Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
3 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
สมัชชาคนจนราษีไศล-หัวนา ‘ยึด’ หัวงานเขื่อนราศีไศล จี้รัฐไม่แก้ปัญหาไม่กลับ



วันที่ 2 ต.ค.50 ชาวบ้านสมัชชาคนจน ผู้ได้รับผลกระทบจากเขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนา กว่า 3,000 คน จาก 6 อำเภอ 3 จังหวัด คือ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ และศรีสะเกษ ปักหลักยึดหัวงานเขื่อนราษีไศล หลังกรมชลประทานเบี้ยว ไม่ดำเนินการตามผลการเจรจา แกนนำยืนยันไม่เสร็จไม่กลับ



นายไพทูรย์ โถทอง อายุ 47 ปี แกนนำชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล บ้านผึ้ง ตำบลหนองแค อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้มีผู้ได้รับผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล-หัวนา จาก 6 อำเภอ 3 จังหวัด และชาวบ้านผึ้งก็มาชุมนุมด้วยกว่า 300 คน



"สำหรับข้อเรียกร้องในการชุมนุมครั้งนี้ คือ ให้มีการแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่ที่ยังไม่ดำเนินการเรียกประชุมคณะทำงานระดับอำเภอ แม้ว่าจะมีการแต่งตั้งคณะทำงานชุดนี้ขึ้นมาแล้ว ที่ผ่านมากรมชลประทานก็ไม่เข้ามาแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด ชาวบ้านจึงต้องมาชุมนุมเรียกร้องกันในวันนี้ เพื่อให้กรมชลฯ เรียกประชุมคณะทำงานระดับอำเภอพร้อมกันทั้ง 6 อำเภอ จะได้กำหนดและวางกรอบการทำงานเป็นรูปแบบเดียวกันในการแก้ไขปัญหา เพราะที่ผ่านมากรมชลฯ ใช้กลโกง นัดประชุมคณะทำงานแยกแต่ละอำเภอ แยกขบวนชาวบ้านให้ขัดแย้ง เข้าใจผิดกัน" นายไพทูรย์ กล่าว



ทั้งนี้ เขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนานั้นเป็น 2 ใน 14 เขื่อนภายใต้โครงการโขง -ชี-มูล ซึ่งจะก่อสร้างเขื่อนกั้นลำน้ำชีและมูล เริ่มต้นเมื่อปี 2532 และชาวบ้านในพื้นที่เริ่มต่อสู้เรื่องผลกระทบที่ได้รับมาตั้งแต่ปี 2536 จนถึงปัจจุบัน ความคืบหน้าในการแก้ปัญหามีการพิสูจน์สิทธิและรังวัดพื้นที่อ่างเก็บน้ำราศีไศลกว่า 100,000 ไร่แล้ว และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อเดือนมิถุนายน 2550 ให้จ่ายค่าชดเชยแก่ชาวบ้านอีกครั้งเป็นจำนวน 200 กว่าล้านบาท



อย่างไรก็ดี นายสมัย หงส์คำ ชาวบ้านราศีไศลกล่าวว่า กรมชลประทานได้ใช้ภาพถ่ายทางอากาศเมื่อเดือนธันวาคม 2530 เทียบกับการรังวัดในพื้นที่ ซึ่งในช่วงนั้นเป็นช่วงน้ำหลากตามสภาพภูมินิเวศแบบป่าทาม ทำให้ชาวบ้านบางคนที่เคยมีที่ดินทำกิน 10 ไร่ก็ปรากฏว่าในภาพถ่ายทางอากาศเหลือไม่ถึงไร่



"เราต้องการให้มีหลักเกณฑ์ในการพิสูจน์สิทธิการทำประโยชน์ ขบวนการของกรมชล ชาวบ้านไม่เห็นด้วย เพราะเอาเปรียบชาวบ้าน จึงเสนอให้สร้างหลักการใหม่ โดยยึดมติ ครม.ที ่เคยออกมาแล้วเมื่อ 1 ก.พ.43" นายสมัยกล่าว



นายไพทูรย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมากรมชลฯ ทำงานตามอำเภอใจ ไม่ยึดหลักเกณฑ์ ตามมติ ครม. 1 กุมภาพันธ์ 2543 ทำให้เกิดความขัดแย้งไม่รู้จบ เป้าหมายการชุมนุมครั้งนี้คือ การให้กรมชลประประทานยอมรับหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว และ คณะทำงานระดับอำเภอ ต้องพิจารณาตามเอกสารที่ราชการทำร่วมกับชาวบ้าน มาใช้ในการพิจารณาตั้งแต่คำร้องที่ยื่นกับกรมชลประทาน ผลการแจ้งการครอบครองเพิ่มเติม ผลการรังวัดตาม รว. 43 ก ผลการตรวจสอบของคณะทำงานระดับตำบล ซึ่งเป็นหลักฐานที่คณะทำงานต้องนำมาพิจารณาประกอบกับผลการอ่านแปรภาพถ่ายทางอากาศ ไม่ใช่ลักไก่เอาผลการรังวัดมาอ่านแปรภาพถ่ายอากาศตามแนวทางของกรมชลประทาน ส่วนการจัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบทางสังคม โดยสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น กรมชลประทานก็ไม่ได้ใส่ใจและให้ความสำคัญใดๆ เลย







ด้านนายสำราญ หอกระโทก อายุ 55 ปี ชาวบ้านบ้านนาแปะ ตำบลหนองอึ่ง อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ แกนนำชาวบ้านเขื่อนหัวนา กล่าวว่า หมู่บ้านของตนมีผู้มาชุมนุมกว่า 100 คน และจะมีชาวบ้านเดินทางมาสมทบอีก มาครั้งนี้รู้แต่วันมา แต่ไม่รู้วันกลับ ขึ้นอยู่กับผลการเจรจาแก้ไขปัญหา ว่าจะตกลงกันได้หรือไม่ ถ้าตกลงกันได้ก็กลับ หากตกลงกันไม่ได้ชาวบ้านก็ยืนยันว่า จะยืนหยัดปักหลักชุมนุมยืดเยื้อต่อไป จนกว่าการแก้ปัญหาจะได้ข้อยุติที่น่าพอใจ



สำหรับชาวบ้านเขื่อนหัวนาอยากให้มีการรับรองการรังวัด รว. 43 ก ที่ได้ทำเป็นหลักฐาน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้รับรองผลการรังวัด เพื่อนำไปศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎรให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป



ทางด้านนายจรรยา สุคนธชาติ นายอำเภอราษีไศล กล่าวว่า ในฐานะฝ่ายปกครองในพื้นที่ได้ประสานงาน และอำนวยความสะดวกให้ผู้ชุมนุม เช่น น้ำกินน้ำใช้ ยา รวมทั้งเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัย สำหรับการแก้ไขปัญหานั้นคาดว่า ในช่วงบ่ายท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ จะเดินทางมาพบปะผู้ชุมนุม ส่วนการแก้ไขปัญหาของกรมชลฯนั้น นายจรรยา คิดว่าทางผู้ชุมนุมก็น่าจะเข้าใจเพราะกรมชลฯ รับงานต่อมาจากกรมพัฒนาพลังงานด้วย นายจรรยา กล่าว



ทั้งนี้ ในวันที่ 4 ต.ค.จะมีหน่วยงานต่างๆ ลงไปรับฟังปัญหาของชาวบ้าน ทั้งกรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมเป็นพยาน







0000













แถลงการณ์ ฉบับที่ 1



สมัชชาคนจน เขื่อนราษีไศล เขื่อนหัวนา



ปัญหาเขื่อนราษีไศล – เขื่อนหัวนา ต้องได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นธรรม




เป็นเวลา 15 ปีผ่านมาแล้ว ที่มีการก่อสร้างเขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนา บริษัทรับเหมาก่อสร้างก็ร่ำรวยและกลับบ้านไปแล้ว ข้าราชการก็ได้รับการเลื่อนขั้นได้ดิบได้ดีกันถ้วนหน้า เปลี่ยนรัฐบาลมา 8 รัฐบาล เหลือไว้เพียงความทุกข์และผลกระทบให้กับชาวบ้านในพื้นที่ทั้งสองเขื่อนกว่าหมื่นครอบครัว



ทุกวันนี้ ชาวบ้านราษี ฯ - หัวนา ที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้แก้ปัญหาก็ยังคงเจอกับกลเกมและกลโกงของหน่วยงานราชการ ด้วยการสร้างเงื่อนไขอุปสรรคต่างๆนานาในการตรวจสอบพิสูจน์สิทธิ์ของผู้เดือดร้อน เตะถ่วงเวลา ทั้งใช้กลวิธีแยกสลายให้ชาวบ้านผู้เดือดร้อนแตกแยกสามัคคีกันเอง



ภายหลังที่สมัชชาคนจนได้ชุมนุมเรียกร้องให้เกิดการแก้ไขปัญหา เมื่อเดือนพฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาของเขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนา มีแนวทางปฏิบัติและความคืบหน้าในระดับนโยบายพอสมควร แต่ในพื้นที่เจ้าหน้าที่กรมชลประทานพยายามบ่ายเบี่ยงการแก้ไขปัญหา ดึงการแก้ไขปัญหาให้ช้าลงไปอีก เช่น กรณีเขื่อนหัวนา เจ้าหน้าที่กรมชลประทานอ้างว่า ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ ต้องรอตรวจสอบผู้เดือดร้อนที่ยังไม่ได้เรียกร้อง และรอผลการศึกษารายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมก่อน ทำให้ชาวบ้านรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างยิ่งเพราะกระบวนการแก้ไขปัญหาต้องหยุดชะงัก เหมือนกลับไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ กรณีเขื่อนราษีไศล เจ้าหน้าที่กรมชลประทาน ไม่ประสานให้เกิดการประชุมในระดับอำเภอ อ้างว่าไม่มีอำนาจสั่งการ และยังประกาศให้สลายการเป็นสมัชชาคนจน ให้มาลงทะเบียนกับกรมชลประทานจึงจะได้รับการแก้ไขปัญหาเสร็จสิ้น



วันนี้ พวกเราสมัชชาคนจน เขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนา ไม่สามารถทนการ เบี้ยวและกลโกงนี้ได้อีกต่อไป จึงขอประกาศใช้สิทธิชุมนุมใหญ่ที่หัวงานเขื่อนราษีไศล ในวันที่ 2 ตุลาคม 2550 เป็นต้นไป โดยเรียกร้องให้มีการเปิดเจรจาเพื่อให้แก้ไขปัญหา ดังนี้



กรณีเขื่อนราษีไศล ให้ได้หลักการ ขั้นตอนและแผนงานของคณะกรรมการระดับอำเภอทั้ง 6 อำเภอในการพิจารณาการทำประโยชน์ในที่ดินทำกินของราษฎร และให้มีความชัดเจนเกี่ยวกับแผนงานและงบประมาณการจัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบทางสังคม ของสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



กรณีเขื่อนหัวนา ให้มีการรับรองผลการรังวัดตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎรที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ ในเขตอำเภอราษีไศลและอำเภอกันทรารมย์ และขอให้จ่ายงบประมาณในการทำงานรังวัดที่ดินส่วนของราษฎร จำนวน 117,000 บาท และให้มีการเปิดเผยข้อมูลความคืบหน้าการจัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม



เราขอประกาศว่า เราจะชุมนุมอย่างสงบและยาวนาน จนกว่าจะบรรลุผลข้อเรียกร้องและได้รับความจริงใจในการแก้ไขปัญหาของเรา



สมัชชาคนจน เขื่อนราษีไศล – เขื่อนหัวนา



2 ตุลาคม 2550



หัวงานเขื่อนราษีไศล






ที่มา : ประชาไท วันที่ : 2/10/2550



Create Date : 03 ตุลาคม 2550
Last Update : 5 ตุลาคม 2550 11:09:47 น. 4 comments
Counter : 2373 Pageviews.

