|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
|
|
|
พระนิพพานอยู่บนดาวเคราะห์ดวงโน้น
โดยทางทฤษฎี (ซึ่งผมไม่รู้เรื่อง) การลบล้างความเป็นสสารและอสสาร จะทำให้เราสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วเกือบเท่าแสง ฉะนั้น เราจึงสามารถเดินทางไปยังดาวเคราะห์ของระบบสุริยจักรวาลอื่นได้ในเวลาเพียง 6 ปีเท่านั้น แทนที่จะต้องใช้เวลาถึง 50,000 ปี หากใช้เชื้อเพลิงแบบเก่าที่เราเหาะไปดวงจันทร์
ผมไม่ทราบหรอกครับว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อดี เพราะถึงอย่างไรผมก็ยังเห็นปัญหาในโลกที่ต้องแก้มากกว่าคิดทะยานไปถึงโลกอื่น แต่คนที่เชื่ออย่างนี้คือ นายสตีเฟน ฮอว์กิง ซึ่งพูดแล้วอะไรๆ ก็ดูเหมือนจริงไปหมด
เขาไม่ได้พูดแค่นี้ด้วย เขาบอกว่ามนุษย์ (ซึ่งในสภาพของโลกปัจจุบันคือฝรั่ง) ต้องไปยึดเอาดาวเคราะห์ที่พออยู่อาศัยได้เหล่านี้ มาเป็นอาณานิคมเสีย ผมเดาจากข่าวหนังสือพิมพ์ซึ่งเขาใช้คำว่า "อาณานิคมอิสระ" ว่าน่าจะหมายถึง อพยพผู้คนไปอยู่อาศัยในดาวเคราะห์เหล่านั้นนั่นเอง
ซึ่งก็อาจเป็นได้ว่าต้องเจอปัญหาเดิม คือพบชาวพื้นเมืองของดาวเคราะห์นั้นอาศัยอยู่ก่อนแล้ว แล้วก็ต้องทำให้พวกนั้น นับถือพระเจ้าองค์เดียว หรือในสมัยนี้ก็คือเป็นเสรีนิยม วิธีทำก็คือเกณฑ์แรงงานของเขามาใช้ฟรี ทำลายอารยธรรมของเขาซึ่งไม่น่าจะเป็นเสรีนิยม นอกจากปล้นสะดมทรัพย์สินของเขาแล้ว ก็แพร่เชื้อโรคที่เขาไม่มีใส่เขา ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจเดี๋ยวก็ตายเรียบไปเอง
มนุษย์อาจจะพร้อมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จะทำอะไรมหัศจรรย์พันลึกได้ร้อยแปด แต่มนุษย์ไม่มีความพร้อมทางจิตใจ ที่จะมีอำนาจถึงขนาดนั้น ตราบเท่าที่เราไม่พยายามบรรเทาอคติสี่ในตัวลงเสียบ้าง
นายฮอว์กิงคิดจะไปยึดครองโลกอื่นก็เพราะภยาคติครับ เขาบอกว่า หากเราไม่ทำอย่างนั้น ไม่ช้าก็เร็วภัยพิบัติ ย่อมตกมาถึงโลกเราอย่างแน่นอน อาจเป็นเพราะถูกสะเก็ดดาวชนหรือทำสงครามล้างโลกกันด้วยนิวเคลียร์ ฉะนั้น อย่างน้อยก็ยังมีอาณมนิคมของมนุษย์เหลืออยู่ในดาวเคราะห์ที่เราไปยึดครองไว้ได้
เขาไม่ได้ให้คำอธิบายต่อไปว่า เหตุใดมนุษย์หรือเผ่าพันธุ์สัตว์ที่ผลิตอาวุธขึ้นมาล้างกันเองจนสูญพันธุ์ไปนั้น จึงสมควรดำรงอยู่ในเอกภพต่อไป และเขาก็ไม่ได้อธิบายด้วยว่า แล้วสัตว์ที่เหี้ยมโหดต่อกันเหล่านี้จะไปล้างโลกที่ดาวเคราะห์อาณานิคมโน่นในอีกกี่ปีข้างหน้า
อันที่จริงระยะเวลาเพียง 5-6 ปีจากโลกเราไปถึงดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาลอื่นก็ไม่ไกลนัก อาจจะไกลกว่าบางลำพู สำหรับกะเหรี่ยงที่ห้วยขาแข้งด้วยซ้ำ ฉะนั้น นอกจากร่างกาย และสมบัติพัสถานที่ชาวอาณานิคมหอบไปตั้งถิ่นฐาน อยู่ในโลกใหม่แล้ว ก็คงหอบเอาอคติทั้งหลายจากโลกนี้ไปอีกพะเรอเกวียน ซ้ำอคติเหล่านั้นยังได้รับการเสริมต่อ จากความเป็นไปในโลกเก่าตลอดเวลา เช่น ถ้าเดินทางไปได้จริง การส่งทีวีและอินเตอร์เน็ตไปโลกโน้นคงทำได้ไม่ยากเหมือนกัน
