว้ใช้เรียกน้ำตานั้นก็ไม่มีเลย ดูจบแล้วรู้สึกจุกๆ แถมเดินออกมาตาแห้งเลยด้วยความที่หนังมันยาวใช้ได้ แต่แม้จะไม่ได้ผ้าเช็ดหน้าเปียกๆกลับมา ผมก็ได้อย่างอื่นมาแทนครับ ตลอดทางที่นั่งรถเมล์กลับบ้าน ผมหยุดคิดต่างๆ นานาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในหนังเรื่องนี้ไม่ได้เลย และก็เป็นอยู่อย่างนี้ไปหลายวันเลยนะครับ จนต้องหาแผ่นมาดูอีกรอบ แถมยังก็ต้องไปหาหนังสือของ E. Annie Proulx มาอ่าน ซึ่งมันก็ทำให้ผมพบว่า...
บทภาพยนตร์ของ Brokeback Mountain ที่ถูกดัดแปลงโดย Diana Ossana และ Larry McMurtry นั้นยอดเยี่ยมจริงๆ เรื่องสั้นฉบับดั้งเดิมที่ผมได้อ่านมีรายละเอียดน้อยกว่าในหนังเยอะ ตัวละครอย่างแจ๊ค ทวิสต์นั้นก็ดูไม่ค่อยได้รับการอธิบายถึงมากเท่าไหร่ อ่านแล้วจินตนาการได้ไม่ค่อยชัดเจน หรือตัวละครอย่างลิซ่า คาร์ทไรท์เนี่ยก็ไม่มีเลย แถมเนื้อเรื่องหลายตอนที่มีในหนัง ในเรื่องสั้นนี้ก็ไม่มีครับ ...ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าห่วย เพราะแค่ 55 หน้าของเรื่องสั้น จะไปหวังรายละเอียดอะไรมากมาย ผมพบว่าเรื่องสั้นของ E. Annie Proulx ที่ถูกรวมไว้ในหนังสือ Closerange นี้สร้างแรงบันดาลได้มากจริงๆ และผู้ประพันธ์บทภาพยนตร์ทั้งสองท่านนั้นก็นำแรงบันดาลใจนี้มาใช้ถ่ายทอดออกมาเป็นบทภาพยนตร์ที่ดูแล้วไม่ขัดกับเนื้อเรื่องเรื่องสั้นเดิม และช่างได้รับการดัดแปลงมาอย่างพิถิพิถันเสียเหลือเกิน
เรื่องการถ่ายภาพสำหรับหนังเรื่องนี้ก็ต้องยกให้เลยครับ ภาพออกมาสวยมาก อย่างภูเขาโบรคแบ๊คอันเขียวขจี มีลำธารใสไหลผ่านนั่นก็ไม่ได้ไปถ่ายที่ Wyoming จริงๆ หรอก แต่รู้สึกจะถ่ายที่ประเทศแคนาดาเพื่อเป็นการประหยัดทุน นอกจากนี้สภาพบ้านเรือนทั้งหลายที่ปรากฎในหนังก็ล้วนสร้างบรรยากาศความเหงา และว่างเปล่าได้ดี อีกสิ่งที่ไม่พูดถึงเห็นจะไม่ได้ก็คือดนตรีประกอบ โดยฝีมือของ Gustavo Santaolalla ที่ถ่ายทอดเรื่องราวในหนังผ่านเสียงดนตรีแบบคันทรีที่ฟังสบายๆ เป็นกีตาร์อะคูสติกเสียส่วนใหญ่ โดยเฉพาะ The Wings เพลงสั้นๆ ที่เป็นกีตาร์ดีดวนทำนองไปมาเรื่อยๆ ประสานกับวงเครื่องสายที่ฟังแล้วโหยหา อาลัยอาวรณ์สุดๆ เพลงนี้กลายเป็นธีมของหนังไปโดยปริยายเสียแล้ว ผมจะรู้สึกใจหายทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ ในหัวต้องย้อนกลับไปนึกถึงบรรยากาศเหงาๆ และเรื่องราวอันสุดแสนเศร้าในหนังทุกครั้งไป รวมถึงเพลงอื่นๆ จากอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้เช่น เพลง A Love That Will Never Grow Old ที่ร้องโดย Emmylou Harris ก็ผลัดเปลี่ยนกันมาเติมอารมณ์และสร้างสีสันให้กับหนังได้เป็นอย่างดี