 
รายงาน : เขื่อนราษีไศล – เขื่อนหัวนา บาดแผลจากโครงการโขง ชี มูล ที่รอเยียวยา (1)





ห่างไปไม่กี่ร้อยกิโลเมตรจากกรุงเทพฯ แต่เรื่องราวของที่นั่นดูเหมือนห่างไกลยิ่งกว่านั้นมากนัก ชาวบ้านราษีไศล ชาวบ้านหัวนา จ.ศรีสะเกษ กำลังต่อสู้ดิ้นรนในเรื่องที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ หลายคนไม่เคยสนใจ เรื่องที่มีประวัติความ (เดือดร้อน) เป็นมายาวนาน เรื่องที่กลไกต่างๆ ยังคงแก้ปัญหาไม่ได้มาจนปัจจุบัน หากชีวิตไม่เร่งรีบจนเกินไป รายงานชิ้นนี้จะเปิดโลกของท่านไปสู่ดินแดนไกลโพ้น เพื่อทำความรู้จักและทำความเข้าใจปัญหาว่า ทำไมชาวบ้านต้องบุกยึดเขื่อน (อันที่จริงแค่เพียงยึดข้างเขื่อน) เหมือนที่แล้วมา และถึงเวลาหรือยังที่จะสรุปบทเรียนว่าด้วยโครงการพัฒนาที่มีชื่อว่า “เขื่อน”



00000



สนั่น ชูสกุล





คนอีสานมีความหวังทุกปีเพราะธรรมชาติกำหนด สภาพทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่และตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของพื้นที่ที่เคยเป็นทะเลมาก่อนเมื่อหลายล้านปีก่อน ทำให้ผืนดินแห่งนี้ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้เต็มที่ แม้ว่าจะมีแม่น้ำขนาดใหญ่และลำสาขานับหมื่นแห่งก็ตาม รัฐบาลทุกสมัยมีแนวคิดการจัดการน้ำแบบกักเก็บน้ำไว้เป็นจำนวนมาก เขื่อนขนาดใหญ่ อ่างเก็บน้ำ และฝายน้ำล้นจำนวนมาก นับไม่ถ้วนจึงเกิดขึ้นพร้อมกับ แม่น้ำสายหลัก ลำสาขา ห้วย หนอง คลอง บึงธรรมชาติ ถูกขุดลอก กักกั้น เพื่อกักเก็บด้วยเขื่อนขนาดใหญ่ อ่างเก็บน้ำ ฝาย และโครงการขุดลอกต่างๆ จนหมดสิ้น เพื่อทำให้แผ่นดินอีสานเขียวขจี ผู้คนไร้ความยากจน



ปี 2532 ความหวังครั้งใหญ่ของคนอีสานกำลังเกิดขึ้นอีกครั้งด้วยโครงการโขง ชี มูล



คนอีสานดีใจหนักหนา แผ่นดินอีสานกำลังจะกลายเป็นสีเขียว เพราะโครงการโขง ชี มูล



เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2532 กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ด้วยการสนับสนุนและผลักดันของนายประจวบ ไชยสาส์น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมขณะนั้น ได้เสนอโครงการโขง ชี มูล ให้คณะรัฐมนตรีรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อคราวประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดขอนแก่น คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณ 18,000 ล้านบาท ในการก่อสร้างอาคารและระบบส่งน้ำชลประทานให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี คือ พ.ศ. 2533 – 2535 (วราลักษณ์ อิทธิพลโอฬาร,2538-2539) สามารถส่งน้ำให้พื้นที่การเกษตรประมาณ 4.98 ล้านไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 15 จังหวัด (ยกเว้น นครพนม มุกดาหาร สกลนครและหนองบัวลำภู) ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 228,000 ล้านบาท แบ่งระยะการพัฒนาโครงการ ฯ ออกเป็น 3 ระยะ ใช้เวลาดำเนินการ 42 ปี (2534 - 2576) ดังนี้



การดำเนินการตั้งแต่ปี 2536 - ปัจจุบัน กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ได้ก่อสร้างเฉพาะฝายและระบบชลปะทานในลุ่มน้ำมูน ลุ่มน้ำชี และลุ่มน้ำสาขาตามแผนระยะที่ 1 จำนวน 14 โครงการ ในวงเงินประมาณ 9,996 ล้านบาท , โครงการชลประทานรอบอ่างห้วยหลวงในวงเงิน 350 ล้านบาท รวม 10,346 ล้านบาท พื้นที่เพาะปลูก 510,480 ไร่ และเมื่อรวมกับเงินงบประมาณที่อนุมัติครั้งแรก 18,000 บาท โครงการโขง ชี มูล จึงได้รับอนุมัติงบประมาณให้ดำเนินการทั้งสิ้น 28,346 ล้านบาท ปัจจุบันการดำเนินโครงการระยะที่ 1 ได้เสร็จสิ้นแล้ว มีการก่อสร้าง 14 โครงการย่อย คือ การสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำมูน 6 เขื่อน คือ เขื่อนชุมพวง เขื่อนบ้านเขว้า เขื่อนตะลุง เขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนา แม่น้ำชี 8 คือ เขื่อนวังยาง เขื่อนธาตุน้อย เขื่อนยโสธร เขื่อนชนบท และเขื่อนมหาสารคาม เขื่อนหนองหานกุมภวาปี เขื่อนลำเซบก เขื่อนลำโดมใหญ่



แม้ว่าในปี 2536 คณะผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมได้เสนอให้มีการชะลอโครงการไว้ เพราะจะเกิดปัญหาผลกระทบการแพร่กระจายดินเค็มในภาคอีสาน และให้ปรับปรุงรายงานหลายเรื่อง แต่โครงการก็ยังได้รับการอนุมัติและดำเนินโครงการในระยะที่ 1 เกือบเสร็จทุกโครงการ



1. โครงการเขื่อนราษีไศล



เขื่อนราษีไศล เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่เดือนมีนาคม 2535 แล้วเสร็จและทำการเก็บกักน้ำตั้งแต่เดือนตุลาคม 2536 ลักษณะโครงการเป็นเขื่อนคอนกรีตขนาดความสูง 9 เมตรปิด-เปิดด้วยบานประตูเหล็ก 7 บาน ควบคุมด้วยระบบไฮโดรลิค สร้างปิดกั้นลำน้ำมูนที่บ้านปากห้วย อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ และมีการก่อสร้างคันดินกั้นน้ำ (dike) ระดับความสูง 120 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) เพื่อกั้นพื้นที่น้ำหลากท่วมสองฝั่งแม่น้ำ เป็นระยะทาง 45.8 กิโลเมตร ระดับการเก็บกักน้ำสูงสุด 119 ม.รทก. ขณะที่พื้นที่ท้องน้ำเท่ากับ 110 ม.รทก. จะช่วยยกระดับน้ำในลำน้ำมูนเป็นระยะทาง 120 กิโลเมตร และลำสาขา คือห้วยทับทัน 26 กิโลเมตร ลำน้ำเสียว 15 กิโลเมตร ห้วยน้ำเค็ม 5 กิโลเมตร และลำพลับพลา 7 กิโลเมตร พื้นที่อ่างเก็บน้ำ 20 ตารางกิโลเมตร (12,500 ไร่) สามารถเก็บกักน้ำได้ 74.43 ล้านลูกบาศก์เมตร



พื้นที่ชลประทานตามแผนในระยะแรก 34,420 ไร่ และในอนาคตเมื่อมีการผันน้ำมาจากแม่น้ำโขงจะได้พื้นที่ชลประทานจำนวน 143,260 ไร่ มีศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่ชลประทานทั้งหมด 228,000 ไร่ โครงการมีแผนการก่อสร้างเป็นเวลา 6 ปี นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2535 – 2541 ใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 871.9 ล้านบาท



หลังจากการก่อสร้างแล้วเสร็จ เขื่อนราษีไศลได้ทดลองกักเก็บน้ำในเดือนตุลาคม 2536 ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำมูนได้รับผลกระทบอย่างหนัก พื้นที่ทำการเกษตรเสียหายเป็นวงกว้าง ไม่สามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้ทัน ทำให้ชาวบ้านต้องรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เครือข่ายชาวบ้านลุกขึ้นเคลื่อนไหวเพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเข้ามาแก้ไขปัญหา การนำน้ำจากเขื่อนราษีไศลยังไม่สามารถให้ผลประโยชน์ทางชลประทานได้ เนื่องจากระบบการกระจายน้ำที่ไม่เสร็จ และความเค็มของน้ำเป็นปัญหาต่อการผลิตของชุมชนที่อยู่รอบเขื่อน แต่การกักเก็บน้ำทำให้เกิดปัญหาผลกระทบต่อชุมชนและระบบนิเวศน์อย่างหนัก ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้



1.2 ผลประโยชน์จากเขื่อนราษีไศล



ในเอกสารสรุปผลการวิเคราะห์ปัญหาผลกระทบและแนวทางแก้ไขปัญหาการจ่ายค่าชดเชยที่ดินโครงการฝายราษีไศล ของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังระบุว่า เขื่อนจะเก็บกักน้ำได้ 74.43 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่ชลประทานในฤดูฝน 79,120 ไร่ ในฤดูแล้ง 28,425 ไร่ และถ้ามีการสูบน้ำโขงเข้ามาจะได้พื้นที่ชลประทานในฤดูฝน 288,000 ไร่ ฤดูแล้ง 64,100 ไร่



เอกสารดังกล่าว สรุปผลประโยชน์ที่เกิดในช่วงเวลานั้นว่า ด้านอุปโภค บริโภค ราษฎร 98 หมู่บ้าน 48,000 คน ได้ประโยชน์ และราษฎรในเขตเทศบาลท่าตูม เทศบาลราษีไศล เทศบาลกันทรารมย์ อีก 24,000 คน ได้ใช้น้ำ 3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ด้านการชลประทาน ระหว่างปี 2536 – 2543 โครงการสูบน้ำด้วยพลังงานไฟฟ้าเดิม 20 สถานี ได้ใช้น้ำในฤดูฝน 41,760 ไร่ ฤดูแล้ง 3,671 ไร่



ผลประโยชน์ด้านการประมง ราษฎรทำการประมงหน้าเขื่อนมีรายได้เฉลี่ยปีละ 4.2 ล้านบาท (กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน, 2543)



จากการศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์ที่เกิดขึ้นในระดับพื้นที่พบว่า



1. ผลประโยชน์จากการใช้น้ำของเขื่อนราศีไศลยังไม่เกิดขึ้นจริง



ผลประโยชน์จริงของเขื่อนราษีไศลจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการใช้น้ำชลประทานเพิ่มขึ้นจากเดิม แต่ความจริงก็คือ สถานีสูบน้ำที่สร้างใหม่ 2 สถานี (RSP – 21 และ RSP – 22) ที่อำเภอรัตนบุรีและอำเภอบึงบูรพ์ ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่ชลประทาน 37,360 ไร่ (เอกสารเผยแพร่ว่า 34,420 ไร่) นั้น ยังสร้างไม่เสร็จ และมีการทดลองสูบน้ำสำหรับทำนาปรังในพื้นที่ตำบลดอนแรด อ.รัตนบุรี เพียงครั้งเดียว เมื่อปี 2545 ประมาณ 100 ไร่เท่านั้น



สำหรับตัวเลขพื้นที่ชลประทานในฤดูฝน 41,760 ไร่และ 3,671 ไร่ ในฤดูแล้ง ตามรายงานดังกล่าวเป็นตัวเลขตามโครงการเดิม 20 สถานีสูบน้ำทั้งเหนือเขื่อนและท้ายเขื่อน เป็นตัวเลขเต็มตามวัตถุประสงค์ที่โครงการวางไว้ ไม่ใช่ตัวเลขการใช้ประโยชน์จริง และ 11 ใน 20 สถานีดังกล่าว เป็นพื้นที่ที่ไม่ได้รับประโยชน์จากเขื่อนราษีไศลโดยตรง เพราะอยู่บริเวณใต้เขื่อน และเป็นพื้นที่ชลประทานของเขื่อนหัวนา (อีก 1 เขื่อนในโครงการโขง ชี มูลเช่นกัน) ตัวเลขในรายงานดังกล่าวจึงเป็นตัวเลขเหมารวมและสำหรับโฆษณาไม่ใช่ความจริง



