Enter your search terms Submit search form Web www.inthedark.bloggang.com ชุมทางเพลงเพื่อชีวิต
ชุมทางเพลงเพื่อชีวิต
ห่างไปไม่กี่ร้อยกิโลเมตรจากกรุงเทพฯ แต่เรื่องราวของที่นั่นดูเหมือนห่างไกลยิ่งกว่านั้นมากนัก ชาวบ้านราษีไศล ชาวบ้านหัวนา จ.ศรีสะเกษ กำลังต่อสู้ดิ้นรนในเรื่องที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ หลายคนไม่เคยสนใจ เรื่องที่มีประวัติความ (เดือดร้อน) เป็นมายาวนาน เรื่องที่กลไกต่างๆ ยังคงแก้ปัญหาไม่ได้มาจนปัจจุบัน หากชีวิตไม่เร่งรีบจนเกินไป รายงานชิ้นนี้จะเปิดโลกของท่านไปสู่ดินแดนไกลโพ้น เพื่อทำความรู้จักและทำความเข้าใจปัญหาว่า ทำไมชาวบ้านต้องบุกยึดเขื่อน (อันที่จริงแค่เพียงยึดข้างเขื่อน) เหมือนที่แล้วมา และถึงเวลาหรือยังที่จะสรุปบทเรียนว่าด้วยโครงการพัฒนาที่มีชื่อว่า เขื่อน
00000
สนั่น ชูสกุล
คนอีสานมีความหวังทุกปีเพราะธรรมชาติกำหนด สภาพทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่และตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของพื้นที่ที่เคยเป็นทะเลมาก่อนเมื่อหลายล้านปีก่อน ทำให้ผืนดินแห่งนี้ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้เต็มที่ แม้ว่าจะมีแม่น้ำขนาดใหญ่และลำสาขานับหมื่นแห่งก็ตาม รัฐบาลทุกสมัยมีแนวคิดการจัดการน้ำแบบกักเก็บน้ำไว้เป็นจำนวนมาก เขื่อนขนาดใหญ่ อ่างเก็บน้ำ และฝายน้ำล้นจำนวนมาก นับไม่ถ้วนจึงเกิดขึ้นพร้อมกับ แม่น้ำสายหลัก ลำสาขา ห้วย หนอง คลอง บึงธรรมชาติ ถูกขุดลอก กักกั้น เพื่อกักเก็บด้วยเขื่อนขนาดใหญ่ อ่างเก็บน้ำ ฝาย และโครงการขุดลอกต่างๆ จนหมดสิ้น เพื่อทำให้แผ่นดินอีสานเขียวขจี ผู้คนไร้ความยากจน
ปี 2532 ความหวังครั้งใหญ่ของคนอีสานกำลังเกิดขึ้นอีกครั้งด้วยโครงการโขง ชี มูล
คนอีสานดีใจหนักหนา แผ่นดินอีสานกำลังจะกลายเป็นสีเขียว เพราะโครงการโขง ชี มูล
เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2532 กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ด้วยการสนับสนุนและผลักดันของนายประจวบ ไชยสาส์น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมขณะนั้น ได้เสนอโครงการโขง ชี มูล ให้คณะรัฐมนตรีรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อคราวประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดขอนแก่น คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณ 18,000 ล้านบาท ในการก่อสร้างอาคารและระบบส่งน้ำชลประทานให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี คือ พ.ศ. 2533 2535 (วราลักษณ์ อิทธิพลโอฬาร,2538-2539) สามารถส่งน้ำให้พื้นที่การเกษตรประมาณ 4.98 ล้านไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 15 จังหวัด (ยกเว้น นครพนม มุกดาหาร สกลนครและหนองบัวลำภู) ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 228,000 ล้านบาท แบ่งระยะการพัฒนาโครงการ ฯ ออกเป็น 3 ระยะ ใช้เวลาดำเนินการ 42 ปี (2534 - 2576) ดังนี้