เอนนิส เดล มาร์เป็นคนเงียบ เก็บตัว ซ่อนความขลาดกลัวและความไม่มั่นใจเอาไว้ใต้บุคลิกที่มีความเป็นผู้ชายสูง ถึงแม้ว่าเอนนิสจะออกมาให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็ได้เห็นใบหน้าที่มักจะซ่อนอยู่ใต้ปีกหมวกของเขาชัดๆ เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ผมต้องยอมรับเลยว่าตอนดูรอบแรกในโรงนั้น ไม่ได้รู้สึกว่า Heath Ledger เล่นดีอะไรตรงไหน แต่พอมาดูในแผ่นซ้ำอีกรอบ ก็พบว่าเขาเล่นบทนี้ได้ดีมากทีเดียว ทั้งเสียงพูดในลำคอ ปากที่เหมือนอมอะไรอยู่ตลอดเวลา และสีหน้าอันเฉยเมย เขาทำหน้าที่ตัวเดินเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม และทำให้คนดูเชื่ออย่างนั้นได้จริงๆ ฉากที่เขาร้องไห้ตอนทะเลาะกับแจ๊คนั้นดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าคนที่เฉยชาอย่างเอนนิสจะเก็บซ่อนความปวดร้าวมากมายถึงเพียงนี้ไว้ตลอดเวลา ไม่แปลกใจเลยกับเสียงชื่นชมมากมายที่มีให้เขา เพราะว่านี่คือบทบาทการแสดงที่ดีที่สุดของ Heath Ledger อย่างแท้จริง
Jake Gyllenhaal กับบทของแจ๊ค ทวิสต์ เป็นคนที่เปิดเผยความรู้สึกมากกว่า และดูมีความเป็นผู้หญิงมากกว่าเอนนิส บทบาทของเขามองเผินๆ นั้นน่าสนใจกว่าเอนนิสแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้นักแสดงหน้าตาดีอย่าง Gyllenhaal มารับบทด้วยแล้ว การแสดงอารมณ์ทางสายตายังคงเป็นอาวุธของเขาที่ใช้ได้ผลเหมือนกับทุกเรื่องที่เขาเล่นมา ผมดูแล้วรู้สึกว่า Gyllenhaal นั้นมักจะเอาบุคลิกของตัวเองใส่ไปในตัวละครของเขาทุกครั้ง โดยเฉพาะตอนพูดบทยาวๆ เขามักจะทำมือทำไม้ พร้อมกับหดคอพูดไปด้วยเสมอ กับเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ตัวละครของแจ๊คก็ถูกแสดงออกมาในลักษณะเฉพาะของเขาเองเช่นกัน น่าแปลกที่ฉากที่ผมประทับใจดันเป็นฉากที่เขาปราบพ่อตาบนโต๊ะกินข้าว ลมหายใจถี่ๆ แรงๆ บอกให้รู้ว่าเขากำลังโกรธจัดมากจริงๆ โดยรวมแล้วการแสดงในเรื่องนี้นับว่าดีพอๆ กับผลงานอื่นๆ ของเขา และเป็นการพิสูจน์ได้อย่างดีว่านักแสดงคนนี้ไม่ได้มีดีเพียงหน้าตา
เธอคนนี้ทำให้ผมประทับใจมากๆ กับการปรากฎตัวบนจอเพียงไม่กี่ฉาก Michelle Williams นักแสดงสาวจากซีรี่ส์ Dawson's Creek ในบทของอัลมา เบียร์ส หญิงสาวชาวบ้านที่เพียงต้องการจะมีชีวิตครอบครัวอันแสนสุข แต่มันกลับจบลงด้วยการที่เธอต้องตกเป็นเหยื่อที่น่าเห็นใจมากที่สุด ผมต้องขอบอกก่อนว่าไม่เคยรู้จักนักแสดงสาวคนนี้มาก่อน พอมาดูเรื่องนี้แล้วรักเลย แน่นอนฉากที่ผมประทับใจที่สุดคงหนีไม่พ้นฉากในห้องครัวระหว่างเธอกับเอนนิสหลังจากที่เธอแต่งงานใหม่ไปแล้ว เธอบอกเอนนิสถึงเรื่องราวระหว่างเขากับแจ๊คที่เธอล่วงรู้เข้า สีหน้าของเธอแสดงถึงความเกลียดชัง และขยะแขยงได้เป็นอย่างดี แค่ฉากนี้ฉากเดียวก็ทำให้ผมหลงรักเธอเข้าเต็มๆ แล้ว การแสดงของเธอนั้นไร้ที่ติจริงๆ ...จากนี้ไป ผมเชื่อว่าเธอจะเป็นนักแสดงอีกคนที่น่าจับตามองทีเดียวเลยล่ะครับ