ผลการศึกษาของสถาบันวิจัยสังคมในช่วงระยะเวลาเดียวกัน จากคำถามเกี่ยวกับการได้รับผลประโยชน์จากการมีเขื่อนราษีไศลของครอบครัวทั้งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลประโยชน์ พบว่าโดยรวมมีครัวเรือนถึงร้อยละ 62.3 ตอบว่าไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการมีเขื่อนราษีไศล โดยเฉพาะในชุมชนที่โครงการเขื่อนราษีไศลอ้างว่าจะเป็นพื้นที่รับประโยชน์ กลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 67.2 ตอบว่าไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย ส่วนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ มีผู้ตอบว่าไม่ได้รับประโยชน์อะไรร้อยละ 60.7 (สถาบันวิจัยสังคม, 2547)



2. ประโยชน์ทางด้านการอุปโภคบริโภค ใน 3 เทศบาลนั้นก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน เพราะการประปาเทศบาลตำบลท่าตูม จ.สุรินทร์ ไม่ได้ใช้น้ำจากแม่น้ำมูนทำน้ำประปา เทศบาลท่าตูมมีอ่างเก็บน้ำสำหรับทำน้ำประปาของตนเองต่างหากเพราะเคยใช้น้ำจากลำน้ำมูนทำน้ำประปาแล้วมีปัญหาความเค็ม สำหรับเทศบาลกันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ นั้นอยู่ใต้เขื่อนราษีไศลลงไปประมาณ 80 กิโลเมตร (อยู่เหนือเขื่อนหัวนาประมาณ 10 กิโลเมตร) ส่วนเทศบาลเมืองคง อ.ราษีไศล ซึ่งอยู่ใต้เขื่อนราษีไศลลงไป 5 กิโลเมตรก็ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำจากเขื่อนราษีไศลเช่นกัน การเก็บกักน้ำของเขื่อนราษีไศลเสียอีกที่จะทำให้เทศบาลแห่งนี้ขาดแคลนน้ำทำน้ำประปา



3. ด้านการประมง ที่มีตัวเลขผลประโยชน์ที่ได้รับปีละ 4.2 ล้านบาท อาจเปรียบกันไม่ได้เลยกับผลที่เสียไปตามที่เราทราบเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วว่า ปลาเศรษฐกิจหายไป กบและหอยหลายชนิดหายไป เครื่องมือประมงพื้นบ้านซึ่งมี 47 ชนิด ส่วนใหญ่สามารถใช้ในการหาปลาในน้ำลึกได้อีกต่อไป ทั้งยังมีวัชพืชและหอยคันระบาด เป็นอุปสรรคต่อการหาปลา ปลาที่จับได้รสจืดเน่าเร็ว จากการศึกษาของโครงการทามมูล เมื่อปี 2538 ศึกษากลุ่มตัวอย่าง 366 ครอบครัว ใน 11 หมู่บ้าน พบว่ารายได้จากการประมง (หาปลา หอย กบเขียด) มีรายได้รวมปีละ 3,865,049 บาท เฉลี่ยครอบครัวละ 10,560 บาท พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล 141 หมู่บ้าน ถ้าประมาณว่า ก่อนการสร้างเขื่อน มีคนทำการประมงสัก 5,000 คน ก็จะมีรายได้รวม 52.8 ล้านบาท (โครงการทามมูล, 2538)



4. ศักยภาพของการใช้น้ำชลประทานในการเกษตร ถ้ามีการเก็บน้ำของเขื่อนราษีไศลแล้ว การใช้น้ำเพื่อการเกษตรในพื้นที่สองฝั่งลำน้ำมูนจะเป็นอย่างไร ?



เรื่องนี้คาดการณ์ไม่ยาก เพราะประสบการณ์เดิมในพื้นที่สถานีสูบน้ำด้วยพลังงานไฟฟ้าทั่วไปในลุ่มน้ำมูนนั้นประจักษ์อยู่ในตัว คือ ชาวบ้านจะใช้ประโยชน์จากสถานีสูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้าในช่วงฤดูฝนทิ้งช่วงเป็นหลัก เพื่อนำน้ำมาหล่อเลี้ยงต้นข้าว



ส่วนประสบการณ์การทำนาปรัง พบว่า ค่อนข้างล้มเหลวเพราะไม่คุ้มทุน การต้องซื้อน้ำลงทุนปุ๋ย ยาเคมี และมีปัญหาโรคแมลงระบาดในฤดูแล้ง และที่สำคัญ คือ เมื่อสูบน้ำจากลำน้ำมูนมาใส่นาซึ่งเป็นนาดินทรายซึ่งมีชั้นเกลืออยู่ใต้ดินผสมกับความเค็มที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำจากลำน้ำมูน ทำให้เกิดการแพร่กระจายของดินเค็มจนข้าวเสียหาย และต้นไม้ในนายืนต้นตาย ด้วยเหตุผลดังกล่าว ชาวบ้านจึงไม่นิยมนำน้ำจากแม่น้ำมูนมาทำนาปรัง ดังนั้นวัตถุประสงค์ที่จะเพิ่มผลผลิตในฤดูแล้งจะเกิดผลน้อยมาก



ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจริงจึงเหลือเพียงการสูบน้ำในแม่น้ำมูนใช้ในการทำนาในฤดูฝนทิ้งช่วง ซึ่งเกิดขึ้นประมาณเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม ของทุกปี ซึ่งในฤดูดังกล่าวในลำน้ำมูนจะมีน้ำเพียงพอสำหรับให้สถานีสูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้าใช้สูบให้กับชาวนา นั่นหมายถึงไม่ต้องมีการเก็บกักน้ำของเขื่อนราศีไศลแต่อย่างใด



5. การจัดหาพื้นที่ชลประทานของเขื่อนราษีไศล ลงทุนไร่ละเท่าไหร่?



ค่าก่อสร้างเขื่อนราษีไศลตามโครงการ 871 ล้านบาท เพื่อการจัดหาพื้นที่ชลประทาน 34,420 ไร่ นั้นเท่ากับว่าไร่หนึ่งต้องลงทุน 25,305 บาท



ในความจริง เขื่อนราษีไศลได้จ่ายค่าชดเชยไปแล้ว 2 ครั้ง จำนวน 420,925,344 บาท และต้องจ่ายอีกสำหรับผู้เดือดร้อนที่เหลืออยู่ ถ้าต้องจ่ายอีก 52,000 ไร่ (ตัวเลขการตรวจสอบพื้นที่ทำกินล่าสุด มีนาคม 2548) ไร่ละ 32,000 บาท เป็นเงิน 1,664,000,000 บาท รวมค่าก่อสร้างและการจ่ายค่าชดเชยทั้งหมดเป็นเงิน 2,956,825,344 บาท โดยยังไม่คิดค่าดูแล ซ่อมแซมตลอดอายุเขื่อน ค่าศึกษาผลกระทบ ออกแบบ วางแผนแก้ผลกระทบ และงบโฆษณาประชาสัมพันธ์



นั่นจะเท่ากับว่าเขื่อนราษีไศลอาจจะต้องจ่าย 85,904 บาท เพื่อจัดหาพื้นที่ชลประทาน 1 ไร่ และนั่นคือราคาที่มีประสิทธิภาพการใช้งานของระบบชลประทานอยู่ที่ 100 เปอร์เซ็นต์ เปรียบเทียบกันไม่ได้กับการลงทุนของระบบชลประทานในพื้นที่ทามของชาวบ้านหนองแค – สวนสวรรค์ ที่ลงทุนในการทำโครงสร้างระบบชลประทานราคาเฉลี่ยเพียงไร่ละ 783.30 บาทเท่านั้น





โดย: Darksingha วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:13:27:59 น.  

 
ต่อ

6. ในปัจจุบันที่การก่อสร้างเขื่อนราษีไศลผ่านมาแล้ว 15 ปี ผู้ที่ได้รับประโยชน์จริงคือใคร ?



ในขณะที่ผลประโยชน์ทางตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่ก็มีผลประโยชน์ทางอ้อมที่เกิดขึ้นจริง ก็คือ ธุรกิจท่าทรายและการเลี้ยงปลาในกระซัง



หลังจากมีการเก็บกักน้ำของเขื่อนราษีไศล ในปี 2536 ธุรกิจท่าทรายเติบโตเป็นอันมากโดยที่ระดับน้ำเหนือเขื่อนสูงตลอดปี สะดวกต่อการใช้เรือดูดทราย มีธุรกิจท่าทราย 5 ท่าในปัจจุบันที่ทำธุรกิจดูดทรายอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เป็นธุรกิจของนักการเมืองใหญ่ระดับชาติ นักธุรกิจท่าทรายจึงมีพลังในการล่ารายชื่อชาวบ้านในท้องถิ่นสนับสนุนผลักดันให้รัฐบาลตัดสินใจเปลี่ยนมติคณะรัฐมนตรี 25 กรกฎาคม 2543 ให้เปิดบานประตูเขื่อนให้มีการปิดเขื่อนครั้งใหม่ เมื่อ 2 พฤศจิกายน 2548



ผู้ได้ประโยชน์อีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มผู้เลี้ยงปลาทับทิมและปลานิลในกระซังที่บ้านดงแดง ตำบลด่าน ซึ่งอยู่ห่างจากหัวงานเขื่อนไปทางเหนือน้ำประมาณ 7 กิโลเมตร ประมาณ 10 ราย เริ่มเลี้ยงมาหลังจากมีการเก็บกักน้ำ กลุ่มนี้เรียกร้องให้มีการเก็บกักน้ำเพื่อให้มีน้ำเพียงพอต่อการเลี้ยงปลา ซึ่งจะเป็นผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกับผู้ที่ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าบุ่งป่าทามจำนวนหลายพันครัวเรือนอย่างสิ้นเชิง



1.4. ผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล



4.1 การสูญเสียที่ดินทำกินของราษฎร พื้นที่บุ่งทามในบริเวณที่เขื่อนราษีไศลใช้เป็นพื้นที่อ่างเก็บน้ำแห่งนี้ เป็นแหล่งที่ราษฎรสองฝั่งลำน้ำมูนครอบครองและทำประโยชน์มาตามครรลองจารีตประเพณีอย่างยาวนาน มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจประมาณ 25 กิจกรรม เมื่อเขื่อนราษีไศลกักเก็บน้ำเมื่อปลายปี 2536 น้ำได้ท่วมที่ทำกินนับตั้งแต่ที่ต่ำ คือ กุด หนอง เลิง ที่ใช้ทำนาทาม และที่โนนที่ใช้ทำข้าวไร่และพืชไร่ บางบริเวณที่สูงน้ำท่วมไม่ถึงก็กลายเป็นการไม่สามารถเดินทางหรือนำเครื่องมือไปทำการผลิตใด ๆ ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากตามมาเมื่อราษฎรได้เรียกร้องให้โครงการแก้ปัญหา เพราะไม่มีหลักฐานที่เป็นทางการ คือ เอกสารสิทธิ์ตามกฎหมายในที่ดิน



ในปี 2542 สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการศึกษาพบว่า ในพื้นที่รอบอ่างเก็บน้ำราษีไศล มีครัวเรือนที่นาทามสูญเสียราว 7,856 ครัวเรือน พื้นที่นาทามที่ถูกน้ำท่วมราว 46,937 ไร่ ใน 9 ตำบล ผลผลิตข้าวนาทามเปรียบเทียบระหว่างปี 2535 (ก่อนเก็บกักน้ำ) กับปี 2542 รายได้หลักของครัวเรือนที่ทำนาทามลดลงราวปีละ 11,520 บาท ผลผลิตรวมโดยประมาณที่ลดลงคือราว 540 ล้านต่อปี (สถาบันวิจัยสังคม จุฬา ฯ, 2547 : 4 – 42) ปี 2547 ภายหลังกรมชลประทานเข้ามารับผิดชอบเมื่อปี 2545 กรมชลประทานได้ระบุว่า พื้นที่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนราษีไศล ประมาณ 100,000 ไร่