การดำเนินการตั้งแต่ปี 2536 - ปัจจุบัน กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ได้ก่อสร้างเฉพาะฝายและระบบชลปะทานในลุ่มน้ำมูน ลุ่มน้ำชี และลุ่มน้ำสาขาตามแผนระยะที่ 1 จำนวน 14 โครงการ ในวงเงินประมาณ 9,996 ล้านบาท , โครงการชลประทานรอบอ่างห้วยหลวงในวงเงิน 350 ล้านบาท รวม 10,346 ล้านบาท พื้นที่เพาะปลูก 510,480 ไร่ และเมื่อรวมกับเงินงบประมาณที่อนุมัติครั้งแรก 18,000 บาท โครงการโขง ชี มูล จึงได้รับอนุมัติงบประมาณให้ดำเนินการทั้งสิ้น 28,346 ล้านบาท ปัจจุบันการดำเนินโครงการระยะที่ 1 ได้เสร็จสิ้นแล้ว มีการก่อสร้าง 14 โครงการย่อย คือ การสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำมูน 6 เขื่อน คือ เขื่อนชุมพวง เขื่อนบ้านเขว้า เขื่อนตะลุง เขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนา แม่น้ำชี 8 คือ เขื่อนวังยาง เขื่อนธาตุน้อย เขื่อนยโสธร เขื่อนชนบท และเขื่อนมหาสารคาม เขื่อนหนองหานกุมภวาปี เขื่อนลำเซบก เขื่อนลำโดมใหญ่
แม้ว่าในปี 2536 คณะผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมได้เสนอให้มีการชะลอโครงการไว้ เพราะจะเกิดปัญหาผลกระทบการแพร่กระจายดินเค็มในภาคอีสาน และให้ปรับปรุงรายงานหลายเรื่อง แต่โครงการก็ยังได้รับการอนุมัติและดำเนินโครงการในระยะที่ 1 เกือบเสร็จทุกโครงการ
1. โครงการเขื่อนราษีไศล
เขื่อนราษีไศล เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่เดือนมีนาคม 2535 แล้วเสร็จและทำการเก็บกักน้ำตั้งแต่เดือนตุลาคม 2536 ลักษณะโครงการเป็นเขื่อนคอนกรีตขนาดความสูง 9 เมตรปิด-เปิดด้วยบานประตูเหล็ก 7 บาน ควบคุมด้วยระบบไฮโดรลิค สร้างปิดกั้นลำน้ำมูนที่บ้านปากห้วย อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ และมีการก่อสร้างคันดินกั้นน้ำ (dike) ระดับความสูง 120 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) เพื่อกั้นพื้นที่น้ำหลากท่วมสองฝั่งแม่น้ำ เป็นระยะทาง 45.8 กิโลเมตร ระดับการเก็บกักน้ำสูงสุด 119 ม.รทก. ขณะที่พื้นที่ท้องน้ำเท่ากับ 110 ม.รทก. จะช่วยยกระดับน้ำในลำน้ำมูนเป็นระยะทาง 120 กิโลเมตร และลำสาขา คือห้วยทับทัน 26 กิโลเมตร ลำน้ำเสียว 15 กิโลเมตร ห้วยน้ำเค็ม 5 กิโลเมตร และลำพลับพลา 7 กิโลเมตร พื้นที่อ่างเก็บน้ำ 20 ตารางกิโลเมตร (12,500 ไร่) สามารถเก็บกักน้ำได้ 74.43 ล้านลูกบาศก์เมตร
พื้นที่ชลประทานตามแผนในระยะแรก 34,420 ไร่ และในอนาคตเมื่อมีการผันน้ำมาจากแม่น้ำโขงจะได้พื้นที่ชลประทานจำนวน 143,260 ไร่ มีศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่ชลประทานทั้งหมด 228,000 ไร่ โครงการมีแผนการก่อสร้างเป็นเวลา 6 ปี นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2535 2541 ใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 871.9 ล้านบาท