มุสลิมในโลกโน้นคงถูกตรวจค้นเหมือนกับในโลกนี้
มันก็น่าแปลกนะครับ ความกลัวที่จะเกิดภยันตรายในโลกนี้ อันเป็นความกลัวที่มีเหตุผลอยู่ไม่น้อย แต่แทนที่เราจะพยายามทำให้ภัยคุกคามที่ว่านั้น บรรเทาเบาบางลง เรากลับคิดหนีไปอยู่ที่อื่น
ภัยที่เกิดจากสะเก็ดดาวชนนั้น จะมีทางแก้ได้หรือไม่ผมก็ไม่ทราบ แต่ฮอลลีวู้ดทำให้เราเชื่อว่าแก้ได้ นักวิทยาศาสตร์ก็น่าจะคิดดูว่าแก้ได้หรือไม่ ถ้าแก้ไม่ได้เลยแล้ว ถึงเวลานั้นเมื่อไร ก็คงต้องใช้สำนวนกุ๊ยอเมริกันว่า "จูบตูดตัวเองแล้วกล่าวคำอำลา" ก็เท่านั้นเอง...ก็มันเกินกำลังที่เราจะไปทำอะไรได้แล้วนี่ครับ
แม้ต้องยอมรับว่าเสี่ยงต่อการที่มนุษย์จะสูญพันธุ์หมดเลยก็ตาม แต่ทำไมมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่ง ถึงจะสูญพันธุ์ไม่ได้ละครับ? ผมคิดว่า ตั้งแต่เราพบว่าการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์เป็นเป้าหมายสูงสุดของสัตว์ทั้งหลาย เราก็สรุปเลยว่ามนุษย์ในฐานะสัตว์อย่างหนึ่งก็มีเป้าหมายสูงสุดอย่างเดียวกัน
ฉะนั้น ทำอะไรก็ได้ ขอให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ดำรงอยู่ต่อไปได้ย่อมเป็นความดีสูงสุดในตัวเอง
ความคิดเช่นนี้เพิ่งเกิดขึ้นในภายหลังนะครับ การดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ใช่ความดีสูงสุดในศาสนาใดสักศาสนาเดียว ในทัศนะทางศาสนา มนุษย์ดำรงอยู่เพื่อเป้าหมายสูงสุดอื่นเสมอ จะเป็นพระผู้เป็นเจ้าหรือโมกษะหรือพระนิพพานก็ตาม ความเป็นมนุษย์เป็นเพียงสะพานเชื่อมต่อไปยังอะไรที่เหนือกว่าดีกว่าความเป็นมนุษย์
ส่วนเรื่องสงครามนิวเคลียร์นั้น ก็มีเหตุอันควรหวั่นวิตกจริง แม้ว่าสงครามเย็นสิ้นสุดลงแล้ว แต่อาวุธนิวเคลียร์ กลับแพร่หลายไปยังประเทศต่างๆ มากขึ้น เพราะกลไกที่วางไว้ป้องกันการแพร่กระจายนั้น ทำขึ้นอย่างลำเอียงมาตั้งแต่ต้น ใครเป็นพวกกูก็ปล่อยให้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้ เช่น อิสเรล เป็นต้น ยิ่งสหรัฐใช้นโยบายเสริมการนำของตัวด้วยสงคราม ดังกรณีการรุกรานอิรัก จึงยิ่งเร่งให้หลายประเทศในโลก ที่ไม่ยอมรับการนำของสหรัฐ ต้องพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาอย่างรีบด่วน
โอกาสของการเก็งพลาด ไม่ว่าจากฝ่ายใด จึงน่ากลัวเสียยิ่งกว่าสมัยที่สองมหาอำนาจเผชิญหน้ากันเสียอีก เพราะโอกาสเก็งพลาดน่าจะเกิดได้น้อยกว่า
ผมไม่ทราบหรอกครับว่าปัญหานี้จะแก้อย่างไร แต่รู้แน่ว่าต้องแก้บนพื้นโลกเรานี้เอง ถ้าแก้ไม่ได้หรือไม่ได้แก้ ปัญหานี้ก็จะตามไปยังโลกใหม่ที่ไปตั้งถิ่นฐานในเวลาอีกไม่นานและคงตามไป "โลกหน้า" ด้วย