4.2 การสูญเสียพื้นที่ทำเลเลี้ยงสัตว์ เศรษฐกิจสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ชุมชนต้องสูญเสียอย่างหนักคือ อาชีพการเลี้ยงวัวควาย ครัวเรือนร้อยละ 90 เลี้ยงวัวควาย ครัวเรือนละตั้งแต่ 10-30 ตัว พื้นที่บุ่งทามเป็นทำเลที่กว้างขวาง มีพืชอาหารสัตว์หลากหลายและเพียงพอ มีแหล่งน้ำและที่พักสัตว์ ชุมชนแถบนี้มีแบบแผนการเลี้ยงแบบเฉพาะตัวและมีภูมิปัญญาที่สั่งสมมายาวนาน เมื่อมีการเก็บกักน้ำ ปริมาณการเลี้ยงวัวควายลดลง ชาวบ้านต้องขายไปเพราะไม่มีที่เลี้ยง ส่วนที่เหลือต้องหาที่เลี้ยงใหม่ ทั้งในทุ่งนา ป่าโคก และเลี้ยงที่บ้าน ข้อมูลของสถาบันวิจัยสังคมระบุว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังการสร้างเขื่อน (ระหว่างปี 2535 – 2542) จากการที่ทามถูกน้ำท่วมทำให้การเลี้ยงวัวในพื้นที่บุ่งทามลดลงร้อยละ 75.4 เปลี่ยนมาเลี้ยงที่บ้านเพิ่มขึ้นร้อยละ 446.7 จำนวนผู้เลี้ยงวัวลดลง ร้อยละ 14.9 และจำนวนผู้เลี้ยงควายลดลงร้อยละ 77.6 (สถาบันวิจัยสังคม จุฬา ฯ , 2547 : 12)



4.3 ปัญหาพื้นที่เสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วมนานอกอ่างเก็บน้ำ คันดินกั้นน้ำ (Dike) ของเขื่อนราษีไศล ซึ่งก่อสร้างขนาบสองฝั่งแม่น้ำมูนรวมทั้งสองฝั่งเป็นความยาวทั้งสิ้น 45.8 กิโลเมตร ข้อสรุปจากคณะกรรมการศึกษาผลกระทบ เมื่อปี 2540 พบว่า คันดินดังกล่าวปิดกั้นน้ำจากที่สูงไม่ให้ไหลลงแม่น้ำมูนได้ดั่งเดิม ส่งผลให้น้ำท่วมนาบริเวณนอกอ่างเก็บน้ำเกือบทุกพื้นที่ ราษฎรที่มีที่นาอยู่ในบริเวณดังกล่าวต้องประสบความเดือดร้อนทุกปี คณะกรรมการจึงมีมติให้แก้โดยการติดตั้งเครื่องสูบน้ำถาวรบนคันดิน 7 จุด ซ่อมและเสริมคันดินอีก 1 และ 2 จุดตามลำดับ และตั้งอาสาสมัครชาวบ้านเพื่อเฝ้าระวังปัญหาที่เกิดขึ้นทุกปี แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีการดำเนินการใด ๆ จนถึงปัจจุบัน



ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นคือ การสร้างคันดินกั้นน้ำปัญหาในบริเวณที่มีการก่อสร้างคันดินกั้นน้ำเป็นขอบเขตชัดเจนนั้นมีการก่อสร้างในพื้นที่เหนือเขื่อนนับระยะทางได้ประมาณ 20 กิโลเมตรเท่านั้น เหนือนั้นขึ้นไปเป็นระยะทาง 70-80 กิโลเมตร เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการเก็บกักน้ำของเขื่อน ในบางพื้นที่ เช่น ตำบลยางคำ อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด เขื่อนราษีไศลกำหนดเอาฝั่งแม่น้ำมูนเป็นขอบเขตอ่างเก็บน้ำ ทุ่งนาไกลฝั่งออกไปมีระดับความสูงที่ 117 ม.รทก. ต่ำกว่าระดับเก็บกักน้ำของเขื่อน (119 ม.รทก.) จึงประสบกับน้ำท่วมนาทุกปีเช่นกัน



พื้นที่ที่อยู่สูงขึ้นไปเกือบสิบตำบล ได้รับผลกระทบจากเขื่อนในฤดูน้ำหลากเช่นกัน ขณะที่ก่อนการสร้างเขื่อน การทำนาในพื้นที่ทามและในนาทุ่งที่สูงขึ้นไปมักต้องถูกน้ำท่วม แต่เป็นการท่วมในระยะ 1-2 สัปดาห์เท่านั้น ต้นข้าวในนายังไม่ตายและสามารถฟื้นคืนได้ แต่หลังการก่อสร้างเขื่อน แรงอัดเอ่อของน้ำทำให้เกิดการท่วมยาวนานถึง 1-3 เดือน



ความจริงประการหนึ่ง คือ เดิมเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก ความกว้างของทางเดินน้ำบริเวณก่อสร้างเขื่อนคือบุ่งทามกว้างประมาณ 6 กิโลเมตร เมื่อมีการสร้างเขื่อน มีการสร้างเขื่อนดินเป็นถนนฝั่งซ้ายแม่น้ำมูนยาว 5 กิโลเมตร ฝั่งขวายาว 1 กิโลเมตร ปิดกั้นพื้นที่น้ำหลาก โดยไม่มีช่องระบายน้ำใด ๆ เลย มีแต่ประตูระบายน้ำที่หัวงานเขื่อนเพียง 7 บาน กว้างบานละ 12.5 เมตร รวมเป็น 87.5 เมตร น้ำที่เคยมีทางระบาย กว้าง 6 กิโลเมตร (6,000 เมตร) กลับเหลือช่องไหลเพียง 87.5 เมตร ในฤดูน้ำหลากน้ำจึงไหลไม่ทันและก่อผลกระทบอย่างมหาศาลต่อพื้นที่เหนือเขื่อนขึ้นไปนับ 100 กิโลเมตร



4.4 การสูญเสียป่าบุ่งป่าทามแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพ พื้นที่บุ่งทามถือได้ว่าเป็นระบบนิเวศน์ที่สำคัญของภาคอีสาน ของประเทศและของโลก มีภูมิสัณฐานที่หลากหลายอันเกิดจากอิทธิพลของสายน้ำ จำนวน 19 ลักษณะ เช่น บุ่ง ทาม วัง ฮองหรือร่องน้ำ คุย วัง เวิน มาบ เลิง ดูน ซำ คำ หนอง บวก ปาก กุด แก้ง ฯลฯ ส่งผลให้มีความหลากหลายของพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ในแต่ละบริเวณ และมีวงจรห่วงโซ่อาหารอันละเอียดซับซ้อน สัมพันธ์กับฤดูกาลที่เปลี่ยนไป ในฤดูแล้งพื้นดินมีโอกาสได้ตากแห้ง วัชพืชน้ำตายลง ถูกแผดเผาโดยแสงแดดจนแห้งรอเปื่อยเป็นอาหารพืชสัตว์ จะเป็นที่อาศัย หากินและแพร่พันธุ์ของสัตว์บก มดปลวก แมลง และเป็นที่จำศีลของกบเขียดและหอย เมื่อถึงฤดูน้ำหลากนอง สัตว์เล็ก แมลงและผลไม้ เมล็ดพืชต่าง ๆ เป็นอาหารอันโอชะของปลาที่ว่ายทวนน้ำขึ้นมาหากินและวางไข่ในพุ่มไม้อย่างปลอดภัย เหตุนี้จึงมีการเรียกพื้นที่นี้ว่า “มดลูกของแม่น้ำ”



วงจรของธรรมชาติในพื้นที่ป่าบุ่ง ป่าทาม อยู่บนเงื่อนไขที่ต้องมีฤดูน้ำหลากท่วมสลับกับฤดูแล้ง ทำให้เกิดวิวัฒนาการของพืชสัตว์ที่มีดุลยภาพในตัวเอง แต่เมื่อกลายเป็นอ่างเก็บน้ำถาวร มวลชีวิตที่มีวงจรระบบนิเวศน์เฉพาะดังกล่าวก็ไม่สามารถดำเนินวงจรชีวิตของตนต่อไปได้



ในพื้นที่อ่างเก็บน้ำอาณาเขตเกือบแสนไร่แห่งนี้ มีสภาพนิเวศน์แบบต่าง ๆ หลากหลายสลับกันไป โดยเฉพาะแหล่งน้ำธรรมชาติจำนวนไม่น้อยกว่า 500 แหล่ง และระบบภูมิสัณฐาน 19 แบบ ซึ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพและกายภาพต้องจมอยู่ภายใต้อ่างเก็บน้ำของเขื่อนราษีไศล พบว่า มีพันธุ์พืชในพื้นที่บุ่งทามจำนวน 250 ชนิด แยกเป็น ไม้ยืนต้น 67 ชนิด ไม้พุ่ม 33 ชนิด ไม้เลื้อย 51 ชนิด ประเภทเป็นกอ 43 ชนิด พืชน้ำ 24 ชนิด เห็ด 32 ชนิด เมล็ดพันธุ์ 47 ชนิด (งานวิจัยไทบ้านราษีไศล, 2548) พืชที่เป็นสมุนไพร 57 ชนิด (สนั่น ชูสกุลและคณะ,2540) สัตว์ป่า พบสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 10 ชนิด ใน 4 วงศ์ สัตว์เลื้อยคลาน 21 ชนิด ใน 9 วงศ์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 13 ชนิด ใน 6 วงศ์ และนก 53 ชนิด ใน 31 วงศ์ (ประสิทธิ์ คุณุรัตน์,2536.)

ยคลน์ พบสัตว์สะเทินบกสะเทินน้

ด้านพันธุ์ปลา (วิจัยไทบ้านราษีไศล,2548) พบว่า ในลำน้ำมูนและบริเวณบุ่งทาม มีปลาที่พบ 112 ชนิด ในช่วงที่มีการเก็บกักน้ำ พบพันธุ์ปลา 100 ชนิด แต่ปลาหลายชนิดลดจำนวนลงจนหายากมาก จนมีคำพูดว่า “มีเหมือนไม่มี” ปลาที่สูญพันธุ์ และปลาหายากเป็นปลาอพยพ และล้วนเป็นปลาที่สร้างเศรษฐกิจรายได้แก่ชุมชน เช่น ปลาแข่เหลือง ปลาเคิงดำ ปลาจอก ปลาจอกขาว ปลาจอกดำ ปลาซวยหางแดง ปลาเผียะขาว ปลาสูดหางขาว ปลาหมากผาง ปลาสบ เมื่อมีการเปิดบานประตูเขื่อนตามมติคณะรัฐมนตรี 25 กรกฎาคม 2543 ปรากฏว่าปลาเหล่านี้กลับคืนมา ยกเว้น ปลาขบ ปลาแข่เหลือง ปลาซวยหางแดง และปลาเพียะขาว



อนึ่ง หลังมีการเก็บกักน้ำใหม่ ๆ ในปี 2537 สงกรานต์ มีงาม โครงการทามมูล ได้ศึกษาพบว่าปลา 37 ชนิดลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว แต่จำพวกปลาชะโด ปลาปักเป้า เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน และปลาที่จับได้รสชาติเปลี่ยนไป มีกลิ่นคาวจัด เนื้อเหลว เน่าง่าย และมีเห็บปลาระบาด บางแห่งจะพบปลาขาวสร้อยลอยตายเป็นแพเพราะขาดออกซิเจน ทรัพยากรทางชีวภาพเหล่านี้ต้องจมหายไปกับอ่างเก็บน้ำ บางชนิดเกิดการสูญพันธุ์และเกิดเป็นพิษต่อมนุษย์แทนที่



4.5 การแพร่กระจายของดินเค็ม น้ำเค็ม พื้นที่ราษีไศลเป็นพื้นที่ตอนล่างซึ่งเป็นแอ่งรับน้ำเค็มจากห้วยก๊ากว้าก ลำน้ำเสียว ทุ่งกุลาร้องไห้ และความเค็มจากการทำนาเกลือจากพิมาย-โนนไทย ในฤดูน้ำหลาก เกลือที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำจะถูกน้ำนำพาไปสู่ปลายน้ำ ไม่มีผลกระทบใดๆ เมื่อถึงฤดูแล้งจะมีส่าเกลือตกค้างอยู่บนผิวดินทามทั่วไป ชาวบ้านใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับต้มเกลือจนชุมชนแถบนี้สามารถพึ่งพิงตนเองได้ในเรื่องเกลือ มีแบบแผนการต้มเกลือสืบต่อกันมาถึงขนาดเกิดความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับการต้มเกลือที่มีลักษณะเฉพาะของตนเอง ในบริเวณขอบเขตบุ่งทามที่จะกลายเป็นอ่างเก็บน้ำราษีไศลมี “บ่อเกลือ” นับได้ประมาณ 150 บ่อ แต่ละแห่งมีพื้นที่กว้างตั้งแต่ 10 ไร่ ถึง 100 ไร่ (งานวิจัยไทบ้าน 2548) นอกจากนั้น ส่าเกลือหรือโป่งเกลือ หรือชาวบ้านเรียกว่า “ขี้ตำปวก” เป็นอาหารของปลาจำนวนมากที่ว่ายทวนน้ำจากแม่น้ำโขงเพื่อมาวางไข่และอาศัยอยู่ในป่าทามลุ่มน้ำมูนตอนกลางในช่วงฤดูน้ำหลากอีกด้วย