หลังจากการก่อสร้างแล้วเสร็จ เขื่อนราษีไศลได้ทดลองกักเก็บน้ำในเดือนตุลาคม 2536 ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำมูนได้รับผลกระทบอย่างหนัก พื้นที่ทำการเกษตรเสียหายเป็นวงกว้าง ไม่สามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้ทัน ทำให้ชาวบ้านต้องรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เครือข่ายชาวบ้านลุกขึ้นเคลื่อนไหวเพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเข้ามาแก้ไขปัญหา การนำน้ำจากเขื่อนราษีไศลยังไม่สามารถให้ผลประโยชน์ทางชลประทานได้ เนื่องจากระบบการกระจายน้ำที่ไม่เสร็จ และความเค็มของน้ำเป็นปัญหาต่อการผลิตของชุมชนที่อยู่รอบเขื่อน แต่การกักเก็บน้ำทำให้เกิดปัญหาผลกระทบต่อชุมชนและระบบนิเวศน์อย่างหนัก ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1.2 ผลประโยชน์จากเขื่อนราษีไศล
ในเอกสารสรุปผลการวิเคราะห์ปัญหาผลกระทบและแนวทางแก้ไขปัญหาการจ่ายค่าชดเชยที่ดินโครงการฝายราษีไศล ของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังระบุว่า เขื่อนจะเก็บกักน้ำได้ 74.43 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่ชลประทานในฤดูฝน 79,120 ไร่ ในฤดูแล้ง 28,425 ไร่ และถ้ามีการสูบน้ำโขงเข้ามาจะได้พื้นที่ชลประทานในฤดูฝน 288,000 ไร่ ฤดูแล้ง 64,100 ไร่
เอกสารดังกล่าว สรุปผลประโยชน์ที่เกิดในช่วงเวลานั้นว่า ด้านอุปโภค บริโภค ราษฎร 98 หมู่บ้าน 48,000 คน ได้ประโยชน์ และราษฎรในเขตเทศบาลท่าตูม เทศบาลราษีไศล เทศบาลกันทรารมย์ อีก 24,000 คน ได้ใช้น้ำ 3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ด้านการชลประทาน ระหว่างปี 2536 2543 โครงการสูบน้ำด้วยพลังงานไฟฟ้าเดิม 20 สถานี ได้ใช้น้ำในฤดูฝน 41,760 ไร่ ฤดูแล้ง 3,671 ไร่
ผลประโยชน์ด้านการประมง ราษฎรทำการประมงหน้าเขื่อนมีรายได้เฉลี่ยปีละ 4.2 ล้านบาท (กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน, 2543)
จากการศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์ที่เกิดขึ้นในระดับพื้นที่พบว่า
1. ผลประโยชน์จากการใช้น้ำของเขื่อนราศีไศลยังไม่เกิดขึ้นจริง
ผลประโยชน์จริงของเขื่อนราษีไศลจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการใช้น้ำชลประทานเพิ่มขึ้นจากเดิม แต่ความจริงก็คือ สถานีสูบน้ำที่สร้างใหม่ 2 สถานี (RSP 21 และ RSP 22) ที่อำเภอรัตนบุรีและอำเภอบึงบูรพ์ ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่ชลประทาน 37,360 ไร่ (เอกสารเผยแพร่ว่า 34,420 ไร่) นั้น ยังสร้างไม่เสร็จ และมีการทดลองสูบน้ำสำหรับทำนาปรังในพื้นที่ตำบลดอนแรด อ.รัตนบุรี เพียงครั้งเดียว เมื่อปี 2545 ประมาณ 100 ไร่เท่านั้น