ภยันตรายของโลกเรายังมีมากกว่าสองเหตุนี้อีกแยะ ไม่ว่าจะเรื่องโลกร้อน, ความเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว ของฐานทรัพยากรทั้งโลก, การเอารัดเอาเปรียบกันอย่างสะพรึงกลัวชนิดที่ไม่รู้จะหนีไปทางไหน, ชีวิตที่ไร้ความหมายจนกระทั่งเส้นแบ่งระหว่างชีวิตและความตายบางลงจขนมองแทบไม่เห็น ฯลฯ
ล้วนเป็นเรื่องที่ต้องแก้บนพื้นโลกนี้ทั้งสิ้น
ผมนึกถึงอาณานิคมที่เกิดขึ้นจากการอพยพไปตั้งถิ่นฐานในสมัยโบราณ ผู้คนพากันหลบหนีความอดอยาก, การกดขี่บีฑา, การปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ ฯลฯ เพื่อไปเสี่ยงโชคสร้างโอกาสใหม่ให้แก่ชีวิต
ใครจะไปล่ะครับ ถ้าไม่ใช่คนจนและคนระดับต่ำสุดของสังคม เพราะคนรวย และคนมีอำนาจที่ไหน จะไปอดอยากหรือโดนกดขี่บีฑาได้
ขายทุกอย่างที่พอจะขายได้เพื่อเป็นค่าเรือ หรือเอาแรงกายแลกเป็นค่าเรือเดินทางหนีไปสู่โลกใหม่ในสมัยนั้น
แต่ถ้าเราสามารถเดินทางไปสู่ดาวเคราะห์ของระบบสุริยจักรวาลอื่นได้จริง ค่าเดินทางคงไม่มีวันถูกไปได้ คนจนและคนระดับต่ำกว่าเกณฑ์ทั้งหลายจึงไม่มีโอกาสหนีไปไหน มีแต่คนรวยและคนมีอำนาจเท่านั้นที่จะจากพวกเราไป เหลือโลกที่แสนจะอันตรายไว้แก่เรา
ถึงตอนนั้นโลกเราอาจพ้นอันตรายไปก็ได้นะครับ เพราะจะมีคนใช้ทรัพยากรน้อยลง, คนบ้าอำนาจน้อยลง, นักเลงโตก็น้อยลง ฯลฯ เราคงอยู่กันไปได้ในโลกใบเก่านี้ต่อไปได้ อย่างน้อยก็ช่วงหนึ่งที่ยาวนานกว่าเก่า ก่อนที่จะเกิดคนรวย, คนบ้าอำนาจ และนักเลงโตกลับมาใหม่
แต่อย่าเพิ่งมองโลกในแง่ดีขนาดนี้ครับ เพราะถึงเรามีวิธีเดินทางไปสู่โลกใหม่ที่ว่านั้นได้จริง ที่ไหนคนรวย, คนมีอำนาจและนักเลงโตจะสมัครใจเดินทางไปล่ะครับ ก็เขาอยู่บนโลกใบเก่านี้สบายอยู่แล้ว ไม่ดีกว่าหรือครับ จะไปบุกเบิกถากถางตั้งตัวกันใหม่ในโลกโน้นให้เมื่อยทำไม
ครั้นจะขับไล่คนจนๆ ไร้อำนาจไปอยู่โลกโน้น ก็ต้องลงทุนค่าเดินทางอักโขอยู่ และอาจทำไม่ได้ด้วยเพราะแพงเกินไป
ยิ่งกว่านั้นก็คือ ความสุขสบายของคนรวย, คนมีอำนาจและนักเลงโตนั้นเกิดจากอะไรครับ ถ้าไม่ได้เกิดจากการที่มีคนจนไร้อำนาจจำนวนมากกว่า มารองรับอยู่ ไม่มีคนจน คนรวยก็เจ๊ง ไม่มีคนไร้อำนาจ อำนาจก็ไร้ความหมาย ฯลฯ
ฉะนั้น ดูๆ ไปแล้ว ถึงคิดยานอวกาศชนิดที่วิ่งเร็วเกือบเท่าแสงได้ ก็คงไม่มีใครอพยพไปไหน นอกจากพ่อฮอว์กิงคนเดียว ว้าเหว่น่าดูเลย
โบราณท่านว่าขนาดของโลกเราคือกว้างศอกยาววาหนาคืบ พระนิพพานหรือความหลุดพ้นก็อยู่ในนั้น แต่วิทยาศาสตร์กำลังบอกเราว่า พระนิพพานอยู่บนดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาลอื่น
ที่มา นิธิ เอียวศรีวงศ์ มติชนรายสัปดาห์ วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 27 ฉบับที่ 1375 หน้า 33
Create Date : 26 มิถุนายน 2550 |
Last Update : 26 มิถุนายน 2550 15:34:45 น. |
|
1 comments
|
Counter : 625 Pageviews. |
|
|
|
โดย: บังใบ้ IP: 58.9.46.242 วันที่: 14 มกราคม 2551 เวลา:9:56:32 น. |
|
|
|
|
|
|
|