เมื่อพื้นที่บุ่งทามกลายเป็นอ่างเก็บน้ำ ปริมาณความเค็มจากเกลือก็ถูกสะสมอยู่ในอ่างเก็บน้ำนั่นเอง ในปี 2538 กรมพัฒนาที่ดินได้สำรวจผลกระทบแล้วสรุปว่า หลังการเก็บกักน้ำของเขื่อนราษีไศล เกลือถูกสะสมในพื้นที่เหนือเขื่อนมากขึ้นเพราะไม่สามารถระบายออกจากระบบได้ ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถใช้น้ำในการเพาะปลูกตามปกติได้ ทั้งนี้ มีผลการวิเคราะห์ทั้งในบริเวณเขื่อนในช่วงแล้งมีความเค็มระดับสูง นำน้ำไปใช้ทำการเกษตรไม่ได้ ในพื้นที่รอบอ่างเก็บน้ำที่ชาวบ้านเคยสูบน้ำขึ้นมาทำนาปรังและปลูกพืชผักในฤดูแล้ง หลังมีการเก็บกักน้ำในปี 2536 ปรากฏว่า พืชผักที่รดน้ำพากันเหี่ยวเฉาตายทั้งแปลงเพราะผลจากน้ำเค็ม ในพื้นที่การทำนาปรังมีความเค็มปนเปื้อนจนต้นข้าวตาย และเมื่อน้ำในแปลงนาแห้งลงก็ปรากฏส่าเกลือตกค้างอยู่ในนา ต้นไม้ธรรมชาติในแปลงนาก็ตายลงจำนวนมาก (กรมพัฒนาที่ดิน, 2538 ใน วราลักษณ์ อิทธิพลโอฬาร, 2538 - 2539)



จากการศึกษาแผนที่การกระจายดินเค็มเฉพาะจังหวัดศรีสะเกษ ของกรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่า ในขอบเขตอ่างเก็บน้ำราษีไศลมีชั้นหินเกลือรองรับอยู่ข้างใต้เป็นพื้นที่ไม่น้อยกว่า 10 ตารางกิโลเมตร และนอกจากนั้นเขื่อนราษีไศล ก็ได้ทำลายอาชีพและวัฒนธรรมการต้มเกลือของชาวบ้าน ชาวบ้านต้องหันไปพึ่งเกลือดิบจากตลาดมาบริโภค และก็มีอาการแพ้ คันตามเนื้อตัว เอามาทำปลาแดกก็เก็บไว้ได้มานาน หมดยุคของการต้มเกลือพื้นบ้านไปแล้ว นายหมื่น สุปรีชา บ้านผึ้ง หมู่ 4 ต.หนองแค อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า “ในอดีตชาวบ้านผึ้งและบ้านใกล้เคียงเคยต้มเกลือกินในพื้นที่ใกล้มูลที่ชาวบ้านใช้เป็นบ่อเกลือหน้าดินมาต้มกินนานหลายชั่วอายุคน ในแถบนี้มีเป็นร้อยบ่อ ชาวบ้านไม่เคยต้องซื้อเกลือกิน และประสบการณ์จากการสร้างคลองชลประทานสูบน้ำจากมูนขึ้นมาใช้ในหน้าแล้งที่ผ่านมาไม่ได้ผลเพราะน้ำมูนหน้าแล้งมันเค็ม สูบขึ้นมารดพืชผักก็บ่เป็นผล ชาวบ้านผึ้งเคยสูบน้ำเฮ็ดนาปรัง พอฮอดปีหลังมาดินในที่นาก็เกิดคราบเกลือขึ้น ชาวบ้านแถวนี้ก็เลยเลิกใช้น้ำคลองอีกเดี๋ยวนี้คลองกลายเป็นคลองลม ปล่อยทิ้งไว้ซือ ๆ (ทิ้งไว้เฉย ๆ) ชาวบ้านก็สงสัยว่าถ้าตันเขื่อนแล้วน้ำจะเค็มเหมือนก่อน



แต่ทางฝาย (เจ้าหน้าที่ฝาย) เพิ่นบอกว่าตะกี้น้ำน้อย น้ำเลยเค็ม ถ้าตันเขื่อนแล้วน้ำหลายขึ้นเกลือก็จะเจือจางเหมือนเราเอาน้ำใส่แก้วละลายเกลือ ถ้าใส่น้ำหลาย ๆ น้ำก็บ่เค็ม เพิ่นว่าอย่างนั้น แต่พอตันเขื่อนขึ้นแล้วมันบ่เป็นคือเพิ่นว่า (ไม่เป็นอย่างเขาว่า) นาของพ่อที่ติดมูนเนินไหนที่ถูกท่วมแล้วน้ำลดลงปล่อยไว้บ่ถึงมื้อ แดดส่องมาเห็นคราบเกลือขึ้นขาวจานพาน (ปล่อยไว้ไม่ถึงวัน แดดส่องมาเห็นคราบเกลือขึ้นขาวไปทั่ว) สังเกตได้เลยว่าหลังจากเขื่อนตันน้ำมา น้ำท่วมถึงหม่องได๋เกลือแผ่ไปหม่องนั่น (น้ำท่วมถึงที่ไหนเกลือแพร่ไปถึงที่นั่น) และเบิ่งจากคันแทนา (คันนา) ตะกี้มีหญ้าขึ้นหลายเดี๋ยวนี้คันนาที่ติดน้ำท่วมหญ้าเหลืองตายหมด” (หมื่น สุปรีชา บ้านผึ้ง อายุ 48 ปี สัมภาษณ์ใน วราลักษณ์ อิทธิพลโอฬาร, 2539)



4.6 ปัญหาน้ำเน่า น้ำเสียและปัญหาสุขภาพ เมื่อมีการเก็บกักน้ำ ป่าทามทั้งผืนจมอยู่ใต้น้ำ เกิดการเน่าเปื่อยของต้นไม้ใบไม้ ส่งผลให้น้ำเน่าเสีย น้ำมีสีดำ ยิ่งน้ำนิ่งไม่มีการถ่ายเทยิ่งเพิ่มความรุนแรง เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุง แหล่งน้ำที่หลายชุมชนใช้ผลิตน้ำประปา (กุด) เกิดสกปรกเพราะมีเศษซากวัชพืชเน่าเปื่อยหมักหมม เกิดผลกระทบต่อบ่อน้ำตื้นทั่วไปที่ชาวบ้านใช้บริโภค หลังการสร้างเขื่อน ระดับน้ำใต้ดินยกระดับสูงขึ้น น้ำบ่อในชุมชนจำนวนมากเริ่มมีสนิมปนเปื้อน บางบ่อน้ำกลายเป็นน้ำกร่อย น้ำเค็มและเป็นสนิม เกิดการระบาดของวัชพืชน้ำจำพวกจอกแหนและหอยคัน เมื่อชาวบ้านลงน้ำไปหาปลาก็เกิดอาการคันตามเนื้อตัว การระบาดของหอยเชอรี่ พร้อมกับการสูญพันธุ์ของหอยโข่ง ซึ่งต้องวางไข่ในดินในฤดูแล้ง หอยเชอรี่ระบาดไปยังทุ่งนาทุกพื้นที่รอบอ่างเก็บน้ำราษีไศล โดยเฉพาะพื้นที่ที่สูบน้ำไปทำการเกษตร



ผลกระทบด้านสุขภาพ พบว่า หลังการสร้างเขื่อนชาวบ้านเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคที่ไม่เคยเป็นมาก่อนถึงร้อยละ 19.0 โรคที่พบมากที่สุด คือ โรคผิวหนังผื่นคันร้อยละ 40 ของโรคที่พบ (สถาบันวิจัยทางสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2547) นอกนั้นก็มีโรคท้องร่วง ตาแดง หวัดเรื้อรัง ภูมิแพ้และพยาธิต่าง ๆ ทั้งยังมีอาการป่วยจากการกินปลาปักเป้า แพทย์โรงพยาบาลราษีไศลลงความเห็นว่าเกิดจากพิษปลาปักเป้า (fish poisoning, tetrodo toxin intoxication) มีอาการชารอบริมฝีปาก แขนขาและปลายมือปลายเท้า กล้ามเนื้ออ่อนเพลีย ไม่มีแรง หายใจขัด ในอดีต ปลาปักเป้าเป็นปลาที่ชาวบ้านสามารถบริโภคได้ไม่เคยมีอาการแพ้พิษ และโรคที่มาพร้อมกับโรคอื่นๆ ก็คือ โรคเครียด วิตกกังวล เกิดจากการสูญเสียที่ทำกินอย่างไม่เป็นธรรม เมื่อมีการรวมกลุ่มเพื่อผลักดันให้มีการแก้ปัญหา ซึ่งมีความยากลำบากเพราะมีการต่อสู้ยืดเยื้อเผชิญหน้ากับรัฐอย่างตึงเครียด และเป็นกิจกรรมที่ต้องลงทุนลงแรงพอสมควร บางครอบครัวถึงขั้นนำโฉนดที่ดินไปจำนองเพื่อนำเงินมาใช้ในการต่อสู้ หลายคนเกิดอาการเครียดถึงขนาดไปหาหมอ และมีไม่น้อยกว่า 10 คนที่เสียชีวิตขณะชุมนุม



4.7 ผลกระทบต่อแหล่งน้ำชลประทานเดิม ในพื้นที่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนราษีไศลนั้น เดิมเคยมีโครงการชลประทานขนาดเล็กระดับชุมชนและมีการใช้ประโยชน์ร่วมกันในท้องถิ่นอยู่แล้ว เป็นโครงการของกรมชลประทาน กรมการปกครอง กรมโยธาธิการ สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท (รพช.) กรมทรัพยากรธรณี ส่วนมากจะเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ฝายน้ำล้น ทำนบกั้นน้ำ บ่อน้ำตื้น แหล่งน้ำเหล่านี้ เมื่อก่อสร้างเสร็จหน่วยงานรัฐก็จะมอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือชุมชนเป็นผู้จัดการดูแล เฉพาะในพื้นที่อำเภอราษีไศลและอำเภอบึงบูรพ์ พบว่า มีโครงการชลประทานดังกล่าว จำนวน 12 โครงการ คือ อ่างห้วยน้ำเค็ม ฝายบ้านหนองบัวดง ฝายกุดก้อม ฝายน้ำล้นกุดปลาเซียม ฝายน้ำล้นห้วยน้ำเค็ม ฝายหนองโดน ฝายน้ำล้นหนองตาหวด ทำนบฮองหวาย อ่างเก็บน้ำร่องไผ่ ฝายน้ำล้นอ่างร่องไผ่ ฝายหนองหล่ม (กั้นห้วยทับทัน) อ่างเก็บน้ำร่องจิกปูด อ่างเก็บน้ำบ้านโนนลาน รวมงบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้นประมาณ 40 ล้านบาท ในโครงการต่าง ๆ ดังกล่าว ราษฎรได้ใช้ประโยชน์ในการใช้น้ำอุปโภคบริโภค การปลูกผักสวนครัว เลี้ยงสัตว์ บางแห่งสามารถใช้เป็นแหล่งน้ำในการทำนาปรังในฤดูแล้ง



เขื่อนราษีไศลได้สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทับซ้อนลงไปในพื้นที่ดังกล่าว ท่วมทั้งพื้นที่เก็บน้ำและท่วมทั้งพื้นที่ทำกินที่ใช้ประโยชน์รอบอ่างเก็บน้ำเดิม ถือเป็นการทำโครงการที่ซ้ำซ้อนกับโครงการเดิม