สำหรับตัวเลขพื้นที่ชลประทานในฤดูฝน 41,760 ไร่และ 3,671 ไร่ ในฤดูแล้ง ตามรายงานดังกล่าวเป็นตัวเลขตามโครงการเดิม 20 สถานีสูบน้ำทั้งเหนือเขื่อนและท้ายเขื่อน เป็นตัวเลขเต็มตามวัตถุประสงค์ที่โครงการวางไว้ ไม่ใช่ตัวเลขการใช้ประโยชน์จริง และ 11 ใน 20 สถานีดังกล่าว เป็นพื้นที่ที่ไม่ได้รับประโยชน์จากเขื่อนราษีไศลโดยตรง เพราะอยู่บริเวณใต้เขื่อน และเป็นพื้นที่ชลประทานของเขื่อนหัวนา (อีก 1 เขื่อนในโครงการโขง ชี มูลเช่นกัน) ตัวเลขในรายงานดังกล่าวจึงเป็นตัวเลขเหมารวมและสำหรับโฆษณาไม่ใช่ความจริง
ผลการศึกษาของสถาบันวิจัยสังคมในช่วงระยะเวลาเดียวกัน จากคำถามเกี่ยวกับการได้รับผลประโยชน์จากการมีเขื่อนราษีไศลของครอบครัวทั้งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลประโยชน์ พบว่าโดยรวมมีครัวเรือนถึงร้อยละ 62.3 ตอบว่าไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการมีเขื่อนราษีไศล โดยเฉพาะในชุมชนที่โครงการเขื่อนราษีไศลอ้างว่าจะเป็นพื้นที่รับประโยชน์ กลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 67.2 ตอบว่าไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย ส่วนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ มีผู้ตอบว่าไม่ได้รับประโยชน์อะไรร้อยละ 60.7 (สถาบันวิจัยสังคม, 2547)
2. ประโยชน์ทางด้านการอุปโภคบริโภค ใน 3 เทศบาลนั้นก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน เพราะการประปาเทศบาลตำบลท่าตูม จ.สุรินทร์ ไม่ได้ใช้น้ำจากแม่น้ำมูนทำน้ำประปา เทศบาลท่าตูมมีอ่างเก็บน้ำสำหรับทำน้ำประปาของตนเองต่างหากเพราะเคยใช้น้ำจากลำน้ำมูนทำน้ำประปาแล้วมีปัญหาความเค็ม สำหรับเทศบาลกันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ นั้นอยู่ใต้เขื่อนราษีไศลลงไปประมาณ 80 กิโลเมตร (อยู่เหนือเขื่อนหัวนาประมาณ 10 กิโลเมตร) ส่วนเทศบาลเมืองคง อ.ราษีไศล ซึ่งอยู่ใต้เขื่อนราษีไศลลงไป 5 กิโลเมตรก็ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำจากเขื่อนราษีไศลเช่นกัน การเก็บกักน้ำของเขื่อนราษีไศลเสียอีกที่จะทำให้เทศบาลแห่งนี้ขาดแคลนน้ำทำน้ำประปา
3. ด้านการประมง ที่มีตัวเลขผลประโยชน์ที่ได้รับปีละ 4.2 ล้านบาท อาจเปรียบกันไม่ได้เลยกับผลที่เสียไปตามที่เราทราบเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วว่า ปลาเศรษฐกิจหายไป กบและหอยหลายชนิดหายไป เครื่องมือประมงพื้นบ้านซึ่งมี 47 ชนิด ส่วนใหญ่สามารถใช้ในการหาปลาในน้ำลึกได้อีกต่อไป ทั้งยังมีวัชพืชและหอยคันระบาด เป็นอุปสรรคต่อการหาปลา ปลาที่จับได้รสจืดเน่าเร็ว จากการศึกษาของโครงการทามมูล เมื่อปี 2538 ศึกษากลุ่มตัวอย่าง 366 ครอบครัว ใน 11 หมู่บ้าน พบว่ารายได้จากการประมง (หาปลา หอย กบเขียด) มีรายได้รวมปีละ 3,865,049 บาท เฉลี่ยครอบครัวละ 10,560 บาท พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล 141 หมู่บ้าน ถ้าประมาณว่า ก่อนการสร้างเขื่อน มีคนทำการประมงสัก 5,000 คน ก็จะมีรายได้รวม 52.8 ล้านบาท (โครงการทามมูล, 2538)
4. ศักยภาพของการใช้น้ำชลประทานในการเกษตร ถ้ามีการเก็บน้ำของเขื่อนราษีไศลแล้ว การใช้น้ำเพื่อการเกษตรในพื้นที่สองฝั่งลำน้ำมูนจะเป็นอย่างไร ?