น่าเห็นใจที่สุดสำหรับ Anne Hathaway ที่อุตส่าห์สลัดคราบเจ้าหญิงผู้น่ารัก มารับบทดรามาหนักๆ ในหนังเรื่องนี้ แต่กลับเป็นคนเดียวในนักแสดงนำทั้งสี่ที่ไม่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลใดๆ เลย รวมถึงออสการ์ด้วย การแสดงของเธอในบทของลูรีน นิวซัม ภรรยาผู้ถูกแจ๊ค ผู้เป็นสามีเพิกเฉย และสีผมที่ค่อยๆ จางลงๆ ทุกวันจากความเครียดจากการจัดการธุรกิจนั้นไม่ใช่ว่าไม่ดี ควรจะเรียกว่าไม่เด่นพอมากกว่า แต่เธอก็ได้พิสูจน์แล้วว่านักแสดงอย่างเธอเล่นได้มากกว่าหนังโรแมนติก-คอมเมดี้ อย่างฉากที่ลูรีนคุยโทรศัพท์กับเอนนิสที่ค่อยๆ เปิดเผยให้เธอรู้ความจริงเกี่ยวกับสามีของเธอ Hathaway แสดงสีหน้าได้เนียนมากสำหรับฉากโคลสอัพใบหน้าแบบนั้น หนังเรื่องนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่จะนำพานักแสดงสาวสวยคนนี้สู่ขอบเขตทางการแสดงที่กว้างกว่าเดิม
นักแสดงหนุ่มสาวทั้งสี่ที่กล่าวถึงนั้นอาจไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่นึกถึง แต่เมื่อได้พวกเขาเหล่านี้มารับบทแล้ว ผลที่ออกมานั้นกลับดีเกินคาด รวมถึงนักแสดงสมทบท่านอื่นๆ อย่าง Randy Quaid ที่เล่นได้น่าเกรงขาม และน่าหมั่นไส้ดี Linda Cardellini ที่เคยเห็นในบทของเวลม่า ในหนัง Scooby Doo นั้นนับว่ามีฝีมือทีเดียว น้ำตาหยดได้ทันใจดีมาก Kate Mara ในบทของอัลมา จูเนียร์ลูกสาวของเอนนิสที่ชอบนั่งเหม่อ ทำตาลอยๆ ก็เล่นใช้ได้ และแม่ของแจ๊คที่สวมบทโดย Roberta Maxwell แม้ออกมานิดเดียว ก็เล่นได้ลึกซึ้งเหลือเกิน สีหน้าที่ดูอาลัยอาวรณ์ และท่าทางที่ดูเหมือนพยายามข่มตัวเองไม่ให้ร้องไห้ ช่วยเติมเต็มตัวละครนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เหนือสิ่งอื่นใด แม้จะมีวัตถุดิบดีๆ เหล่านี้ หากไม่รู้จักใช้ให้ถูกทาง ก็ไม่อาจปรุงออกมาเป็นอาหารจานอร่อยได้เหมือนกัน ทั้งนี้ต้องขอบคุณ Ang Lee ผู้กำกับผู้เป็นความภาคภูมิใจของชาวเอเชียอย่างเราๆ ที่รวบรวมวัตถุดิบชั้นดีทั้งหลายไว้ด้วยกัน แล้วนำมาประกอบกันเป็นภาพยนตร์ชั้นเยี่ยมเช่นนี้ ต้องขอชื่นชมจริงๆ ในความละเอียด รอบคอบ ตามเก็บทุกชิ้นทุกเม็ดจนออกมายอดเยี่ยมสมใจ ถูกใจทั้งคนสร้างทั้งคนดูด้วยประการฉะนี้แล
สุดท้ายแล้วหนังเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ทั้งหนังเกย์คาวบอย คาวบอยเกย์ หรือหุบเขาน้ำบานอะไรทั้งนั้น มันเป็นเพียงหนังรัก รักที่ไม่สมหวังเพราะความเชื่อของคนในสังคม ลงท้ายแล้วมันก็ไม่ได้จบอย่างมีความสุขเหมือนในเทพนิยาย ...แก้วบอกผมว่า ไม่ชอบที่เอนนิสมีอัลมาอยู่แล้ว แต่ก็ยังไปมีความสัมพันธ์กับแจ๊ค สำหรับผม... ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่เทพนิยาย เอนนิสไม่ใช่พระเอกที่จะต้องทำตัวเป็นคนดีทุกที่ทุกเวลา แน่นอนการกระทำของเอนนิสไม่ใช่สิ่งที่ถูก หนังเรื่องนี้เพียงแต่ต้องการแสดงให้เห็นถึงโลกของคนธรรมดาๆ คนธรรมดาที่มีเลือดเนื้อ จิตใจ มีความโลภ มีความต้องการ เจ็บเป็น และรักเป็น ...เท่านั้นเอง