4.8 การสูญเสียพื้นที่ทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาของชุมชน ป่าทามลุ่มน้ำมูนตอนกลางเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมของชุมชนสองฟากฝั่ง การเข้าไปใช้ประโยชน์ในการทำมาหากินร่วมกัน เช่น การเลี้ยงวัว - ควาย การทำนาหนอง การหาปลา การเอาผือ กก มาทอเสื่อ ฯลฯ ทำให้คนสองฝั่งหรือระหว่างชุมชนที่เป็นรอยต่อกันเกิดมีปฏิสัมพันธ์กันฉันญาติมิตร เพื่อน พี่น้อง เกิดการแต่งงานกันข้ามหมู่บ้านสองฟากแม่น้ำมูน กลายเป็นเสี่ยวกัน เป็นเส้นทางในการคมนาคมของชุมชน การค้าขาย หรือแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกัน เช่น บ้านท่างาม กับบ้านโนนทราย ซึ่งอยู่คนละฟากแม่น้ำมูน มีเส้นทางเชื่อมต่อกันเพียง 2 กม. ทำให้คนสองบ้านนี้ไปมาหาสู่กันสะดวก หากมีงานบุญในหมู่บ้าน คนในสองหมู่บ้านก็จะเดิน ปั่นจักรยาน ขับมอเตอร์ไซด์ ผ่านป่าทามแห่งนี้มาช่วยเหลือกัน หากเป็นฤดูฝนก็จะพายเรือมาตามร่องน้ำ กุดที่เชื่อมต่อกันและข้ามแม่น้ำมูนมาอีกฝั่งหนึ่งได้ โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาหรือค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไปในการเดินทางไปมาหาสู่กัน



นอกจากนี้ การสร้างเขื่อนราษีไศลทำให้ชุมชนสูญเสียภูมิปัญญาในการทำมาหากิน คนรุ่นหลังขาดโอกาสที่จะลงไปใช้ชีวิต เรียนรู้และทำมาหากินเพื่อดำรง สืบทอดภูมิปัญญาดังกล่าว เช่น การทำนาไร่ การทำนาหนอง การหาปลา หาผัก การต้มเกลือ เพราะต้องออกไปทำมาหากินนอกชุมชน ขายแรงงาน ในฐานะเป็นคนที่มีกำลังมากที่สุดในครอบครัว คนหนุ่มสาว เยาวชนรุ่นหลังจึงขาดการซึมซับ ถ่ายทอดวิถีการทำมาหากินที่เป็นภูมิปัญญาของครอบครัว วิถีการผลิตที่เรียบง่ายและพึ่งตนเอง ไปหลงไหลกับสมัยนิยมแทน







………………………………………..


ที่มา : ประชาไท วันที่ : 4/10/2550



โดย: Darksingha วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:13:28:30 น.  

 
สมัชชาคนจน ประกาศกร้าวกลางสายฝน “ป่าทามหัวนา-ราษี แผ่นดินนี้เป็นของเรา” ย้ำรัฐละเมิดมิได้



เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ที่จังหวัดศรีสะเกษ ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากเขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนา ชุมนุมต่อเนื่องบริเวณหัวงานเขื่อนราษีไศลเป็นวันที่สอง เคลื่อนขบวนกว่า 3,000 คน ท่ามกลางสายฝน ไปบริเวณสันเขื่อนราษีไศล เพื่อทำบุญสืบชะตาแม่น้ำและประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน



นางผา กองธรรม แกนนำสมัชชาคนจน กรณีเขื่อนราษีไศล กล่าวว่า การทำบุญสืบชะตาแม่น้ำนั้น เพื่อวัฒนธรรมประเพณีของชาวบ้านอีสาน เป็นการแสดงถึงความกตัญญู เคารพต่อพระแม่คงคา ที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนสองฟากฝั่ง อีกทั้งวันนี้พี่น้องได้มาชุมนุมร่วมกัน ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะร่วมกันสืบชะตาแม่น้ำมูน ที่ถูกปิดกั้น ไม่ได้ไหลตามธรรมชาติ ‘คืนปลาให้น้ำ คืนชีวิตให้ธรรมชาติ’ และเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ผู้ชุมนุมด้วย



นายหรรษ์ เพิ่มผล แกนนำชาวบ้านบ้านทับใหญ่ กล่าวว่า การทำกิจกรรมในวันนี้ เพื่อเป็นการแสดงพลังของพี่น้อง เรียกร้องให้มีการเจรจาในวันที่ 4 ต.ค. โดยตัวแทนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างพร้อมเพรียง โดยเฉพาะอธิบดีกรมชลประทาน ก็อยากให้ลงมารับฟังพี่น้อง ร่วมหาทางแก้ไขปัญหาในพื้นที่ด้วยตนเอง เพื่อให้การเจรจาลุล่วงไปโดยเร็ว



นายหรรษ์ ยังกล่าวอีกว่า หากผู้มีอำนาจตัดสินใจไม่ลงมาเจรจาด้วยตนเอง ก็จะทำให้การเจรจาล่าช้าไปอีก ทั้งนี้ ถ้าการเจรจาไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ก็จะไม่กลับโดยเด็ดขาด



ด้านนายบุญมี โสภังค์ แกนนำสมัชชาลุ่มน้ำมูน ตัวแทนในการอ่านคำประกาศเจตนารมณ์ กล่าวว่า การทำกิจกรรมครั้งนี้ เพื่ออุทิศและสดุดีแก่นักต่อสู้ที่เคยร่วมต่อสู้ ณ ที่นี้ และจากไปแล้ว และยืนยันว่าการชุมนุมครั้งนี้จะยืนหยัดต่อสู้ต่อไป จนกว่าจะมีการจ่ายค่าชดเชยค่าสูญเสียโอกาสให้กับผู้ชุมนุม



000000



คำประกาศเจตนารมณ์

ป่าทาม หัวนา – ราษี แผ่นดินนี้เป็นของเรา



เป็นเวลามากกว่า 200 ปี มาแล้ว บรรพบุรุษของพวกเราได้ตั้งถิ่นฐาน หักร้างถางพง สร้างบ้าน แปงเมือง ณ ริมฝั่งแม่น้ำมูนแห่งนี้ แม่น้ำมูนคือสายเลือด ป่าทามคือห้องครัว คือพาข้าว คนรุ่นก่อนตายไป รุ่นใหม่เกิดมาก็ล้วนต้องพึ่งพา พึ่งพิงดิน น้ำ พืช สัตว์ สร้างครอบครัว สร้างชุมชน อย่างมั่นคง


ป่าทาม หัวนา ราษี แผ่นนี้เป็นของเรา ใช่หรือไม่



ป่าทามหัวนา ราษี แผ่นดินนี้เป็นของเรา ใช่หรือไม่



พวกเราทุกคนมีสิทธิ์อย่างถูกต้องและชอบธรรม ในที่ดินทำกินของพวกเรา

เพื่อนบ้านต่างยอมรับสิทธิ์ซึ่งกันและกัน ไม่ละเมิดกัน แต่กฎหมายที่ล้าหลังของรัฐ ไม่ยอมรับออกเอกสารสิทธิ์ให้



- เพราะมีป่าทามและแม่น้ำมูน เราจึงมีเศรษฐกิจพอเพียง



- เพราะมีป่าทามและแม่น้ำมูนเราจึงมีวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงาม มีความรัก สามัคคี อยู่ร่วมกันอย่างแบ่งปัน เอื้อเฟื้อ



- เพราะมีป่าทามและแม่น้ำมูน เราจึงอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี



- แต่เมื่อมีการสร้างเขื่อนราษีไศล รัฐได้ยื่นมือสกปรกมาแย่งชิงป่าทามและแม่น้ำมูนไปจากมือเรา มันเท่ากับการยึดทรัพย์สินของพวกเราไปอย่างหน้าด้านๆ อำนาจรัฐอันสามานย์ทำกับเราเหมือนไม่ใช่เป็นคน



- เขื่อนราษีไศล และเขื่อนหัวนา คือ สิ่งทำลายวิถีชีวิต ทำลายวัฒนธรรมของเรา น้ำเน่า ปลาหาย ดินเค็ม พี่น้องแตกแยกกันวุ่นวาย



เราชาวลุ่มน้ำมูน เราคือ คนรุ่นปัจจุบันของลุ่มน้ำมูน ขอประกาศว่า เราจะต่อสู้ด้วยมือตีนและเลือดเนื้อของพวกเรา เราจะไม่ยอมให้รัฐละเมิดสิทธิ์ของพวกเราอีกต่อไป ป่าทามหัวนา-ราษี แผ่นดินนี้เป็นของเรา เราจะสู้ สู้ สู้



สมัชชาคนจน
กรณีเขื่อนหัวนา – เขื่อนราษีไศล


3 ตุลาคม 2550









…………………………….

อ่านข่าวย้อนหลัง

สมัชชาคนจนราษีไศล-หัวนา ‘ยึด’ หัวงานเขื่อนราศีไศล จี้รัฐไม่แก้ปัญหาไม่กลับ




ที่มา : ประชาไท วันที่ : 4/10/2550



โดย: Darksingha วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:13:29:27 น.  

 
เขื่อนราษีไศล – เขื่อนหัวนา บาดแผลจากโครงการโขง ชี มูล ที่รอเยียวยา (จบ)



ห่างไปไม่กี่ร้อยกิโลเมตรจากกรุงเทพฯ แต่เรื่องราวของที่นั่นดูเหมือนห่างไกลยิ่งกว่านั้นมากนัก ชาวบ้านราษีไศล ชาวบ้านหัวนา จ.ศรีสะเกษ กำลังต่อสู้ดิ้นรนในเรื่องที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ หลายคนไม่เคยสนใจ เรื่องที่มีประวัติความ (เดือดร้อน) เป็นมายาวนาน เรื่องที่กลไกต่างๆ ยังคงแก้ปัญหาไม่ได้มาจนปัจจุบัน หากชีวิตไม่เร่งรีบจนเกินไป รายงานชิ้นนี้จะเปิดโลกของท่านไปสู่ดินแดนไกลโพ้น เพื่อทำความรู้จักและทำความเข้าใจปัญหาว่า ทำไมชาวบ้านต้องบุกยึดเขื่อน (อันที่จริงแค่เพียงยึดข้างเขื่อน) เหมือนที่แล้วมา และถึงเวลาหรือยังที่จะสรุปบทเรียนว่าด้วยโครงการพัฒนาที่มีชื่อว่า “เขื่อน”





000000



สนั่น ชูสกุล




2. โครงการเขื่อนหัวนา



เขื่อนหัวนาเป็นเขื่อนคอนกรีต ขนาด 14 บานประตู กั้นแม่น้ำมูนที่บริเวณบ้านกอก ต.หนองแก้ว อ.กันทรารมย์ ก่อนที่แม่น้ำชีจะไหลบรรจบกับแม่น้ำมูนที่ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เป็นเขื่อนตัวท้ายสุดของโครงการ โขง ชี มูล และเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโครงการ โขง ชี มูล มีระดับเก็บกักน้ำที่ 115 ม.รทก.ทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำทอดยาวตามแม่น้ำมูนระยะทาง 90 กิโลเมตร ท้ายน้ำจรดบานประตูเขื่อนราษีไศล และทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำขนาด 18.11 ตร.กม. มีปริมาตรความจุ 115.62 ล้านลูกบาศก์เมตร วัตถุประสงค์การก่อสร้างโครงการเพื่อจัดหาน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และทำการเกษตร มีพื้นที่ชลประทานทั้งหมด 154,000 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 61 หมู่บ้านในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ และ จ.อุบลฯ ใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งหมด 2,531.74 ล้านบาท



ส่วนพื้นที่ได้รับผลกระทบจากโครงการ ที่ผ่านมาไม่เคยถูกระบุไว้ในเอกสารของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (โดยในเวทีเปิดเผยข้อมูลโครงการเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2543 ณ ศาลาประชาคม จังหวัดศรีสะเกษ นายช่างหัวหน้าโครงการเขื่อนหัวนาชี้แจงว่ายังไม่ทราบพื้นที่ผลกระทบที่แท้จริง)



เขื่อนหัวนาเริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2535 ก่อนการศึกษาความเหมาะสมของโครงการโขง ชี มูล จะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน 2536 ส่วนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เดิมกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม แต่ประเด็นการศึกษาไม่ครอบคลุมตามที่กฎหมายกำหนด สำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม จึงให้นำมาปรับปรุงแก้ไขใหม่ก่อนที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป



ปัจจุบันเขื่อนหัวนา อยู่ระหว่างการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อคราวประชุมวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 ที่มีมติให้ยุติการดำเนินการใดๆ โดยเฉพาะการถมแม่น้ำมูนจนกว่าจะศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมทั้งตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎร แต่การดำเนินการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม มีเพียงการแต่งตั้งคณะกรรมการ ฯ ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ สำหรับการตรวจสอบทรัพย์สินอยู่ในระหว่างการดำเนินการ อย่างไรก็ตามระหว่างรอการศึกษาผลกระทบตามมติคณะรัฐมนตรี ได้มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องของชาวบ้านในพื้นที่อำเภอกันทรารมย์ ให้ทำคันดินกั้นแม่น้ำมูนเดิมโดยไม่มีการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม ส่วนกรมชลประทานเสนอให้เก็บกักน้ำในระดับ 114 ม.รทก. โดยไม่มีการศึกษาผลกระทบเช่นเดียวกัน



2.1 ผลประโยชน์จากเขื่อนหัวนา



โครงการเขื่อนหัวนา ระบุว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำในการอุปโภคบริโภค เกษตรชลประทาน มีประชาชนที่ได้รับประโยชน์โดยตรง 61 หมู่บ้านของจังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลฯ มีการเก็บกักน้ำสองระยะคือ ระยะแรกเก็บน้ำที่ระดับ 114.00 ม.รทก. (ใช้น้ำภายในประเทศ) ระยะที่สองเก็บกักน้ำที่ ระดับ 115.00 ม.รทก. (เมื่อมีการสูบน้ำจากแม่น้ำโขงเข้ามา) สามารถสูบน้ำช่วยเกษตรกรรมในพื้นที่เพื่อเพาะปลูกในระยะแรกได้ประมาณ 77,300ไร่ ในฤดูแล้ง และ 154,000 ไร่ ในฤดูฝน



2.2 ผลกระทบจากโครงการเขื่อนหัวนา



โครงการเขื่อนหัวนา นอกจากเขื่อนขนาด 14 บานประตู ซึ่งสร้างกั้นลำน้ำมูนที่บ้านกอก ต.หนองแก้ว และพนังกั้นน้ำ ที่เสริมตลิ่งและปิดกั้นลำน้ำสาขาที่จะไหลลงแม่น้ำมูนแล้วยังรวมถึงการดำเนินการของราชการที่ต้องการขับเคลื่อนให้โครงการเขื่อนหัวนาบรรลุวัตถุประสงค์ ดังนั้นผลกระทบของโครงการเขื่อนหัวนา ที่จะกล่าวถึงจะครอบคลุมความหมายที่กล่าวถึงข้างต้นทั้งหมด เมื่อชาวบ้านเริ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิ์ มักถูกตั้งคำถามว่า “ เขื่อนยังสร้างไม่เสร็จ จะเดือดร้อนอะไร?” เป็นคำถามที่ทิ่มแทงใจชาวบ้านตลอดมา จากการศึกษาพบว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโครงการเขื่อนหัวนา แบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ ผลกระทบที่เกิดขึ้นและส่งผลเสียหายแล้วกับผลกระทบทางด้านจิตใจที่ต้องวิตกกังวลต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต



2.3 ผลกระทบที่เกิดขึ้นและส่งผลเสียหายแล้ว



(1) การสูญเสียที่ดินจากการสร้างเขื่อนและพนังกั้นน้ำ



การสร้างหัวงานโครงการเขื่อนหัวนา กรมพัฒนาฯ ได้จ่ายค่าทดแทนที่ดินบริเวณหัวงาน ทั้งหมด 293 ไร่ แบ่งเป็นที่ดิน น.ส.3 ก.จำนวน 68 ไร่ ที่ดิน ส.ค.1 จำนวน 220 ไร่ และที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์แต่มีตอฟาง (ร่องรอยการทำประโยชน์) จำนวน 5 ไร่ เป็นที่ดินทั้งหมด 29 แปลง ของชาวบ้าน 27 ครอบครัว ยังมีที่ดินอีกจำนวน 31 แปลง จำนวน 350 ไร่ ที่ยังไม่ได้รับค่าทดแทน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์และมีสภาพเป็นหัวไร่ปลายนา และเป็นพื้นที่ทาม รวมพื้นที่ที่สูญเสียจากการก่อสร้างหัวงานทั้งหมดประมาณ 700 ไร่ นอกจากการสร้างหัวงานแล้วในช่วงปี 2536 กรมพัฒนาฯ ได้ก่อสร้างพนังกั้นน้ำ เพื่อเสริมตั้งและปิดกั้นลำน้ำสาขาที่ไหลลงแม่น้ำมูน บริเวณบ้านหนองบัว บ้านโพนทราย บ้านอีปุ้ง บ้านโนนสังข์ บ้านหนองโอง บ้านหนองเทา บ้านเหม้า บ้านเปือย บ้านหนองแก้ว โดยอ้างว่าเป็นการลดผลกระทบของโครงการ การก่อสร้างพนังกั้นน้ำมีลักษณะเดียวกันกับพื้นที่หัวงานคือจ่ายค่าชดเชยเฉพาะที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ และที่มีตอฟางเท่านั้น โดยที่ชาวบ้านไม่มีโอกาสต่อรองค่าทดแทน แต่ปัญหาที่เพิ่มขึ้นมาก็คือ ที่บ้านหนองโอง ต.โนนสังข์ บริษัทรับเหมาไปขุดดินในที่สาธารณะของหมู่บ้านมาทำพนังกั้นน้ำ เมื่อชาวบ้านร้องเรียนกรมพัฒนาฯ ก็ปฏิเสธความรับผิดชอบโดยอ้างว่าเป็นเรื่องของบริษัทรับเหมา



(2) การไม่สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินได้ตามปรกติ การสร้างพนังกั้นน้ำของโครงการเขื่อนหัวนา ทางโครงการได้ชี้แจงให้ชาวบ้านทราบว่าเป็นการลดพื้นที่ผลกระทบไม่ให้น้ำจากเขื่อนทะลักเข้าที่นาชาวบ้าน แต่เนื่องจากแม่น้ำคือจุดศูนย์รวมของน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำ เมื่อฝนตกน้ำจะไหลจากที่สูงลงสู่แม่น้ำ แต่เมื่อไหลลงมาติดพนังกั้นน้ำ ประตูระบายน้ำของพนังกั้นน้ำไม่สามารถระบายได้ทัน ทำให้เกิดน้ำเอ่อขังในที่นาของชาวบ้าน โดยมากสถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดประมาณเดือนสิงหาคม - กันยายน หลังจากชาวบ้านดำนาเสร็จแล้ว ทำให้ชาวบ้านต้องทำนาสองครั้งแต่ได้เก็บเกี่ยวครั้งเดียว

ในปี 2543 ในฤดูน้ำหลาก พนังกั้นน้ำบริเวณ บ้านโนนสังข์ ต.โนนสังข์ ได้พังลงทำให้น้ำท่วมเอ่อเข้ามาในที่นาของชาวบ้าน ทำให้ข้าวของชาวบ้านได้รับความเสียหาย ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่เคยได้รับการศึกษาตรวจสอบหรือแก้ไขใดๆ จากโครงการ



(3) การสูญเสียสิทธิในที่ดิน ช่วงปี 2531 – 2536 กรมที่ดินร่วมกับสภาตำบลหนองแค ต.เมืองคง บัวหุ่ง หนองอึ่ง ส้มป่อย อ.ราษีไศล และสภาตำบลรังแร้ง อุทุมพรพิสัย ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (นสล.) ในพื้นที่ทาม สองฝั่งแม่น้ำมูน ต่อมาในปี 2542 จึงมีการแจ้งแก่ชาวบ้านว่า ที่ดินดังกล่าวกรมที่ดินได้ส่งมอบให้กรมพัฒนาฯ สร้างอ่างเก็บน้ำเขื่อนหัวนาแล้ว



การออก นสล. มีการซอยพื้นที่เป็นแปลงย่อยแล้วทยอยออกเป็นแปลง แต่เมื่อนำมาทาบในระวางของกรมที่ดิน จะเห็นว่าเป็นแปลงต่อกันครอบคลุมพื้นที่ทามแทบทั้งหมด ในพื้นที่ 6 ตำบล นายจันทร์ เข็มโคตร เล่าว่า “ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ในพื้นที่ แอบนำนายช่างกรมที่ดินออกไปรางวัดแนวเขต นสล. บางแปลงแอบไปวัดกันตอนกลางคืน” ทำให้ที่ทำกินของชาวบ้านที่ได้ถือครองใช้ในการทำกินมาอย่างยาวนาน ทั้งที่ที่ดินบางส่วนมีเอกสารหลักฐานรับรองสิทธิ์ในลักษณะต่างๆ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน อยู่ในแนวเขตของ นสล. (หมายเหตุ-อ่านล้อมกรอบ)

หลังจากการออก นสล. ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถทำกินได้ตามปรกติ โดยเฉพาะพื้นที่ตำบลรังแร้ง องค์การบริหารส่วนตำบล ประกาศห้ามชาวบ้านไม่ให้เข้าไปทำกินในพื้นที่สาธารณะ และคัดค้านไม่ให้คณะทำงานตรวจสอบทรัพย์สินสมัชชาคนจนกรณีเขื่อนหัวนา อ.อุทุมพรฯ รังวัดพื้นที่ของชาวบ้าน



(4) ผลกระทบด้านจิตใจที่เกิดจากความวิตกกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดในอนาคต ผลกระทบดังกล่าวเกิดจากการบิดเบือนข้อมูลและปิดกั้นการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ บวกกับประสบการณ์ทั้งที่เกิดขึ้นกับในพื้นที่ตนเองและพื้นที่ใกล้เคียง ความวิตกกังวลของชาวบ้านมีดังต่อไปนี้

- ความกังวลว่าจะต้องถูกอพยพโยกย้ายบ้านเรือนของชาวบ้านหนองโอง

ตามที่นายนรินทร์ ทองสุข นายช่างโครงการเขื่อนหัวนา ได้เข้ามาประชุมชาวบ้านบ้านหนองโอง ต.โนนสังข์ ในปี 2542 โดยแจ้งให้ชาวบ้านยุติการสร้างบ้านหรือต่อเติมบ้านไว้ก่อน เพราะการสร้างเขื่อนหัวนาจะทำให้น้ำท่วมต้องอพยพชาวบ้านประมาณ 30 หลังคา แต่ชาวบ้านไม่ยอมรับและยืนยันว่าชาวบ้านอยู่กันเป็นชุมชน ถ้าย้ายก็ต้องย้ายด้วยกัน หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไปกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กรมชลประทาน จังหวัดศรีสะเกษไม่มีหน่วยงานใดติดต่อกับชาวบ้านเรื่องการอพยพโยกย้ายอีกเลย สร้างความวิตกกังวลให้กับชาวบ้าน โดยเฉพาะในช่วงปี 2447 นายเจียง จันทร์แจ้ง เล่าว่า “นายถนอม ส่งเสริม ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ได้ไปชี้แจงกับชาวบ้านที่บ้านหนองหวาย ต.โนนสังข์ ว่าตนจะขอให้คณะรัฐมนตรีมอบอำนาจให้ทางจังหวัด ดำเนินการโครงการเขื่อนหัวนาต่อ และจะทำให้เสร็จภายใน 3 เดือนก่อนเกษียณ” ชาวบ้านยิ่งวิตกกังวลเพิ่มขึ้น