เรื่องนี้คาดการณ์ไม่ยาก เพราะประสบการณ์เดิมในพื้นที่สถานีสูบน้ำด้วยพลังงานไฟฟ้าทั่วไปในลุ่มน้ำมูนนั้นประจักษ์อยู่ในตัว คือ ชาวบ้านจะใช้ประโยชน์จากสถานีสูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้าในช่วงฤดูฝนทิ้งช่วงเป็นหลัก เพื่อนำน้ำมาหล่อเลี้ยงต้นข้าว
ส่วนประสบการณ์การทำนาปรัง พบว่า ค่อนข้างล้มเหลวเพราะไม่คุ้มทุน การต้องซื้อน้ำลงทุนปุ๋ย ยาเคมี และมีปัญหาโรคแมลงระบาดในฤดูแล้ง และที่สำคัญ คือ เมื่อสูบน้ำจากลำน้ำมูนมาใส่นาซึ่งเป็นนาดินทรายซึ่งมีชั้นเกลืออยู่ใต้ดินผสมกับความเค็มที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำจากลำน้ำมูน ทำให้เกิดการแพร่กระจายของดินเค็มจนข้าวเสียหาย และต้นไม้ในนายืนต้นตาย ด้วยเหตุผลดังกล่าว ชาวบ้านจึงไม่นิยมนำน้ำจากแม่น้ำมูนมาทำนาปรัง ดังนั้นวัตถุประสงค์ที่จะเพิ่มผลผลิตในฤดูแล้งจะเกิดผลน้อยมาก
ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจริงจึงเหลือเพียงการสูบน้ำในแม่น้ำมูนใช้ในการทำนาในฤดูฝนทิ้งช่วง ซึ่งเกิดขึ้นประมาณเดือนกรกฎาคม สิงหาคม ของทุกปี ซึ่งในฤดูดังกล่าวในลำน้ำมูนจะมีน้ำเพียงพอสำหรับให้สถานีสูบน้ำด้วยพลังไฟฟ้าใช้สูบให้กับชาวนา นั่นหมายถึงไม่ต้องมีการเก็บกักน้ำของเขื่อนราศีไศลแต่อย่างใด
5. การจัดหาพื้นที่ชลประทานของเขื่อนราษีไศล ลงทุนไร่ละเท่าไหร่?
ค่าก่อสร้างเขื่อนราษีไศลตามโครงการ 871 ล้านบาท เพื่อการจัดหาพื้นที่ชลประทาน 34,420 ไร่ นั้นเท่ากับว่าไร่หนึ่งต้องลงทุน 25,305 บาท
ในความจริง เขื่อนราษีไศลได้จ่ายค่าชดเชยไปแล้ว 2 ครั้ง จำนวน 420,925,344 บาท และต้องจ่ายอีกสำหรับผู้เดือดร้อนที่เหลืออยู่ ถ้าต้องจ่ายอีก 52,000 ไร่ (ตัวเลขการตรวจสอบพื้นที่ทำกินล่าสุด มีนาคม 2548) ไร่ละ 32,000 บาท เป็นเงิน 1,664,000,000 บาท รวมค่าก่อสร้างและการจ่ายค่าชดเชยทั้งหมดเป็นเงิน 2,956,825,344 บาท โดยยังไม่คิดค่าดูแล ซ่อมแซมตลอดอายุเขื่อน ค่าศึกษาผลกระทบ ออกแบบ วางแผนแก้ผลกระทบ และงบโฆษณาประชาสัมพันธ์
นั่นจะเท่ากับว่าเขื่อนราษีไศลอาจจะต้องจ่าย 85,904 บาท เพื่อจัดหาพื้นที่ชลประทาน 1 ไร่ และนั่นคือราคาที่มีประสิทธิภาพการใช้งานของระบบชลประทานอยู่ที่ 100 เปอร์เซ็นต์ เปรียบเทียบกันไม่ได้กับการลงทุนของระบบชลประทานในพื้นที่ทามของชาวบ้านหนองแค สวนสวรรค์ ที่ลงทุนในการทำโครงสร้างระบบชลประทานราคาเฉลี่ยเพียงไร่ละ 783.30 บาทเท่านั้น