สั้นๆ ง่ายๆ ผมขอสรุปว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สำหรับผมแล้ว ...มัน "คลาสสิค" ครับ
ป.ล. แผ่นของแมงป่องแปลไม่ใจเลยอะ ไม่มี "เอี้ย", "ห่_" แบบในโรงเลย เหอๆ
Create Date : 24 พฤษภาคม 2549 |
|
25 comments |
Last Update : 11 กรกฎาคม 2549 22:48:40 น. |
Counter : 1400 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: octavio 25 พฤษภาคม 2549 19:45:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: Jakey_G IP: 221.128.88.55 25 พฤษภาคม 2549 23:00:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: jakey-g IP: 221.128.88.55 25 พฤษภาคม 2549 23:00:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณหนูลมหวน (zardamon ) 26 พฤษภาคม 2549 12:55:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: มิ้มโว้ย IP: 203.118.112.76 26 พฤษภาคม 2549 16:40:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: มิ้มๆๆๆ IP: 203.118.112.76 26 พฤษภาคม 2549 17:07:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณหนูลมหวน (zardamon ) 27 พฤษภาคม 2549 11:23:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้ามด 28 พฤษภาคม 2549 13:07:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: Ta Pling 29 พฤษภาคม 2549 10:01:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณหนูลมหวน (zardamon ) 2 มิถุนายน 2549 12:01:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: Bloodymonday IP: 219.136.236.114 3 มิถุนายน 2549 9:48:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: jax IP: 58.9.123.199 4 มิถุนายน 2549 8:11:43 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ต้องยกความดีความชอบให้กับทุกผู้ทุกนาม ที่ช่วยกันก่อร่างสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาได้จนเสร็จสมบูรณ์ แล้วเข้าไปเบียดที่นั่งในหัวใจของคนดูได้ทั้งโลก(ยกเว้นคณะกรรมการตัดสินและตัดสิทธิของออสการ์)
ยกนิ้วโป้งให้ตั้งแต่เด็กจัดไฟ และผกก.ภาพ ที่ให้แสงสวยๆยามเช้า ในเต้นท์แห่งความทรงจำ
ยกนิ้วโป้งให้ฝ่ายแต่งหน้าที่ทำให้แจ๊คและเอนนิส หนุ่มและแก่ได้สมจริง
ยกนิ้วโป้งให้ฝ่ายโลเคชั่น ที่ช่างสรรหาสถานที่ได้ดั่งใจผกก.กะคนเขียนบท
ยกนิ้วโป้งให้คนเขียนบท ที่ขยายความและเพิ่มความเนียนให้กับทุกไดอะลอค
ยกนิ้วโป้งให้คนสร้งและครีเอท เสียงเพลงที่เป็นทั้งหมดของหนัง กับเสียงเกากีต้าร์ที่บาดอารมณ์จิงๆ
ยกนิ้วโป้งให้โปรดิวเซอร์
ยกนิ้วโป้งให้นักแสดงทั้งหมด
ยกนิ้วโป้งให้ผกก.ที่สุดจะละเมียดละไมกับความรู้สึก และละเอียดอ่อนในการแสดงมันออกมา
....
สุดท้าย ยกนิ้วโป้งให้ตัวเองที่ไปขู่เอาโปสเตอร์จากเพื่อนมานอนกอดได้ สมความปรารถนา
รักเอนนิสและแจ๊คซาเหมอ