- ความกังวลว่าจะต้องสูญเสียที่ดินทำกินของชาวบ้าน 2 ฝั่งแม่น้ำมูน



การสูญเสียที่ดินเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งสำหรับชาวนา ที่สำคัญการสูญเสียที่ดินจากการสร้างเขื่อนหัวนา ชาวบ้านไม่มีหลักประกันใดๆ เลยว่าจะได้รับค่าทดแทนหากที่ดินถูกน้ำท่วมเสียหาย ความกังวลในข้อนี้คือ สาเหตุสำคัญที่ชาวบ้านลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิ์ หากพิจารณาข้อเรียกร้องตั้งแต่เริ่มแรกจะเห็นได้ว่าวนเวียนอยู่ในเรื่องที่ดิน ตั้งแต่การเรียกร้องให้เปิดเผยพื้นที่ผลกระทบ การปักหลักที่ระดับเก็บกักน้ำ การเรียกร้องให้ศึกษาผลกระทบ ล้วนแล้วแต่ต้องการจะรู้ว่าที่ของตนจะได้รับผลกระทบหรือไม่ สุดท้ายจึงเรียกร้องให้มีการรังวัดพื้นที่ ที่ชาวบ้านคาดว่าจะได้รับผลกระทบเพื่อเป็นหลักประกันไว้ตั้งแต่ก่อนเขื่อนกักเก็บน้ำ



สิ่งที่เพิ่มความกังวลให้กับชาวบ้านคือ ท่าทีของทางราชการ อธิบดีกรมพัฒนาฯ บอกว่ายังไม่สามารถระบุพื้นที่ผลกระทบได้ ชาวบ้านจึงต้องเรียกร้องให้ปักหลักระดับน้ำ แต่หลังจากปักระดับน้ำแล้ว ชาวบ้านตรวจสอบในฤดูน้ำหลากพบว่าไม่สามารถเชื่อถือได้ จึงเปลี่ยนให้มารังวัดพื้นที่ ระหว่างการรังวัดก็มีข่าวตลอดว่า เขื่อนจะปิดน้ำ อีกส่วนหนึ่งของความกังวลในประเด็นดังกล่าวมาจากประสบการณ์ของเขื่อนราษีไศล ที่จนถึงวันนี้ยังจ่ายค่าชดเชยไม่เสร็จ และยังมีปัญหาการทับซ้อน และการพิสูจน์การครอบครองและทำประโยชน์ที่ไม่มีทีท่าว่าจะได้ข้อยุติ



- ความกังวลว่าจะสูญเสียพื้นที่บุ่งทาม



การหาอยู่หากินในบุ่งทาม คือ วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้านลุ่มแม่น้ำมูนตอนกลาง สืบสานมาจากบรรพบุรุษ เป็นวิถีชีวิตที่ควบคู่กับการทำการเกษตร ดังนั้น หากสูญเสียพื้นที่ทาม ในการหาอยู่หากิน เป็นปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่ง เห็นได้จาก การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ชาวบ้านทำการศึกษาหัวข้อป่าทาม เป็นหัวข้อแรกที่ชาวบ้านทำการศึกษา และจากการสำรวจเบื้องต้น พบว่าในพื้นที่เขื่อนหัวนา พบพืชทามประเภทไม้พุ่มจำนวน 32 ชนิด ได้แก่ ไม้กระโดนต้น ไม้ค้าริ้น ฯลฯ ประเภทไม้เครือพบ จำนวน 25 ชนิด ได้แก่ เครือหมากพิพ่วน เครือเบ็นน้ำ เครือหางนาค ฯลฯ ประเภทต้นไผ่พบ 4 ชนิด ได้แก่ ไผ่ป่า ไผ่โจด ไผ่น้อย ไผ่หวาน ประเภทหัวพบ 4 ชนิด ได้แก่ มันแซง มันนก กลอย เผือก หญ้าพบ จำนวน 24 ชนิด ได้แก่ หญ้าแห้วหมู หญ้าหวาย ฯลฯ เห็ดพบจำนวน 48 ชนิด ได้แก่ เห็ดเผิ่งทราย เห็ดปลวกจิก เห็ดเผิ่งทาม เห็ดน้ำหมาก ฯลฯ พืชที่ใช้เป็นผักพบจำนวน 51 ชนิด ได้แก่ ผักกูด ผักเม็ก ผักล่าม ฯลฯ ประเภทพืชผักในน้ำพบ 31 ชนิด ได้แก่ ผักบักกระจับ ผักอีฮีน ฯลฯ ประเภทพืชผลิตหัตถกรรม เช่น กก ผือ ผักตบชวา พื้นที่ป่าดิบแล้งพบไม้ยืนต้นจำนวน 16 ชนิดได้แก่ ต้นแดง ต้นขี้เหล็ก สะเดา ฯลฯ



สัตว์ป่าในพื้นที่ทามมี ประเภทสัตว์ปีกจำพวกนกรวบรวมได้ถึง 34 ชนิด ได้แก่ นกเหลืองอ่อน นกกระสา นกกาบบัว ฯลฯ สัตว์จำพวกแมลง รวบรวมได้ถึง 38 ชนิด ได้แก่ แมลงจี่นูนช้าง จักจั่น แมลงคาม ฯลฯ ประเภทสัตว์บก รวบรวมได้ถึง 11 ชนิด ได้แก่ เห็นอ้มเห็นหางก้าน กระต่าย ฟางฟอน ฯลฯ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ รวบรวมได้ถึง 17 ชนิด ได้แก่ ตระกวด แลน เฮี้ย เต่า กบ เขียด ฯลฯ สัตว์เลื้อยคลาน รวบรวมได้ถึง 11 ชนิด ได้แก่ งูเห่า งูจงอาง งูทำทาน ฯลฯ



- ความกังวลว่าจะเกิดการแพร่กระจายของดินเค็มน้ำเค็ม



คลองชลประทานและสถานีสูบน้ำที่ไม่มีการใช้ประโยชน์ เป็นหลักฐานยืนยันว่าชาวบ้านมีประสบการณ์การแพร่กระจายของดินเค็มน้ำเค็มเป็นอย่างดี สถานีสูบน้ำบ้านหลุบโมก ต.เมืองคง สถานีสูบน้ำบ้านท่า ต.ส้มป่อย อ.ราษีไศล สถานีสูบน้ำบ้านหนองบัว ต.หนองบัว อ.กันทรารมย์ ล้วนเป็นสถานีสูบน้ำที่เคยเกิดปัญหาดินเค็มน้ำเค็ม ตั้งแต่หลังเปิดใช้ได้ เพียง 2 -3 ปีเท่านั้น ยังมีเพียงสถานีสูบน้ำบ้านท่า อ.ราษีไศล ที่มีการสูบน้ำขึ้นมาใช้ในฤดูฝน ช่วงฝนทิ้งช่วงเท่านั้น



นอกจากประสบการณ์ตรงของชาวบ้านเองแล้ว การแพร่กระจายของดินเค็มน้ำเค็มจากการสร้างเขื่อนราษีไศล ที่บ้านเหล่าข้าว ต.ยางคำ อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด จนทำให้คณะรัฐมนตรีเมื่อคราวประชุมวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 ต้องสั่งเปิดเขื่อนราษีไศล เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ความกังวลของชาวบ้านไม่ใช่เป็นความไร้เหตุผล เพราะเป็นหนึ่งในประเด็นที่คณะผู้ชำนาญการของสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมได้ท้วงติงโครงการ โขง ชี มูลไว้เช่นกัน



- ความกังวลว่าจะสูญเสียแหล่งดินปั้นหม้อ



ดินปั้นหม้อ เป็นดินที่มีลักษณะพิเศษ ต่างจากดินทั่วไป คือต้องมีช่วงที่ถูกน้ำท่วม และโผล่พ้นน้ำ ที่สำคัญคือ ดินดังกล่าวจะเกิดการสร้างตัวขึ้นใหม่ตลอดแม้ว่าในฤดูแล้ง ชาวบ้านขุดมาปั้นหม้อ แต่ถึงช่วงฤดูน้ำหลากดินก็จะสร้างตัวขึ้นใหม่แทนที่ดินที่ถูกขุดไป ตลอดความยาวของแม่น้ำมูนที่จะเป็นอ่างเก็บน้ำเขื่อนหัวนา ระยะทาง 90 กิโลเมตร พบแหล่งดินปั้นหม้อ 3 แห่ง คือ บ้านโพนทราย ต.หนองบัว อ.กันทรารมย์ บ้านโก ต.ส้มป่อย อ.ราษีไศล บ้านโนน ต.รังแร้ง อ.อุทุมพร แต่ชาวบ้านที่ปั้นหม้อยังมีที่บ้านโพนทรายกับบ้านโกเท่านั้น ที่บ้านโนน ก็เคยมีการปั้นแต่เลิกทำไปนานแล้ว



อาชีพปั้นหม้อเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการได้อย่างดีอาชีพหนึ่ง ที่บ้านโพนทราย มีชาวบ้านที่ปั้นหม้อเป็นอาชีพ โดยที่ไม่มีนา จำนวน 20 ครอบครัว ในช่วงฤดูที่ตีหม้อได้ คือเดือนพฤศจิกายน – เมษายน มีรายได้เฉลี่ยครอบครัว ละ 8,000 – 10,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับความขยันและแรงงานของแต่ละครอบครัว ในช่วงที่มีการรังวัดที่ดินที่บ้านโพนทราย ชาวบ้านที่ปั้นหม้อยิ่งมีความกังวลเนื่องจาก แหล่งดินปั้นหม้อเป็นของส่วนรวมที่คนปั้นหม้อลงหุ้นกันซื้อมาเป็นพื้นที่ส่วนรวม ชาวบ้านกังวลว่าถ้าน้ำเขื่อนท่วมจะประกอบทำมาหากินอะไรต่อไป



นอกจากความกังวลในประเด็นดังกล่าวข้างต้นแล้ว ชาวบ้านยังมีความกังวลเกี่ยวกับความเสียหายของแหล่งโบราณวัตถุ โนนบักค้อ ที่บ้านโนนสัง การแพร่ระบาดของไมยราพยักษ์ การสูญเสียอาชีพประมง การสูญเสียอาชีพหัตถกรรมกกผือของบ้านหนองกก อ.ราษีไศล การสูญเสียพื้นที่เลี้ยงวัวควาย การสูญเสียประเพณี วัฒนธรรมและภูมิปัญญาเกี่ยวกับทาม และผลกระทบอื่นๆ ที่เกิดขึ้นแล้วที่เขื่อนราษีไศล







หมายเหตุ

แม้ว่า นสล. ไม่ใช่หนังสือสำคัญสำหรับแสดงกรรมสิทธิ์เหมือนอย่างโฉนดที่ดินเป็นแต่หนังสือที่ออกให้เพื่อแสดงแนวเขตที่ดินของทางราชการเท่านั้น แต่พื้นที่ดินที่อยู่ในเขต นสล. ก็คือพื้นที่สาธารณะประโยชน์ของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 บัญญัติว่า สาธารณะสมบัติของแผ่นดินนั้นรวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น ทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันเป็นต้นว่า ที่ชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ ซึ่งมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1532/2509 พิจารณาตัดสินเป็นบรรทัดฐานไว้ว่า “ที่ดินที่น้ำยังคงท่วมทุกปีในฤดูน้ำ ต้องถือเป็นที่ชายตลิ่ง อันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน ผู้ใดหามีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองไม่




ที่มา : ประชาไท วันที่ : 4/10/2550



โดย: Darksingha วันที่: 5 ตุลาคม 2550 เวลา:11:08:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Darksingha
Location :
สมุทรสงคราม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]





Click for use Graphics comment


Darksingha ที่แสดงถึงอำนาจและความมืดมัว ผมให้แทนคำว่า Age of Doubt หรือยุคแห่งความสงสัยก็แล้วกัน ดังนั้นBlogนี้จึงเป็นแดนสนธยาที่เต็มไปด้วยหมอกควันแห่งคำถาม และการละเล่น เพื่อแสวงหา ?


TV3 Live CH5 Live CH7 Live Modernine TV Live NBT LIVE - CH11 TPBS - Public Channel ASTV1 New11 - Online News 24 hours Nation Channel DMC.TV - Buddhistic Television ASTV5 - Suvarnbhumi ASTV7 - Buddhistic Television  True New 24 Channel  skynew  cnnibn Channel  cnn Channel  bbcnews_island Channel  cctv  Channel  bfmtv  Channel  ntv  Channel  fox8 Channel  foxnews5 Channel  cspan  Channel  france24 Channel  world_explorer Channel  discovery_channel Channel  nasa  Channel kimeng-channel dmc-channel ebr-channel research-channel utv-channel michigan-channel at-florida-channel islam-channel peace-usa-channel bbc-panorama-channel CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live

music is life

ชุมทางเพลงเพื่อชีวิต

Friends' blogs
[Add Darksingha's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.